Skip to content

Tales of Herding Gods 170

ตอนที่ 170 ร้อยรัดมวลวิชา

ทั้ง 3 คนรีบกระตุ้นสมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลของตนอีกครั้ง และได้ยินตึบๆๆ และทัศนวิสัยพลันมืดสนิท ร่างกายของพวกเขาก็ถูกจํากัดการเคลื่อนที่อย่างแน่นหนา พวกเขาจึงตระหนักว่ามีอะไรผิดปกติ พวกเขารีบสร้างคลื่นสะเทือนของปราณชีวิตทําลายสิ่งที่ห้อมล้อมร่างของพวกเขาไว้ และพบว่าพวกเขาได้เคลื่อนย้ายระยะไกลเข้าไปในใจกลางลําต้นไม้ขณะที่ไล่ตามฉินมู่

“จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหน” เทวราชฉือถาม ขณะที่เขาพูดอยู่นั่นเอง พวกเขาก็เห็นหัวฉินมู่โผล่ออกมา

จากต้นไม้ขนาด 2 คนโอบ ร่างของเขาติดแหง็กอยู่ในลําต้นของต้นไม้นี้ไม่อาจดิ้นหลุดออกมาได้

ไม้ต้นนี้คือต้นปาล์มสาคู และเนื้อไม้ของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าโลหะ

เทวราชหลู่ตะโกนไปด้วยอารมณ์บูด “จ้าวศักดิ์สิทธิ์ ไม่วิ่งเล่นต่อแล้วหรืออย่างไร”

“เทวราชทั้ง 3 พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่หรอกหรือ” ฉินมู่ตอบด้วยสีหน้าละอาย “ปราณชีวิตของข้าหมดเกลี้ยง ข้า

เลยติดอยู่ในปาล์มสาคู สะบัดผ้าของตนไม่ได้ เทวราชทั้ง 3 ช่วยข้าด้วย”

เทวราชทั้ง 3 ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้

เทวราชฉื่อฟันต้นปาล์มสาคูช่วยแงะฉินมู่ออกมา

“จ้าวลัทธิ ท่านเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเราและมีศักดิ์ฐานะอันสูงส่ง ไม่ควรที่จะวิ่งเล่นไปทั่ว ในภูเขานักบุญเยือนแห่งนี้ อาคารสถานในภูเขานับบุญเยือน ล้วนแต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีความหมายลึกซึ้งในตัวของมัน”

เทวราชหลู่กล่าว “จ้าวลัทธิ ท่านไม่ใช่เด็ก…”

เขาพลันชะงักเพราะเพิ่งนึกได้ ไม่ใช่ว่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่เด็กหรอกหรือ

ฉินมู่นั้นยังไม่ 15 ขวบปีเต็ม และอายุน้อยกว่าพวกเขาตั้งหลายเท่า

เทวราชหลู่พึมพํา “เมื่อตอนที่ข้าอายุเท่าจ้าวลัทธิ ข้ายังเล่นดินเล่นโคลนทั้งวัน…ไม่สิ ข้าช่วยที่บ้านเกี่ยวข้าวได้แล้ว เอาเถอะ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ศาสตร์การเคลื่อนย้ายระยะไกลนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่งและหากว่าท่านไม่ระมัดระวังก็อาจจะเคลื่อนย้ายไปโผล่ในพื้นที่เวทจํากัดเขตซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแม้แต่เทวดาลงมาก็ช่วยท่านไม่ได้! บนภูเขานักบุญเยือนแห่งนี้มีพื้นที่หวงห้ามอันมีเวทจํากัดเขตอยู่ตั้งหลายแห่ง!”

ฉินมู่ฟังแล้วเยือกไปถึงกระดูก หากว่าเขาเคลื่อนย้ายไปโผล่ในพื้นที่เวทจํากัดเขต เขาคงตายอย่างน่าอนาถ!

“จ้าวลัทธิ สมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลนั้นต้องอาศัยการระบุตําแหน่งให้แน่ชัด และที่สําคัญที่สุดคือตําแหน่งที่จะเคลื่อนย้ายไป”

3 เทวราชมองตากันไปมา ข่มระงับความแตกตื่นในใจ ก่อนที่จะกล่าวต่อ “จ้าวลัทธิ ท่านได้หลอมสร้างเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกลแล้วแต่ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการกําหนดตําแหน่งปลายทาง นี่ มันอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านเคลื่อนย้ายระยะไกล ประการแรกจะต้องกําหนดตําแหน่งปัจจุบันและกําหนดตําแหน่งปลายทางที่ต้องการไป เมื่อท่านเกือบจะถึงตําแหน่งปลายทาง ให้ท่านดึงปราณชีวิตกลับมาทันทีมิเช่นนั้นแล้วท่านจะไปชนเข้ากับอะไรสักอย่าง และเมื่อท่านทดลองฝึกทําครั้งแรกๆ อย่าเคลื่อนย้ายไปเป็นระยะทางไกลเกินไปนัก และลองใกล้ๆ ดูก่อน การเคลื่อนย้ายระยะใกล้นั้นจะทําให้ท่านหยุดยั้งการเคลื่อนย้ายได้สะดวกดายยิ่งขึ้น”

ฉินมู่ตาลุกวาบ “เช่นนั้นข้าจะลองดูอีกที!”

เทวราชทั้ง 3 พลันมีสีหน้ากระสับกระส่าย

เทวราชอวี้รีบกล่าว “จ้าวลัทธิ ปราณชีวิตของท่านแห้งเหือดและไม่ควรรีบด่วนใจร้อน ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ปรมาจารย์ทิ้งท่านไว้ที่นี่มิใช่เพื่อให้ศึกษาทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล เขาหมายให้ท่านสงบจิตสงบใจเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัด ภูเขานักบุญเยือนนี้สงบศานติเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเสียงรบกวนจากโลกภายนอก หากว่าท่านออกไปจากที่นี่ท่านอาจจะต้องเสียเวลาถึงปีสองปีเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดได้โดยสมบูรณ์”

ฉินมู่พลันกระจ่างใจ ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ปรมาจารย์เยาว์ปล่อยเขาไว้ที่นี่

เขามัวแต่ขบคิดเรื่องการหลอมสร้างเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกลในช่วง 2 วันนี้เพื่อหมายจะออกไปจากที่นี่ และลืมนึกถึงเจตนารมณ์ของปรมาจารย์เยาว์

“ข้ารีบร้อนอยากประสบความสําเร็จมากเกินไป” ฉินมู่กล่าวขอบคุณอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณเทวราชทั้งหลาย ที่ชี้หนทางอันเที่ยงแท้”

“พวกเรามิกล้ารับ!” เทวราชทั้ง 3 รีบคารวะกลับไปอย่างเคร่งขรึม

เทวราชฉือกล่าว “จ้าวลัทธิมีปัญญาญาณอันสูงลํ้าโดดเด่นและย่อมต้องได้ผลลัพธ์อันอัศจรรย์หากท่านยังรั้งอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน”

ฉินมู่ระงับใจตนให้สงบ แล้วเดินตรงไปยังสนไซเปรส เขานั่งบนก้อนหินและตรึกตรองทําความเข้าใจคัมภีร์ที่คนตัดไม้ถ่ายทอดให้เขาอย่างขมีขมัน

3 เทวราชต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เทวราชฉือ พึมพํา “ปรมาจารย์ทิ้งจ้าวลัทธิเอาไว้บนภูเขานักบุญเยือน หมายจะขัดเกลานิสัยใจคอของเขา นิสัยใจคอของจ้าวลัทธินับว่าซุกซนอยู่ไม่สุขจริงๆ แต่ปรมาจารย์ต้องไม่คาดคิดว่าจ้าวลัทธิจะสามารถ ฝึกปรือวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ถึงขนาดนั้นด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนก พวกเจ้าว่าจริงไหม”

เทวราชอีก 2 คนมีสีหน้าแปลกประหลาด กุศโลบายของปรมาจารย์เยาว์แม้จะดีงาม แต่ใครล่ะจะคิดว่าพอเขาไปจากภูเขาแค่ไม่ทันไร ฉินมู่ก็ตระหนักขึ้นมาเองว่าเขาไม่อาจฝึกทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลได้ในขณะนี้ และจําเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในพีชคณิตเสียก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ยังตระหนักได้ทันทีว่าเขาสามารถหลอมสร้างสมบัติเคลื่อนย้ายระยะไกลก่อน

นี่เพิ่งจะวันที่ 2 และเขาก็โผล่ออกมาจากโถงพร้อมกับเสื้อผ้าเคลื่อนย้ายระยะไกลเพื่อเคลื่อนย้ายไปทางโน้นทีทางนี้ทีแล้ว ทําให้ 3 เทวราชต้องปวดหัวจนแทบตาย

เทวราชหลู่ส่ายหน้า “ปัญญาญาณของปรมาจารย์สูงลํ้าเพียงใด ไฉนเขาจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ เขาต้องคาดเอาไว้แล้ว ถึงให้พวกเรา 3 คนคอยเฝ้าสถานที่นี้เอาไว้”

แต่หลังจากนั้นสักพักเทวราชทั้ง 3 ก็ถอนใจเป็นเสียงเดียวกัน “เฮ้อ ปรมาจารย์คงคิดไม่ถึงหรอก”

เทวราชทั้งสามพลันรู้สึกกระวนกระวายติดค้างใจ เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ซุกซนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ฉลาดเฉียบแหลมอย่างสุดๆ ทําให้พวกเขาไม่มีหนทางสร้างบทเรียนขัดเกลานิสัยใจคอของจ้าวลัทธิได้

ด้วยความเร็วของฉินมู่ เพียงแค่เขาฝึกหัดอีกสี่ห้าครั้งก็จะเชี่ยวชาญในวิธีเคลื่อนย้ายระยะไกล แล้วเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาจะหาเหตุผลอะไรให้จ้าวลัทธิอยู่ต่อเพื่อขัดเกลานิสัยใจคออันซุกซน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เทวราชอวี้ก็แย้มยิ้ม “ดูเหมือนพวกเราจะเสียเวลาเปล่าๆ กับปัญหาที่ไร้ทางแก้”

เทวราชอีก 2 คนมองไปที่เขาและส่งสายตากังขา เทวราชอวี้จึงยิ้มแล้วกล่าวต่อ “จ้าวลัทธิศักดิ์ฉลาดเฉลียวขนาดนี้ หากเขาอยากเล่นสนุกบ้าบอแค่ไหนก็ปล่อยให้เขาเล่นไป ในเมื่อเขามีนิสัยใจคอซุกซน ก็ปล่อยให้เขาซุกซน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจ้าวลัทธิ เราอย่าไปห่วงเรื่องอื่นๆ เลย แค่คอยเก็บกวาดความปั่นป่วนที่เขาทิ้งไว้ก็พอ งานเก็บกวาดให้เรียบกริบเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วนี่”

เทวราชฉื่อกล่าว “คงจะเป็นอย่างเดียวที่เราทําได้ละนะ ถ้าอย่างนั้นละก็ หากจ้าวลัทธิอยากจะเล่นสนุกบ้าบอไปทั่วอีก ข้าคิดว่าให้เขารีบออกจากภูเขานักบุญเยือนเร็วๆ ดีกว่า แล้วปล่อยให้เขาไปทรมานผู้คนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิแทน”

ผู้อาวุโสทั้ง 3 พากันไปที่ศาลาหงส์เพลิงเยือนและผันตัวเป็นช่างไม้ชั่วคราวเพื่อซ่อมแซมศาลาหงส์เพลิงเยือน จากนั้นพวกเขาก็ไปที่โถง 3 ราชันย์เพื่อซ่อมแซมหลังคาอันทะลุปรุพัง

เทวราชหลู่ออกเดินทางไกลและพาหัวหน้าโถงหนังสือกลับมาภายใน 2 วัน เพื่อให้เขาปลอมแปลงบันทึกนกหงส์เพลิงจับเจ่าบนต้นอู่ถงบนผนังของศาลาหงส์เพลิงเยือน

หลังจากซ่อมแซมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เทวราชทั้ง 3 ก็ถอนหายใจโล่งอกและมองตากันไปมา “การนั่งสมาธิตรึกตรองของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์คราวนี้คงจะทําให้พวกเราพอมีเวลาหายใจหายคอสักครึ่งปีกระมัง?”

“ด้วยปฏิภาณ ความเข้าใจอันเหนือมนุษย์ของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่าคงยาก”

ที่ใต้ต้นสนไซเปรส ฉินมู่นั่งอยู่บนหินนักบุญอยู่หลายวัน เมื่อเขาหิวหรือกระหาย จิ้งจอกน้อยก็จะเก็บผลไม้หลากชนิดมาจากที่ไหนสักแห่งมาป้อนเขา ฉินมู่กับฮู่หลิงเอ๋อก็จะกินผลไม้เหล่านั้นด้วยกัน

ฉินมู่นั่งตรึกตรองอยู่มากกว่า 10 วันและทบทวนการสาธยายของคนตัดไม้มากกว่า 10 ครั้ง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ายังยากเกินไปที่เขาจะตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัดออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่ม กระสับกระส่าย

“วันนี้พวกเราอย่ากินผลไม้เลย ข้ากินผลไม้มาทุกวันและปากข้าก็ชืดชาไปหมด”

ฉินมู่ลุกขึ้นจากหินนักบุญและเอ่ยถามฮู่หลิงเอ๋อ “วันนี้เราจะกินเนื้อกัน หลิงเอ๋อ ในภูเขานี้มีอะไรให้กินได้บ้าง”

ฮู่หลิงเอ๋อร้องร่าด้วยความดีใจ “ในภูเขานี้มีกวางชะมด! ข้าเห็นกวางชะมดฝูงนึง และคันมืออยากจะจับพวกมันมาจะแย่ แต่ว่าที่นี่คือภูเขานักบุญเยือน ข้าจึงไม่กล้าทําอะไรมากมาย”

ฉินมู่ฟังแล้วก็ตื่นเต้นและกล่าว “พวกเราไปล่ามันมาสักตัวกัน”

ไม่นานนัก หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกก็ย่างเนื้อกวางชะมดเหนือกองไฟ

ฮู่หลิงเอ๋อนําเกลือออกมาหยิบมือหนึ่งจากกระเป๋าหลังใบเล็กของนางแล้วโรยไปทั่วๆ เนื้อ ทําให้มันส่งกลิ่นหอมชวนทานอย่างยิ่ง

พวกเขาอดโซมานานและสวาปามกวางชะมดตัวนี้จนเรียบแปล้

ฮู่หลิงเอ๋อนอนแผ่กับพื้นพลางลูบพุงป่องๆ ของนาง ดูท่าทางอิ่มเอมใจ ฉินมู่เองก็กินจนแน่นเปรี๊ยะ และเขาเดินไปมาสองสามก้าวพลางขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพื่อช่วยย่อยอาหาร

ย่างเท้าของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อเขาเริ่มต้นฝึกวิทยายุทธ์เหมือนที่เคยฝึกในหมู่บ้านพิการชรา ทันใดนั้นเขาก็ร่ายรําฟ้าคํารามแปดจู่โจม และทุกหมัดทุกฝ่ามือของเขาระเบิดปะทุในอากาศสร้างเสียงฟ้าคํารามครั่นครื้นไปทั่ว

ด้วยหมัดของเขาต่างค้อน เขาร่ายรําเพลงค้อนของเฒ่าใบ้ เพื่อทุบฟาดในอากาศราวกับตีกลองใหญ่ เขาดูไม่ต่างอะไรกับยักษ์ที่กําลังรัวตีกลอง เขย่าต้นไม้ทั้งป่าให้สั่นกระโชกจากเสียงตูม ตึบๆ

กระบวนท่าของฉินมู่แปรเปลี่ยนไปอีกครา เมื่อเขาขับเคลื่อนวิชาขา แล้วเปลี่ยนเป็นเพลงทวน เพลงกระบี่ และเพลงมีด

ความเร็วในการวิ่งของเขารวดเร็วขึ้นทุกที และเขาถึงกับรวบรวมปราณชีวิตก่อรูปเป็นพู่กันปาดป้ายไปบนอากาศ ปลดปล่อยทุกข้อจํากัดเคลื่อนไหวอย่างสาสมใจ

ทันใดนั้นเขาก็ร่ายเคล็ดลับย้ายฝนและสายฝนก็โปรยปรายมาราวกับกระบี่และสายพิณ สร้างเสียงเครื่องดีดปะปนกับเสียงฝนอันติงตัง

จากนั้นเขาเปลี่ยนเป็นเคล็ดลับสายฟ้าโถมเพลิงคลั่งซึ่งสร้างสายฟ้าทะลักทลายผสมผสานกับลูกไฟระเบิดไปในทุกทิศทุกทาง

ลูกไฟลูกหนึ่งลอยเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าและสีของมันแดงกํ่าขึ้น…กํ่าขึ้นราวกับดวงอาทิตย์อัสดง ปราณกระบี่เพลิงพลันยิงออกไปทุกสารทิศเมื่อเขาร่ายรําเพลงกระบี่อัสดง

ปราณชีวิตเขาพลันแปรเปลี่ยนไปและเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเสือขาวที่กําลังห้อตะบึงทลายหินศิลาอันขวางทางด้วยกรงเล็มคมกริบ

จากนั้นเขาก็ขับเคลื่อนเจ็ดนิพนธ์เสกสรร วิชาวิญญาณเสกสรรเพื่อแปลงทารกวิญญาณ วิชาเทพสวรรค์เสกสรรเพื่อแปลงวิชาฝึกปรือ วิชามารฟ้าเสกสรรเพื่อแปลงกายเนื้อ วิชาราชามนุษย์เสกสรรเพื่อแปลงเป็นมังกร วิชาภูตผีเสกสรรเพื่อแปลงวิญญาณ วิชาดินอสงไขยเพื่อแปลงจิต และวิชาเซียนเถียนเสกสรรเพื่อแปลงอายุขัย

จากนั้นเขาก็ขับเคลื่อนโคจรทุกเวทมนตร์ ทุกเพลงหมัด ทุกเพลงกระบี่ และทุกเพลงมีดในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต

เขาได้จมจ่อมเข้าไปในสภาวะอันมหัศจรรย์โดยไม่รู้ตัวอัน ล่องลอยท่ามกลางเสียงสาธยายวิชาของคนตัดไม้ที่ทบทวนในหัวเขาไม่รู้จบ บางครั้งมันก็ลึกและตํ่า และบางครั้งมันก็ดังและแจ่มชัด และบางครั้งมันก็อื้ออึงไม่ได้ศัพท์

ทุกความลึกลับอัศจรรย์ไหลบ่าเข้ามาในจิตเขาซํ้าแล้วซํ้าอีกเติมเต็มจิตของเขาจนปรี่ล้นและแผ่ขยายไปยังมือให้ร่ายรําออกมาเป็นกระบวนท่าอันวิเศษพิสดาร

ในจิตของเขามีแต่ความปีติยินดีเมื่อเขาปลดปล่อยกระบวนท่าเหล่านั้นออกมาตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ ทักษะเทวะ หรือเพลงกระบี่ เขาก็ปล่อยมันออกมาโดยไม่สนใจลําดับและระบบ ระเบียบ

เขารู้สึกแต่ว่าจิตใจของเขาโลดโผนไปมาอย่างบ้าบิ่น หากว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตไหลไปไม่คล่อง เขาก็เปลี่ยนวิชาช่วงนั้นเสีย หากว่าการโคจรปราณในกายาจ้าวแดนดินสามอมตะขรุขระ เขาก็เปลี่ยนแปลงทิศทางโคจรปราณชีวิตให้ราบรื่น

กระทําอย่างตรงไปตรงมา ไหลไปตามธรรมชาติ นั่นคือความหมายของมรรคา ในตอนนี้เขาก็เข้าใจความหมายของประโยคดังกล่าวอย่างซึ้งใจ

ไม่ว่าจ้าวลัทธิรุ่นก่อนจะทิ้งอะไรไว้ ไม่ว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตและวิชากายาจ้าวแดนดินจะเป็นมาแต่เดิมอย่างไร เขาก็แค่ปล่อยให้ปราณชีวิตไหลไปตามกระแส ขับเคลื่อนช่วงใช้ทุกกระบวนท่าทุกทักษะเทวะ โคจรปราณชีวิตอันไร้ประมาณของตนตามแต่ใจของเขาจะพาไป ไม่ว่ามันจะเป็นวิถีโคจรตามมาตรฐานหรือไม่ก็ตาม

ยิ่งดําดิ่งลงไปในสภาวะนี้มากเท่าไหร่ ความวิเศษพิสดารของการสาธยายของคนตัดไม้บนก้อนหินก็ยิ่งทําให้เขาเข้าใจแง่มุมอัศจรรย์เหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง

เทวราชทั้ง 3 เองก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง และรีบออกมายืนดู เห็นก็เปลวประกายแสงวูบวาบในป่าของภูเขานักบุญเยือนเป็นครั้งเป็นคราว บางครั้งก็มีเสียงฟ้าร้องกัมปนาท และแผ่นดินเคลื่อนไหวครืนครัน บางทีอากาศก็สะเทือนสะท้านจากแสงมีดและเงากระบี่ ทําให้ต้นไม้ในป่าล้มระเนระนาดฉีกเป็นชิ้นๆ

สีหน้าของ 3 เทวราชแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเทวราชฉื่อก็พลันตะโกนขึ้นมา “แย่แล้ว จ้าวลัทธิกําลังวิ่งตรงไปยังต้นสนศักดิ์สิทธิ์!”

ผู้อาวุโสเหล่านั้นรีบทะยานขึ้นไปบนอากาศแล้วเหาะเหินลงไปตรงหน้าต้นสนไซเปรส พวกเขาเห็นฉินมู่ปลดปล่อยทุกกระบวนท่า และทักษะเทวะตามแต่หัวใจจะพาไปราวกับว่าเขาบ้าคลั่งเสียสติ ปราณ ชีวิตของเขาก่อรูปสร้างเงาของเทพและมารทุกชนิดรูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเทพและมารฝ่ายเที่ยงธรรม ฝ่ายมาร หรือ ฝ่ายพุทธ เขาก็ก่อรูปมันขึ้นมาทั้งหมด

“วิชาร้อยรัด…”

เทวราชฉื่อพึมพํา “เขาตรึกตรองเข้าใจมันแล้ว เขาตรึกตรองเข้าใจมันแล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version