ตอนที่ 140 ขัดกระทะและล้างจาน
คณบดีป้าซานสวนใส่เสื้อคลุมขนมิงค์เทาและเดินออกมาพร้อมกับขวดนํ้าเต้าสุรา ซึ่งสูงครึ่งตัวมนุษย์ในมือของเขา เขาเงยหน้าขึ้นดื่มสุราอึกๆ จากนั้นเรอออกมาอย่างดังแล้วโยนนํ้าเต้าสุราให้กับวัวเขียว กล่าวถาม “ใครมันกล้ามาขโมยของที่สวนผักของข้า ปอดใหญ่ไม่ใช่เล่น”
วัวเขียวดื่มสุราจากนํ้าเต้าไปสองสามอึก แล้วสะอึกแบบคนเมาสองสามที ปล่อยลมหายใจอันมีกลิ่นสมุนไพรปะปนกับกลิ่นสุรา “มูมู่ไม่รู้เหมือนกัน หมอนั่นเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาเซ่อซ่าที่พาสุนัขจิ้งจอกมาด้วย”
คณบดีป้าซานครุ่นคิดแล้วกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กนั่นจากแดนโบราณวินาศ เขาถึงกับกล้ามาตอแยมูมู่ของข้าและขโมยผักสมุนไพรข้าด้วย ดื้อรั้นไม่สนหน้าใครอะไรอย่างนี้ ข้าทราบล่ะ เจ้าอยู่ที่นี่ต่อเฝ้าสวนผักของข้าเอาไว้ เผื่อจะมีใครย่องมาขโมยอีก”
ฉินมู่กลับไปที่ด้านหน้าภูเขาและแตะตามรอยฟกชํ้าบนใบหน้า สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ “เจ้าวัวนี่ ข้าสู้มันไม่ได้ แต่ข้าวางยาสลบมันได้ ท่านปู่นักปรุงยากล่าวไว้ว่า หากเจ้าไม่ชนะ ก็จงใช้ยาพิษ ข้าเพียงแต่ต้องมัดกีบมันรวบเอาไว้ให้ดิ้นไม่หลุดตอบโต้ไม่ได้…อ้าว ปรมาจารย์ ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ที่เบื้องหน้าฉินมู่เป็นกระท่อมฟางอันมีห้องเพียงสองสามห้อง เรียบง่ายสามัญเป็นอย่างยิ่ง กระท่อมหญ้าฟางนี้ปลูกไว้ข้างภูเขาและแม่นํ้าอันทําให้มันดูสง่าและสงบเงียบ เขาเห็นปรมาจารย์เยาว์นั่งอยู่ในลานหน้ากระท่อมและกําลังล้างถ้วยชามอยู่ ซึ่งแสดงว่าเขาเพิ่งจะทานอาหารเสร็จ ข้างๆ เขาคือผู้เฒ่าผมขาวโพลนซึ่งกําลังใช้ใยบวบขัดกระทะ
ฉินมู่เคยเห็นผู้เฒ่าผู้นี้มาก่อนและเขาคือผู้อาวุโสพิทักษ์กฎแห่งลัทธิมารฟ้า
แม้ว่าปรมาจารย์เยาว์จะเป็นอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอันมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง แต่เขาไม่มีบ่าวไพร่ชายหญิงคอยรับใช้แม้แต่คนเดียว และมีแต่ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎข้างๆ
ปรมาจารย์เยาว์และผู้อาวุโสพิทักษ์กฎเห็นเขาและฮู่หลิงเอ๋อ แต่พวกเขาก็ไม่ลุกขึ้นมาและยังคงช่วยกันล้างถ้วยชามต่อ ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎเผยยิ้ม “ปรมาจารย์พักอยู่ที่นี่ จ้าวลัทธิน้อยไม่เคยแวะมาเลยหรือ”
ฉินมู่ส่ายศีรษะและยืนโค้งคารวะข้างนอก ก่อนเดินเข้าไป ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎทักทายฉินมู่ ฉินมู่รีบคารวะตอบก่อนที่จะเดินไปยังอ่างนํ้าเพื่อช่วยปรมาจารย์เยาว์ล้างถ้วยชามพร้อมรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์เป็นถึงอธิการบดี ทําไมท่านถึงใช้ชีวิตอย่างยากจนขัดสนเช่นนี้”
ปรมาจารย์เยาว์หยิบผ้ามาเช็ดมือของเขาแล้วกล่าว “ข้าชอบลอยชายมีชีวิตง่ายๆ ไม่คุ้นชินกับปราสาทราชวังใหญ่โต ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎมิได้อยู่ที่นี่มาก่อน ข้าเรียกเขามาเพราะว่าข้าแก่ไปมากเลยต้องให้เขามาทรมาทรกรรมร่วมกับข้า”
ฉินมู่มองไปยังผู้อาวุโสพิทักษ์กฎซึ่งส่งยิ้มกลับมา “ข้าเองก็อยากมีชีวิตเงียบสงบสักพักเหมือนกัน มาอยู่ที่นี่นับว่าเหมาะดี”
ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิน้อย หลังจากเจ้าขึ้นครองลัทธิ ข้ายังคงต้องขอยืมตัวผู้อาวุโสพิทักษ์กฎไปอีกสามสี่ปี เพื่อให้เขาเดินทางท่องเที่ยวไปกับข้า เมื่อข้าสิ้นชีวิต เขาก็จะได้เก็บอัฐสังขารข้ามาง่ายๆ ลัทธิศักดิ์สิทธิเรามีธรรมเนียมที่จะไม่เหลือซากร่างเอาไว้ ในเมื่อความตายประดุจตะเกียงดับแสง ก็ควรจะเหลือแต่ขี้เถ้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎก็จะนําอัฐสังขารข้ากลับมา”
ฉินมู่นิ่งงันและรู้สึกถึงความขมขื่นในใจ วีรบุรุษพ้นยุคสมัยรุ่งโรจน์
แม้แต่ยอดคนแข็งแกร่งเช่นผู้ใหญ่บ้าน ยอดยุทธ์แกร่งกล้าอย่างปรมาจารย์เยาว์ ก็มิอาจต้านทานการเกิดแก่เจ็บตาย โลหิตอันร้อนระอุและหัวใจอันแข็งแกร่งก็จะถูกกัดเซาะโดยกาลเวลา เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นซากสังขารที่กลบฝังอยู่ใต้ดินเหลือง
ปรมาจารย์เยาว์มองไปที่เขาแล้วกล่าว “หลวงจีนเฒ่ากับหลวงจีนหนุ่มมาที่เชิงเขาแน่ะ”
ฉินมู่พยักหน้าแล้วใช้ปราณชีวิตหงส์แดงของตนระเหยนํ้าในมือให้แห้งสนิท หลังจากที่เขาล้างถ้วยชามเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าพิทักษ์กฎแขวนกระทะที่ทําความสะอาดเสร็จแล้วลุกไปนําชุดชงชามา หมายจะชงชาเสิรฟ์ ฮู่หลิงเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปช่วยเขา
“ข้ารู้ ข้าได้ยินว่าหลวงจีนข้างล่างนั่นมาจากวัดใหญ่ฟ้าคําราม ข้าลองเดินไปชมดูและข้าจําหลวงจีนเฒ่าได้ ข้าเคยเห็นเขาในแดนโบราณวินาศมาก่อนและได้ยินท่านปู่หม่าบอกว่าหลวงจีนเฒ่านั้นเป็นศิษย์พี่ของท่านปู่ ชื่อของเขาเรียกว่าจิ่งหมิงหรืออะไรสักอย่าง”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่กล้ายืนยันว่าหลวงจีนเฒ่าชื่อนั้นจริงๆ “ส่วนหลวงจีนน้อย ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคําราม”
ฮู่หลิงเอ๋อพยายามรินนํ้าชาให้กับพวกเขาแม้ว่าตัวนางจะเล็กเตี้ยไปหน่อย เตี้ยกว่าขาตั้งกานํ้าชาด้วยซํ้า ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎรีบรับกานํ้าชามาแล้ววางไว้ในถาดชุดนํ้าชา จากนั้นเขาอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หวายข้างๆ พลางแย้มยิ้ม “ให้ข้าทําเอง”
ปรมาจารย์เยาว์ยังจ้องเขาอยู่อย่างไม่ลดละ แล้วกล่าว “พวกเขากําลังขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของพวกเรา”
ฉินมู่ตอบ “พวกเขานั่งขวางประตูอยู่ได้ครึ่งวันแล้ว ข้าวิ่งไปดูความวุ่นวายและพบว่ากําลังฝีมือของโฝจื่อนั้นกล้าแข็งจริงๆ มีทั้งพระสูตรมหายานยูไล วิชาไพรีพ่ายฤทธิ์ ร่างวัชระไม่แตกหัก สถูป ยูไล มุทรานิพพานมหายาน มุทรา 18 อรหันต์ ปรมาจารย์ ไม่รู้ ข้าเข้าใจอะไรผิดไปเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของเราหรือเปล่า”
ปรมาจารย์เยาว์งุนงง “เข้าใจผิดอะไร”
“หรือจริงๆ แล้วพวกเราอ่อนแอเอามากๆ”
ฉินมู่มีสีหน้าฉงน “ทําไมพวกเราถึงโดนอัดจนน่วม และทุกๆ วันก็มีแต่คนมานั่งขวางประตู ประตูพวกเราถูกขวางตั้ง 2 ครั้ง 2 คราหลังจากที่ข้าเข้ามาในมหาวิทยาลัย หากว่านี่เป็นแดนโบราณวินาศ พวกเราคงไปหิ้วคอพวกมันมากระทืบให้จั๋งหนับไปตั้งนานแล้ว”
ปรมาจารย์เยาว์ตอบอย่างมีนํ้าโห “ข้าไม่ได้พูดเรื่องนั้น ที่ข้าหมายความก็คือ โฝจื่อโฝซิ่นมาถึงที่นี่ แต่ทําไมเจ้าไม่ไปพบกับเขา แต่กลับแล่นมาหลังภูเขาแทน”
ฉินมู่ฉีกยิ้ม “ใครว่าข้าไม่ได้ไปพบเขา ข้าไปดูมาแล้ว และเพิ่งกลับมาจากประตูภูเขาเพื่อแวะมาทางหลังภูเขา ที่หน้าประตูภูเขากําลังคึกคักกันเลยทีเดียว”
ปรมาจารย์เยาว์โลดเต้นด้วยความเดือดดาล ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎรีบเสิรฟ์นํ้าชาให้ปรมาจารย์ดื่มชาไปหนึ่งถ้วยในรวดเดียว และกําลังอ้าปากจะพ่นถ้อยคําหลังจากที่วางถ้วยชาลง แต่ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎก็รีบรินชาให้เขาอีกถ้วย
ปรมาจารย์เยาว์ข่มความโมโหแล้วกล่าว “บัณฑิตคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิต่างก็วนเวียนไปปะทะประมือกับโฝจื่อแล้วทําไมเจ้ายังไม่ไป”
“ปรมาจารย์ ข้าเพิ่งเอาชนะเต๋าจื่อไปไม่นานมานี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้รับบาดเจ็บอีก”
ฉินมู่ครํ่าครวญ “เต๋าจื่อถึงกับแทงมือข้าทะลุเป็นรูโบ๋ ท่านดูสิ…เอ๊ะ รอยแผลเป็นหายไปไหน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าบาดเจ็บ บาดเจ็บภายในอย่างฉกาจฉกรรจ์ ในเมื่อข้าสู้ไปรอบนึงแล้ว ก็ปล่อยโฝจื่อสู้นั่นสู้นี่ไปตามแต่ใจเขาเถอะ ส่วนข้าจะไปเยียวยาฟื้นฟูร่างกาย ดูสิหน้าข้ายังบวมชํ้าอยู่เลย หากว่าท่านไม่ยอมออกหน้าช่วยเมื่อจ้าวลัทธิน้อยของท่านถูกวัวตัวหนึ่งอัดจนน่วมล่ะก็ ทําไมข้าจะต้องไปออกหน้าแทนมหาวิทยาลัยจักรวรรดิด้วย”
ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎกระแอมแล้วกล่าวเตือน “ปรมาจารย์ นํ้าชาเย็นหมดแล้ว”
“มันไม่เย็นเร็วขนาดนี้หรอกเว้ย!” ปรมาจารย์เยาว์ทุบโต๊ะปังแล้วยิ้มหยัน “เช่นนั้นทีนี้เจ้าอยากได้อะไร ให้เชื้อเชิญราชครูมาถ่ายทอดประสบการณ์อีกรอบ? ข้าเชื้อเชิญเขามาแล้วรอบนึง ถ้าข้าเชิญมาอีกรอบ ข้าจะเอาหน้าแก่ ๆ ของข้าไปไว้ที่ไหน ใครอีกที่เจ้าอยากให้เชิญมา จักรพรรดิ?”
ฉินมู่ใจเต้นเล็กน้อย และลองหยั่งเชิง “จักรพรรดิมาสอนบรรยายที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้จริงๆ น่ะหรือ”
ปรมาจารย์เงยหน้ากระดกชาทั้งถ้วยดื่มเข้าไป แม้แต่ใบชาเขาก็กินจนเกลี้ยงเพื่อระงับโทสะ จากนั้นหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยียบ “เลิกคิดไปเลย จะให้จักรพรรดิมาบรรยายน่ะมันเป็นไปไม่ได้! จะขอความช่วยเหลือคนระดับนั้นเมื่อประสบความยากลําบากน่ะครั้งหนึ่งยังพอได้ แต่ 2 ครั้ง? หน้าข้าไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น!”
ฉินมู่จึงตอบด้วยความแค้นเคืองใจ “ปรมาจารย์ เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋า และโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามต่างก็มาขวางประตูกันถ้วนหน้าแล้ว และข้าคิดว่าในเมื่อสองในสามสํานักใหญ่ที่สุดของโลกหล้าได้มาที่นี่ พวกเราลัทธิมารฟ้าไม่เผยโฉมออกมาขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิบ้างหรือ ข้าในฐานะจ้าวลัทธิน้อย ควรจะออกหน้าไปขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เพื่อประกาศก้องเดชานุภาพของลัทธิเรา…”
ปรมาจารย์เยาว์ทุบโต๊ะอีกรอบ และผุดลุกขึ้นทันที กานํ้าชากลิ้งโค่โร่ไปมาจากแรงทุบนั้นขณะที่ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎรีบเข้าไปขวางเขาและกล่าวปลอบ “ปรมาจารย์ใจเย็นๆ ใจร่มๆ! จ้าวลัทธิน้อยยังเป็นแค่เด็กไม่ประสา จะไปโกรธเคืองเขาก็ใช่เรื่อง! ใจเย็นๆ ก่อน!”
ปรมาจารย์เยาว์ระเบิดหัวเราะอันเกิดจากความเดือดดาลสาหัส “ฮ่าๆ เด็กร้ายกาจ เจ้าคิดว่าในมหาวิทยาลัยจักรวรรดินี้จะไม่มีใครที่เอาชนะโฝจื่อได้นอกจากเจ้าอย่างนั้นรึ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ก็ต้องมีแหละ แต่ว่าคงเป็นในอดีต ผู้คนเหล่านั้นได้สําเร็จการศึกษาไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหมดแล้วและมิใช่นักเรียนของที่นี่อีกต่อไป หากว่าปรมาจารย์อยากให้เต๋าและวิชาของบัณฑิตทั้งหลายเจริญรุ่งเรือง ท่านก็คงจะต้องเชื้อเชิญศิษย์เก่าเหล่านั้นกลับมาบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์เสียหน่อย ไม่มากมายอะไรสักนิด ท่านแค่เชิญพวกขุนนางชั้นหนึ่งแห่งราช สํานักมาถ่ายทอดเต๋า วิชา และทักษะเทวะ”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ขุนนางชั้นหนึ่งในปัจจุบันล้วนแต่เป็นบทบาทตัวตนอันเทียบเท่ากับจ้าวลัทธิ เจ้าสํานัก นอกจากนั้นที่เหลือก็เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลใหญ่ชั้นสูง พวกเขาจะสอนเคล็ดลับวิชาสําคัญของตนให้แก่ผู้คนในโลกหล้าได้อย่างไร ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่ข้านี้กําลังจะเกษียณอายุแล้วและไม่มีอารมณ์มาปลุกชีวิตฟื้นชีวาให้กับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง นี่คงต้องเป็นหน้าที่ของอธิการบดีคนต่อไป ข้าเพียงแต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิและราชครูจะจัดสรรผู้ใดมาเป็นอธิการบดีถัดจากข้า ว่าแต่เจ้าจะไม่ไปสู้กับโฝจื่อจริงๆ น่ะรึ หรือเจ้าคิดว่าเจ้าคงจะสู้เขาไม่ได้”
ฉินมู่ส่ายหน้า และตอบด้วยความผยองนิดๆ “ข้าคือกายาจ้าวแดนดิน ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเต๋าจื่อหรือโฝจื่อก็ไม่แตกต่าง”
“กายาจ้าวแดนดิน?”
ปรมาจารย์เยาว์ฟังแล้วงงไปครู่หนึ่ง “โลกนี้นี่มีของอย่างกายาจ้าวแดนดินด้วยหรือ”
ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎก็ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉินมู่ดูเปี่ยมปริ่มไปด้วยความมั่นใจและแม้แต่ปรมาจารย์เยาว์ก็ตกตะลึงกับความมั่นใจสุดขีดขั้วแบบนี้ ด้วยนํ้าเสียงที่เหมือนจะดูแคลนโลกหล้า เขากล่าว “ผู้ใหญ่บ้านบอกข้าด้วยตนเองว่าข้าคือ กายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งและหนึ่งเดียว และมีแต่ข้าที่สามารถฝึกปรือวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะได้”
“ที่แท้ก็เป็นสหายเฒ่าผู้นั้น เขาก็ยังคงเป็นผู้รอบรู้จริงๆ”
ปรมาจารย์เยาว์จ้องมองเขาอีกรอบแล้วถาม “เจ้าจะไม่ไปจริงๆ น่ะรึ แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมไป ข้าก็ยังมีคนที่สามารถใช้ไล่ให้โฝจื่อล่าถอยได้!”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อแล้วถามหยั่ง “ปรมาจารย์วางแผนที่จะปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อย แล้วออกไปสู้?”
ปรมาจารย์เยาว์ยกถ้วยชาของตนขึ้นแล้วตะโกน “รีบๆ ดื่มชาของเจ้าแล้วก็ไสหัวไปซะ!”
ฉินมู่ดื่มชาของตนแล้วพาฮู่หลิงเอ๋อเตรียมตัวจากไป แต่ทว่า เขาเกิดมีความคิดหนึ่งขึ้นมา จึงชะโงกหัวกลับมาถาม “ปรมาจารย์ เราไม่ควรปล่อยให้คนมาขวางประตูแบบนี้ตลอดๆ นะ ทําไมพวกเราไม่ไปขวางประตูคนอื่นบ้างล่ะ”
“เจ้าจะไปทําให้หรือ”
“จักรพรรดิจะมาสอนบรรยายที่นี่ไหม”
“ไสหัวไป!”
“รับทราบ”
“เจ้าเด็กดื้อนี่ ไม่ยอมยื่นมือช่วยหากว่าไม่มีผลประโยชน์” ปรมาจารย์เยาว์ส่ายหัวขณะที่ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎเผยยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยมิได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากมายกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ดังนั้นเขาจึงไม่ออกหน้าขันแข็งอย่างง่ายดายนัก ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์ก็มิใช่มีความสุขอย่างยิ่งหรอกหรือ”
ปรมาจารย์หัวเราะร่าแล้วกล่าว “เจ้าเด็กเปรตนี่ชอบแหย่ข้านัก สมแล้วกับที่ถูกเลี้ยงดูโดยพวกผู้เฒ่าพวกนั้น ตาเฒ่าคนนั้นแห่งหมู่บ้านพิการชรานับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่ามีของที่เรียกว่ากายาจ้าวแดนดินอยู่ในโลกนี้ด้วย แต่เขากลับรู้จักเมื่อข้าลาออกจากตําแหน่งอธิการบดี พวกเราตามไปหาเขาและสนทนากันเสียหน่อยดีกว่า แต่ทว่าจ้าวลัทธิน้อยเองก็พูดถูก มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะถูกคนอื่นขวางประตูเอาฝ่ายเดียวอยู่อย่างนี้ พวกเราน่าจะไปขวางประตูคนอื่นบ้าง พวกเขาอยากจะก่อกบฏนัก
ไม่ใช่หรือ พวกเราจะไปตะบันหน้าพวกมันให้ขายหน้าย่อยยับ ดูซิว่าจะมีหน้าก่อกบฏกันอีกไหม”
ผู้อาวุโสพิทักษ์กฎเตือนเขา “ปรมาจารย์ ท่านยังเหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือนก่อนจะลาออก”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจแล้วตอบ “ข้าคงต้องปล่อยให้คนอื่นจัดการเรื่องนี้ต่อ จักรพรรดิกําลังเล็งหาอธิการบดีคนใหม่ไว้แล้ว เจ้าคิดว่าใครนะที่จะมารับตําแหน่งต่อ”
ผูอ้ าวุโสพิทักษ์กฎส่ายหน้ากล่าว “ข้าจะรู้ได้อย่างไร แต่ข้ามีความรู้สึกว่าจักรพรรดิคงเลือกคนจากเหล่าขุนนางชั้นหนึ่งขั้นตํ่า แม้ว่าตําแหน่งอธิการบดีจะเป็นแค่ตําแหน่งขุนนางชั้นสาม แต่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์สูงและต้องอาศัยการดูแลจากคนไว้ใจใกล้ตัวของจักรพรรดิ”
…
ในวังหลวง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกําลังอ่านฎีกาต่างๆ และทันใดนั้นก็มีขันทีเข้ามารายงานด้วยเสียงนุ่มรื่นหู “ฝ่าบาท ใต้เท้ากู่มาเข้าเฝ้า”
“ให้เขาเข้ามา” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตอบโดยไม่เงยหน้า
“ข้ารองพระบาทของท่าน กู่ลี่หนวน คารวะองค์จักรพรรดิ!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเงยหน้าและมองไปยังกู่ลี่หนวนที่โค้งคํานับอยู่กลางโถง วางพู่กันลงแล้วกล่าว
“ใต้เท้ากู่ เจ้าหายสาบสูญไปตั้งหลายสิบปี และบัดนี้ได้รับความช่วยเหลือจากแม่ทัพน้อยฉินให้กลับมาได้ ถ้าจะว่ากันตามระเบียบแล้ว ข้าควรที่จะมอบตําแหน่งขุนนางให้เจ้า แต่ว่ามันเป็นความผิดไม่ใช่น้อยที่หายตัวไปตั้งนานขนาดนี้และถึงกับทํากระบี่ของราชสํานักหายไป เจ้าไม่สามารถหลบเลี่ยงเรื่องนี้ได้หรอกนะ แม้ว่าข้าอยากจะเลื่อนตําแหน่งให้เจ้ากลับเข้ามา แต่ก็ต้องทนแรงกดดันมหาศาลจากสภาขุนนางราชสํานัก ถึงอย่างไรก็ตามข้าเลือกที่จะยืนกรานตามความเห็นของตนต่อต้านเสียงส่วนใหญ่และ มอบหมายตําแหน่งสําคัญแก่เจ้า”
กู่ลี่หนวนประหลาดใจและปีติยินดี
“ตําแหน่งอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นตําแหน่งอันมีความสําคัญอย่างยิ่งยวด อธิการบดีคนปัจจุบันกําลังจะเกษียณตนเองจากตําแหน่ง และจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ดังนั้นข้าจึงมองหาผู้มีความสามารถ และข้าพบว่าเจ้าน่าจะเหมาะสม หวังว่าเจ้าคงไม่ทําให้ข้าผิดหวัง!”
“ข้าจะบุกนํ้าลุยไฟ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ฝ่าบาทมอบหมายอย่างดีที่สุดจนกว่าจะสิ้นสุดลมหายใจ!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยกพู่กันขึ้นแล้วอ่านฎีกาต่อ “เจ้าไม่จําเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลกหรอกนะ ถ้าเจ้าทําให้ข้าผิดหวัง ข้าก็แค่บั่นหัวเจ้า เจ้าออกไปได้”