ตอนที่ 169 งานอดิเรกของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลโดยเนื้อแท้แล้วเป็นทักษะเทวะที่ประกอบขึ้นมาจากพีชคณิต ความแตกต่างด้านทิศทาง สถานที่ ระยะห่าง และห้วงมิติ ล้วนแต่ต้องถูกคํานวณอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อใช้ควบคุมบังคับลําดับอักษรรูน
ทุกๆ จุดที่จะเคลื่อนย้ายระยะไกลไปนั้นต้องใช้กระบวนการคํานวณทางคณิตศาสตร์อย่างมหาศาล
วลีที่ว่า ‘กระบวนการคํานวณทางคณิตศาสตร์’ นี้อะไร หมายถึงกระบวนการ
กระบวนการหมายถึงลําดับ การวิวัฒน์ การเปลี่ยนแปลง และกฎของอักษรรูนในพยุหะ ด้วยการวิวัฒน์ลําดับของอักษรรูนในพยุหะ กฎก็จะแปรเปลี่ยน นั่นแหละถึงจะเกิดการคํานวณขึ้นมา
เมื่อหลอมสร้างทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลลงไปในสมบัติวิเศษ มันก็คือการอาศัยความเปลี่ยนแปลงของลําดับอักษรรูนและพยุหะที่ผนึกลงไปในเนื้อสมบัติเพื่อผลักดันการคํานวณ ซึ่งทําให้เกิดการคํานวณที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการดีดลูกคิดนับพันๆ เท่า หรืออาจจะมองได้ว่าเป็นลูกคิดขนาดใหญ่มหึมาที่สร้างขึ้นมาอย่างซับซ้อนพิสดาร
หากว่าเขาหมายจะช่วงใช้ทักษะเทวะนี้ด้วยตนเอง เขาจะต้องสามารถปรับทิศทางการคํานวณได้ทุกที่และทุกเวลา ค้นหาแง่มหัศจรรย์ของการเคลื่อนย้ายระยะไกลจากอักษรรูนอันซับซ้อนเหล่านั้น
ด้วยตําราพื้นฐานการคํานวณ 10 เล่ม คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอนุมานกระบวนการคํานวณอันซับซ้อนนี้
ดังนั้นฉินมู่จึงรู้สึกว่าเขาต้องการตําราพีชคณิตที่เหนือลํ้ากว่าเดิม นั่นล่ะเขาถึงจะเรียนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลได้
“วิชาคํานวณ ขั้นลึกซึ้งน่าจะมีสอนในโถงเรียงธาตุของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ โถงเรียงธาตุสอนวิชาการจัดเรียงพยุหะ ค่ายกล ดังนั้นพวกเขาต้องใช้กระบวนการคํานวณของพีชคณิตเป็นแน่ บางทีสํานักเต๋าอาจจะมีวิชาคํานวณลึกลํ้าระดับนั้นหรือยิ่งกว่านั้นด้วยซํ้า…”
ฉินมู่พลันระลึกถึงเต๋าจื่อหลินเสวียน เมื่อเต๋าจื่อหลินเสวียนร่ายรํากระบวนท่าหนึ่งจุดเคลื่อนไกล หยินและหยางผันแปรสองลักษณ์ เขาได้ใช้วิธีการคํานวณพีชคณิตอันสูงส่งยิ่ง
หยินและหยางผันแปรสองลักษณ์นั้นต้องการกระบวนการคํานวณทางพีชคณิตที่มากมายมหาศาล และหากไม่มีความเชี่ยวชาญทักษะการคํานวณแล้วล่ะก็ หลินเสวียนคงมิอาจคิดคํานวณความเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่าและระบุจุดอ่อนของฉินมู่ได้โดยทันทีเป็นแน่
“โดยปราศจากวิชาการคํานวณชั้นสูง ตอนนี้ข้าก็คงยังเรียนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลไม่ได้ ตอนนี้ข้ารู้แต่ว่ากระบวนการคํานวณเหล่านี้ให้ผลลัพธ์อะไร แต่ไม่รู้ว่ามันไล่เลียงออกมาได้อย่างไร เช่นนั้นตอนนี้ข้าควรหลอมสร้างสมบัติวิเศษสําหรับเคลื่อนย้ายระยะไกลเสียก่อน”
ฉินมู่คลายใจไม่คิดยุ่งเหยิง และจดจ่อกับการหลอมสร้างสมบัติวิเศษ ไม่ว่าเขาจะหลอมสร้างธงหรือเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกล เขาก็ต้องการผืนผ้า ตอนนี้ที่ติดตัวอยู่ก็มีแค่ชุดปักลายบนเนื้อตัวเขาเท่านั้น เขาจึงได้แต่ต้องใช้มันมาหลอมสร้างไปก่อน
ในขณะเดียวกัน เมื่อใช้เสื้อปักลายอันถักทอจากไหมทองธรรมชาติหกปีกมาหลอมสร้างเป็นเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกล เขาก็จําเป็นต้องดึงเส้นไหมจากในเสื้อออกมาจํานวนหนึ่ง หลังจากที่ดึงเส้นไหมทองธรรมชาติออกมาแล้ว เขาก็ใช้ไหมทองธรรมชาติเหล่านั้นมาปักเย็บลวดลายพยุหะบนเสื้อผ้า และใช้ปราณชีวิตของเขาผนึกอักษรรูนลงไป
เขารํ่าเรียนวิชาตัดเย็บจากท่านยายซีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์กับการปักลายอยู่ ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด
“เจ้าคิดว่าอย่างไร จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะออกจากภูเขานักบุญเยือนด้วยกําลังความสามารถของตนเองได้ไหม”
เทวราชทั้ง 3 ยังคงรั้งรออยู่ในภูเขานักบุญเยือนเพื่อมิให้ฉินมู่ติดแหง็กอยู่ที่นี่ ผู้เฒ่าทั้ง 3 มองไปยังโถงแสงล่องลอย และเทวราชหลู่ก็ลูบเคราแพะของตนเองแล้วกล่าว “หลอมสร้างสมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลใช่จะเป็นเรื่องง่าย วิธีการเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิเรานั้นนับว่าเป็นทักษะเทวะที่ทําให้ผู้คนปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุด”
เทวราชอวี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยสุดๆ “ศาสตร์เคลื่อนย้ายระยะไกลต้องอาศัยความรู้ด้านพีชคณิตอันสูงลํ้า และหากว่าไม่มีความเชี่ยวชาญพีชคณิตเลย คงจะเรียนรู้ไม่ได้ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์นี้ยังเยาว์อยู่มาก และไม่น่าที่จะมีความเชี่ยวชาญในพีชคณิตที่ลึกลํ้าอะไรนัก”
“ปล่อยให้เขาตรึกตรองทําความเข้าใจอีกสักสามสี่วัน หากว่าไม่พบอุปสรรคความยากลําบากก็ย่อมยากจะรุดหน้า รู้จักอุปสรรคยากลําบากและรู้จักความก้าวหน้า นั่นจึงเป็นจิตใจที่มุ่งแสวงหาความรู้”
เทวราชฉือเป็นผู้ที่เอาใจใส่มากที่สุด “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์พบอุปสรรคขวากหนามน้อยเกินไป และขึ้นมายังตําแหน่งจ้าวลัทธิได้โดยง่าย หากว่าไม่ลับคมเขาด้วยหินลับมีดและตะไบแล้ว ก็คงยากที่เขาจะเติบโต นี่เป็นเจตจํานงของปรมาจารย์”
เทวราชลัทธิอีกสองคนผงกหัวหงึกๆ “เช่นนั้นพวกเราจําเป็นต้องสร้างขวากหนามเพื่อลบคมเขาไหม”
“ไม่จําเป็นหรอก การตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาครั้งนี้คงเพียงพอที่จะให้เขารู้จักอุปสรรคความล้มเหลวแล้ว เจตจํานงของปรมาจารย์ก็คือ รอจนกว่าเขาสิ้นหนทางไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้ พวกเราค่อยให้ธงเคลื่อนย้ายระยะไกลกับเขา”
เทวราชฉือแย้มยิ้มแล้วกล่าว “พฤติการณ์ของปรมาจารย์แต่ละอย่างล้วนแต่มีนัยลึกลํ้า เจ้าทั้ง 2 ก็คงรู้ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนที่จะสามารถช่วงใช้ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ ดังนั้นไฉนปรมาจารย์จึงทิ้งเขาไว้ที่นี่ให้เขาดันทุรังเรียนวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลล่ะ”
เทวราชหลู่และเทวราชอวี้ต่างก็ตาเป็นประกาย และพวกเขาปรบมือหนึ่งคราด้วยความทึ่งชื่นชม
แม้ว่าทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลจะสลักจารึกไว้หราบนกําแพงโถงแสงล่องลอย และไม่หวงห้ามศิษย์ลัทธิเข้าชมดู แต่ว่ามีไม่กี่คนที่สามารถเรียนรู้ทักษะเทวะนี้ได้ หัวหน้าโถงทุกคนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีธงเคลื่อนย้ายระยะไกลประจําตนแต่ธงเหล่านั้นพวกเขามิได้หลอมสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง แต่เป็นสมบัติวิญญาณอันถูกหลอมสร้างโดยเทวราชลัทธิทั้ง 4
มีไม่กี่คนในทั่วทั้งลัทธิมารฟ้าที่สามารถตรึกตรองเข้าใจศาสตร์เคลื่อนย้ายระยะไกล และหลอมสร้างมันเป็นสมบัติวิเศษได้ แม้แต่ธิดาเทพรุ่นก่อน ซีหยูหยู ก็ไม่อาจตรึกตรองเข้าใจมัน นางไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านพีชคณิต
แนวคิดของปรมาจารย์นั้นก็คือให้ฉินมู่ไปเรียนวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลในโถงแสงล่องลอย และเมื่อฉินมู่ค้นพบว่าทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลนั้นต้องอาศัยความสําเร็จอันสูงลํ้าในด้านพีชคณิต เวลาก็คงล่วงเลยไปมากกว่า 10 วันแล้ว
ดังนั้นหลังจาก 10 กว่าวันผ่านไป ฉินมู่ก็จะตระหนักว่าเขาไม่อาจเรียนรู้ทักษะเทวะนี้ได้ และทําได้แต่หลอมสร้างสมบัติวิเศษสําหรับเคลื่อนย้ายระยะไกลเท่านั้น หลังจากนั้นอีก 10 กว่าวัน ฉินมู่ก็จะพบว่าขนาดสมบัติเขาก็หลอมสร้างออกมาไม่ได้
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นิสัยซุกซนอยู่ไม่สุขของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์อายุเยาว์ผู้นี้ก็จะถูกลับคม ทําให้เขารู้ฟ้าสูงแผ่นดินตํ่า จากนั้นเขาก็จะเรียนรู้การหักห้ามตนไม่ให้มุทะลุบุ่มบ่ามและประเมินตนเองสูงเกินความเป็นจริง
เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉินมู่ก็จะสงบใจลงและหันมาตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดของลัทธินักบุญสวรรค์ หลังจากนั้นเทวราชลัทธิทั้ง 3 จึงจะปรากฏตัวและมอบธงเคลื่อนย้ายระยะไกลให้แก่จ้าวลัทธิหนุ่มผู้นี้ เพื่อให้จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์สามารถออกไปจากภูเขานักบุญเยือน อันเป็นตอนจบที่ทุกคนจะปลาบปลื้มยินดี
นี่คือจุดมุ่งหมายอันลึกลํ้าที่ปรมาจารย์ให้ฉินมู่ยังอยู่บนภูเขา เพื่อทําความเข้าใจทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล
เทวราชหลู่มีสีหน้าหนักอึ้ง “เกิดอะไรขึ้นกับเทวราชเฉียนกันแน่ พวกเจ้ามีข่าวคราวอะไรบ้างไหม”
เทวราชฉือและเทวราชอวีส่ายหน้า เทวราชฉือกล่าว “ศิษย์พี่เฉียนดูท่าจะประสบเคราะห์ร้าย เขานั้นเป็นผู้ที่คึกคักอย่างที่สุด แต่กลับยังมาไม่ถึงที่นี่ ข้าคะเนว่าศัตรูของพวกเราจะต้องลงมือกับเขา หมายที่จะรีดเค้นตําแหน่งที่ตั้งของสํานักใหญ่ลัทธิเรา เพื่อสืบเสาะว่าใครขึ้นเป็นจ้าวลัทธิคนใหม่ ด้วยนิสัยใจคอของเขา เขาย่อมไม่บอกแก่ศัตรู…”
เทวราชหลู่ใจเต้นรุนแรง “ศิษย์พี่เฉียนมีวรยุทธ์สูงส่งขนาดนั้น…”
“ไม่ว่าเขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหนแต่ก็ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ดี”
เทวราชฉือกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งของสภาราชสํานักล้วนแต่เป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ สํานักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคํารามก็ล้วนไม่ขาดชนชั้นสุดยอดฝีมือ สํานักและตระกูลอื่นๆ
ก็มียอดฝีมืออันซุ่มซ่อนซึ่งล้วนแต่จับจ้องลัทธินักบุญสวรรค์ตาเป็นมัน พวกเขาหลายคนคิดว่าลัทธินักบุญสวรรค์เราเสื่อมโทรมลงแล้วหลังจาก 40 ปีที่ตําแหน่งจ้าวลัทธิขาดหายว่างเว้น ดังนั้นใครล่ะจะไม่ฉวยโอกาสลอบกัดพวกเราสักทีสองที แต่ประเด็นที่สําคัญที่สุดก็คือ ศัตรูที่ลอบกัดพวกเรามันคือกลุ่มอํานาจไหนกันแน่”
ทุกคนนิ่งงัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เทวราชอวี้ก็กล่าว “คราวนี้จ้าวลัทธิได้บัญชาให้ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาก่อตั้งโถงที่ 361 โถงโรงเรียน นี่เป็นเรื่องใหญ่ ความสามารถของจ้าวลัทธิผู้นี้เหนือกว่าจ้าวลัทธิหลี่ไปอีกระดับชั้น วิสัยทัศน์และความเฉียบขาดของเขาดูไม่เหมือนกับเด็กที่เพิ่งอายุสิบกว่าปีจะมีได้ เขาดูเหมือนจะเปี่ยม ประสบการณ์ยิ่งกว่าผู้เฒ่าที่อยู่มานานหลายร้อยปี”
“นั่นน่าจะเพราะปรมาจารย์แนะนําให้เขาทํา”
“นั่นก็เป็นไปได้…เอ๊ะ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากโถงแล้ว!” เทวราชทั้ง 3 มองไปยังโถงแสงล่องลอยและเห็นฉินมู่เดินออกมา เสื้อปักลายชั้นนอกที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเปิดอ้า จ้าวลัทธิหนุ่มน้อยผู้นี้พลันโบกเสื้อปักลายชั้นนอกของตนคลุมร่าง แล้วหายวับในวูบเดียว!
เทวราชทั้งหลายตกตะลึงและพลันได้ยินเสียงโครมครามดังสนั่น ศาลาหงส์เพลิงเยือนถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง
“แย่แล้ว!”
3 เทวราชสะท้านใจอย่างรุนแรง พวกเขารีบหันไปมองทางศาลาหงส์เพลิงเยือน ข้างใต้ซากของศาลาที่พังถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง หนุ่มน้อยลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ อย่างระวังไว เมื่อเขาคิดว่าไม่มีใครเห็นความย่อยยับที่เขาทําเขาก็ถอนหายใจโล่ง แล้วคลี่เสื้อชั้นนอกคลุมร่างตนหายวับไปอีกครั้ง
“ศาลาหงส์เพลิงเยือนนั้นเป็นสถานที่ที่จ้าวลัทธิรุ่นที่ 6 ใช้รับรองต้อนรับหงส์เพลิง หงส์เพลิงลงจากสรวงสวรรค์มายังภูเขานักบุญเยือน นับเป็นเกียรติสูงส่งแค่ไหน…”
เทวราชอวี้สั่นเทิ่มทั้งพุงทั้งน่องและพึมพํา “ตอนนี้มันพังไปครึ่งหลัง เราจะเอาหน้าที่ไหนไปบอกกล่าวกับบรรพบุรุษและศิษย์ลัทธิเรา”
เทวราชฉื่อก็สีหน้าแปรเปลี่ยนและพึมพําด้วยนํ้าเสียงลังเลสับสน “มีบันทึกเดียวของจ้าวลัทธิคนที่ 6 ที่บอกเล่าถึงนกหงส์เพลิงจับเจ่าอยู่บนต้นอู่ถง แม้ว่ามันเป็นเพียงคําบอกเล่าบรรยาย มิใช่เคล็ดวิชา แต่ข้าก็ท่องบันทึกนกหงส์เพลิงจับเจ่าบนต้นอู่ถงนั้นได้ขึ้นใจ พวกเราช่วยกันซ่อมศาลาหงส์เพลิงเยือนแล้วเรียก หัวหน้าโถงหนังสือมาลอกเลียนแบบลายมือของจ้าวลัทธิคนที่ 6 และจารึกมันใหม่ไว้บนผนังศาลากันเถอะ ข้าเชื่อว่าทําอย่างนี้คงไม่มีใครรู้ว่าศาลานี้เคยพังมาก่อน!”
“ดูเหมือนว่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะหลอมสร้างเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกลได้สําเร็จ แม้ว่าเขาจะยังควบคุมมันไม่ค่อยได้”
เทวราชหลู่ตกตะลึง “เขาถึงกับรังสรรค์สมบัติวิเศษเคลื่อนย้ายระยะไกลได้เลยหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงตูมดังสนั่นมาอีกลูก และ 3 เทวราชลัทธิก็หันไปมองตามทิศทางเสียง สีหน้าพวกเขาดําคลํ้าทันที
หลังคาของโถง 3 ราชันย์พังถล่ม จ้าวลัทธิหนุ่มน้อยของพวกเขายังควบคุมเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกลไม่คล่อง จึงเคลื่อนย้ายไปโผล่เหนือโถง 3 ราชันย์และตกทะลุหลังคาโถงนั้นเป็นรูโผล่เบ้อเร่อ
โถง 3 ราชันย์เป็นโถงที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ 3 จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 คนนี้มีชีวิตอยู่ในรุ่นเดียวกันและในตอนนั้นการต่อสู้ระหว่างสํานักเข้มข้นดุเดือด สํานักเต๋าได้รวบรวมทุกสํานักฝ่ายเที่ยงธรรมในโลกหล้า เพื่อรวมทัพกันมาโจมตีลัทธิมารฟ้าในครั้งนั้น จ้าวลัทธิเฒ่าเสียชีวิตในการต่อสู้และมอบหมายลัทธิให้แก่เทวราชชิงก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ เทวราชชิงจึงถ่ายทอดคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้แก่ธิดาเทพก่อนแล้วจึงนําทุกคนออกไปสู้รบ ต่อสู้จนตัวตายในสระคลื่นหยก
หลังจากที่ธิดาเทพสืบทอดตําแหน่งจ้าวลัทธิ นางก็ออกหน้าไปรบอีกครั้งและฆ่าฟันสํานักเต๋าจนพวกนั้นไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป และต้องถอยทัพอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อธิดาเทพกลับมาที่ภูเขานับบุญเยือน นางก็ถ่ายทอดวิชาให้จ้าวลัทธิคนต่อไปก่อนที่อาการบาดเจ็บของนางจะปะทุออกมาและคร่าชีวิตนางไปทั้งๆ ที่ยังนั่งในท่าถ่ายทอดวิชา
ดังนั้น จ้าวลัทธิคนถัดไปจึงสร้างโถง 3 ราชันย์เพื่อเป็นอนุสรณ์รําลึกถึงพวกเขา
ฉินมู่เคลื่อนย้ายระยะไกลผิดพลาดและทําลายศาลาหงส์เพลิงเยือนเมื่อครู่นั้นยังพอทําเนา แต่บัดนี้เขามาทุบทําลายโถง 3 ราชันย์นั่น มันมากไปหน่อยละ!
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็โบกผ้าดังพรึ่บและหายวับไปอีกรอบ เทวราชทั้ง 3 สะดุ้งโหยงด้วยความแตกตื่นและรีบวิ่งตามไปโดยพลัน “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เจ้าปีศาจน้อย! เจ้าหยุดทุบพังอาคารเดี๋ยวนี้นะ!”
วรยุทธ์ของสามเทวราชนั้นแข็งแกร่งเข้มข้นและพวกเขาก็ยังฝึกปรือวิชาเคลื่อนย้ายระยะไกล สมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลของเทวราชฉื่อเป็นธงผืนหนึ่งซึ่งเคลื่อนย้ายเขาในพริบตาด้วยการคลี่ธง เทวราชหลู่ได้หลอมสร้างกระจกอันเคลื่อนย้ายเขาไปทันทีที่ส่องเข้าหาตัว
เทวราชอวี้หลอมสร้างจี้หยกซึ่งห้อยไว้ที่เอว เมื่อตบมันเบาๆ จี้หยกก็จะเปล่งแสงออกมาอาบร่างเขาแล้วพาเขาเคลื่อนย้ายไป
ทั้ง 3 คนคลุกคลีกับวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลมานมนาน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถฝึกปรือทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ แต่พวกเขาก็สามารถควบคุมสมบัติวิเศษของตนได้อย่างง่ายดายและคล่องแคล่วมากกว่ามือใหม่
3 เทวราชคล่องแคล่วในวิชาของตน พวกเขาจึงสามารถทํานายได้ว่าฉินมู่จะเคลื่อนย้ายระยะไกลไปยังจุดไหน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบรุดไปขัดขวาง แต่ทว่าก็ยังคงช้าไปเสี้ยวยาแดงผ่าแปด และตะครุบอากาศเปล่า ร่วงลงไปในบ่อชมมัจฉาด้วยกันทั้งหมด
ปลามังกรในบ่อดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ฉินมู่ตกลงไปในบ่อชมมัจฉา ปลามังกรเหล่านั้นก็อ้าปากหมายจะงับแต่ก็ไม่ทัน ทีนี้เมื่อเทวราชทั้ง 3 หล่นตามลงมาพอดี มันจึงง้างปากงับอีกรอบ
ร่างของ 3 เทวราชหายวับไปทันที ทําให้ปลายักษ์เหล่านั้นงับลม ฟันคมกริบของมันกระทบกันสร้างประกายไฟกระเซ็นซ่านไปทั่ว
ปลามังกรพวกนั่นสลัดศีรษะแล้วว่ายออกไปจากจุดนั้นด้วยความแค้นเคือง
3 เทวราชไปปรากฏกลางอากาศและเมื่อพวกเขาเอื้อมมือไปคว้าฉินมู่ซึ่งกําลังยกเสื้อปักลายชั้นนอกตวัด มือของเขาพวกเขาเอื้อมไปคว้าเป็นมั่นเหมาะ แต่ฉินมู่ก็เร็วกว่าทําให้พวกเขาคว้าจับได้แต่รอยเงา
“ก่อนปรมาจารย์จะจากไป เขาก็เตือนพวกเราแล้วว่าจ้าวลัทธิน้อยมีงานอดิเรกแปลกประหลาด ชอบทุบทําลายสิ่งของ หากว่าพวกเราจับเขาไว้ไม่ได้ล่ะก็….”