ตอนที่ 174 รับเลี้ยง
จิ้งจอกน้อยในกระเป๋าหลังของฉินมู่อดไม่ได้ โผล่หัวขึ้นมาแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ฝานผู้นี้ เจ้าไม่คิดในแง่ว่าเจ้าสามารถวิ่งรับผู้โดยสารได้อีกหลายรอบเพื่อหาเงินได้เยอะขึ้นหรอกหรือ ก็ในเมื่อเรือของเจ้าแล่นเร็วกว่าเดิมถึงสี่ห้าเท่าแล้ว? เจ้ายังจําเป็นต้องไปปล้นชิงใครอีกล่ะ”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวเหลือกตาใส่ฮู่หลิงเอ๋อ “ทําไมต้องวุ่นวายยุ่งยาก ในเมื่อตอนนี้เรือของข้าเร็วพอ ข้าก็จะปล้นทรัพย์ได้ไวพอ แต่เดิมนั้นข้าออกปล้นแค่วันละรอบ แต่ตอนนี้ข้าจะออกวันละสี่ห้ารอบก็ยังไหว รายได้จากการปล้นชิงนั้นมากกว่าค่าโดยสารเป็นไหนๆ ในช่วงที่โลกหล้าสงบสุขมีเรือพ่อค้ามากมาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องออกปล้นชิงในยามสงบสุข แต่ในตอนนี้มีศึกสงคราม เรือพ่อค้าก็ลดน้อยลง พวกเราเลยต้องหาเงินด้วยการขนส่งผู้โดยสารแทน ปีศาจจิ้งจอกตัวน้อย เจ้านี่ไม่มีหัวทางธุรกิจเอาซะเลย”
ฮู่หลิงเอ๋ออึ้งกิมกี่
ความเร็วของเรือเหาะนั้นรวดเร็วเกินไป และทั้งลําเรือก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เรือนี้ต้านทานแรงต้านอากาศอันเกิดจากการพุ่งไปข้างหน้าได้น้อยลงทุกที ฝานอวิ๋นเสี้ยวกระสับกระส่ายอีกครั้งและพยายามเสริมแกร่งตัวเรือด้วยใช้อักษรรูนอันแปรเปลี่ยนจากปราณชีวิตมาผนึกไปทั่วท้องเรือ
ฉินมู่เองก็ตระหนกไม่แพ้กัน ตอนนี้เขากลัวว่าเรือลํานี้จะแตกทําลายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
โชคดีที่ระหว่างทางมานี้ เรือเหาะยังคงไม่แตกทําลายกลางอากาศ
การเดินทางพวกเขาที่ผ่านมาเมื่อครู่ ได้พบปะสมรภูมิรบอีกหลายแห่ง แต่เพราะว่าเรือโจรสลัดกวดเมฆนั้นเร็วเกินไป ไม่ทันที่คู่ศึก 2 ฝ่ายจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เรือก็เหาะหายไปอย่างเร็วจี๋ทิ้งไว้แต่กองทัพที่ตะลึงงัน
ฝานอวิ๋นเสี้ยวก็ตะลึงจนไม่รู้จะตะลึงอย่างไร หม้อหลอมยาที่ฉินมู่สร้างขึ้นมานั้นแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ และด้วยความเร็วระดับนี้ ระยะทางไปเมืองหลวงที่แต่เดิมพวกเขาต้องใช้เวลาเจ็ดแปดวัน ก็จะถูกย่นลงมาเหลือแค่วันเดียว
แต่ถึงอย่างไร แม้ว่าหม้อหลอมที่ฉินมู่สร้างขึ้นมาจะดีวิเศษ แต่มันก็เผาผลาญหินวิญญาณและสมุนไพรเพิ่มขึ้นอีกมาก
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวง ก็เป็นรุ่งเช้าของวันถัดมา เรือบินชะลอความเร็วของมันลง ทั้งหินวิญญาณบนเรือก็เกลี้ยงไปไม่มากก็น้อย เรือนั้นค่อยๆ ร่อนลงจอดที่ตลาดยานพาหนะและสัตว์ขี่ในเมืองหลวง
ขุนนางข้าราชการประจําตลาดยานพาหนะละสัตว์ขี่ก้าวเข้ามาตรวจสอบเรือ และเมื่อพวกเขาเห็นฝานอวิ๋นเสี้ยว สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขากําลังจะร้องเรียกตํารวจเมืองหลวงมาจับกุม ฝานอวิ๋นเสี้ยวก็รีบอธิบายทันที “ข้ากลับตัวแล้ว! กลับตัวเป็นคนดีแล้ว! นี่คือทะเบียนเรือที่ข้าทําไว้กับทางการ!”
ขุนนางผู้นั้นรับใบทะเบียนมาดูและพบว่าเป็นบันทึกทางการจากราชสํานักจริงๆ เขาจึงกล่าวด้วยความงงงวยสุดๆ “โจรร้ายอย่างเจ้าน่าจะตัดหัวเสียบประจาน พวกเขายอมให้เจ้ากลับตัวล้างผิดได้อย่างไรกัน”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวหัวเราะแห้ง “นี่เป็นความกรุณาของราชสํานัก ข้าซาบซึ้งจนนํ้าตาไหลด้วยความขอบคุณ”
ฉินมู่ลงจากเรือ และขณะที่เขากําลังจะจากไปนั่นเอง ฝานอวิ๋นเสี้ยวก็รีบวิ่งเข้ามาหา เอามือมาโอบบ่าเขาไว้ ฝานอวิ๋นเสี้ยวหัวเราะเบาๆ “พี่ฉิน เจ้าอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะมีอนาคตอะไร สู้ตามข้ามาประกอบกิจการใหญ่กันดีกว่า ธุรกิจแบบที่ไม่ต้องลงทุนแต่กําไรอื้อซ่าน่ะ ฮ่ะๆ!”
ฉินมู่ส่ายหน้า “ศิษย์พี่ฝาน ฐานะข้าในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ต่างจากเจ้าตอนอยู่ที่สํานักเต๋า เจ้านั้นถูกมองว่ามีจิตเจตนาไม่ดี แต่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิมองข้าค่อนข้างดี ข้านั้นเป็นวิญญูชนที่มีชื่อเสียงไม่ด่างพร้อย”
ฮู่หลิงเอ๋อกล่าว “คําว่าจิตเจตนาไม่ดีไม่อาจใช้เรียกนายน้อยได้”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวจึงได้แต่ละวางความคิดและพึมพําอย่างขัดใจ “ด้วยความสามารถอย่างเจ้า น่าเสียดายนักที่ไม่ยอมมาเป็นโจร จริงสิ ตอนที่ข้าออกจากสํานักเต๋า ข้าได้จิ๊กตําราคํานวณบรมปริศนามาเล่มหนึ่ง ในเมื่อเจ้าสนใจพีชคณิต ข้าจะยกให้เจ้าละกัน”
ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และรีบรับตําราคํานวณบรมปริศนามา “ข้าจะรับของขวัญลํ้าค่าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หลิงเอ๋อรีบรับมาเร็วเข้า”
ฮู่หลิงเอ๋อซ่อนตําราคํานวณบรมปริศนาไว้ในกระเป๋าสัมภาระ ฝานอวิ๋นเสี้ยวกล่าว “สํานักเต๋ามิได้หวงห้ามมิให้ศิษย์สํานักเรียนตําราคํานวณบรมปริศนา ตํารานี้ใช้ในการริเริ่มปูทางปัญญาแก่เหล่าศิษย์ และหากว่าพวกเขาเรียนตําราคํานวณนี้ได้ดี พวกเขาจึงสามารถเรียน 14 นิพนธ์กระบี่เต๋าต่อไปได้ ครั้งนั้นผลการเรียนวิชาคํานวณของข้าไม่ยํ่าแย่ และได้เรียนถึงนิพนธ์ที่ 5 ของกระบี่เต๋า แต่ไม่ทันที่ข้าจะได้เรียนนิพนธ์ที่ 6 ข้าก็ถูกขับจากสํานักมาเป็นโจรสลัดเสียก่อน”
ฉินมู่ถามด้วยความใคร่รู้ “นิพนธ์ไหนนะที่บันทึกกระบวนท่าหนึ่งจุดเคลื่อนเวิ้งว้าง หยินหยางแปรผันสองลักษณ์”
“พี่ฉินรู้จักกระบวนท่านี้ด้วยหรือ”
ฝานอวิ๋นเสี้ยวตะลึง “นี่เป็นนิพนธ์แรกของกระบี่เต๋า และเป็นกระบวนท่าที่เรียบง่ายสามัญที่สุดจาก 14 นิพนธ์ กระบี่เต๋าจะทวีความยากขึ้นทุกทีเมื่อเจ้าฝึกมันลึกต่อไปเรื่อยๆ แต่พลานุภาพก็จะทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และเมื่อผู้ใดฝึกปรือนิพนธ์ที่ 14 ของกระบี่เต๋าได้สําเร็จ คนผู้นั้นก็จะไร้เทียมทานในโลกหล้า กลายเป็นเทพยดา แต่ทว่าไม่มีใครในสํานักเต๋าเลยสักคนที่ฝึกปรือนิพนธ์ที่ 14 สําเร็จ”
ฉินมู่ใจเต้น นิพนธ์แรกของกระบี่เต๋าก็ร้ายกาจมากฤทธิ์ขนาดนี้แล้ว นิพนธ์ที่ 14 จะอัศจรรย์สะท้านโลกมากแค่ไหน
เมื่อเขาสู้กับเต๋าจื่อหลินเสวียน นี่ก็เป็นกระบวนท่าที่เต๋าจื่อหลินเสวียนใช้ ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียนได้ในที่สุด แต่หลินเสวียนก็สามารถคํานวณจนพบช่องโหว่ของเขาและทําให้เขาบาดเจ็บได้
เขาจึงสนอกสนใจนิพนธ์ที่ 14 เป็นอย่างยิ่ง
หลังจากกล่าวลาฝานอวิ๋นเสี้ยว ฉินมู่ก็มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิและครุ่นคิดอยู่ในใจ ฝานอวิ๋นเสี้ยวช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่แน่ใจว่าคนที่น่าสนใจแบบนี้จะโดนลากไปตัดหัวประจานกลางตลาดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หืมมม ในเมื่อตอนนี้ปรมาจารย์ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ข้าสงสัยเสียจริงว่าใครจะมาเป็นอธิการบดีคนต่อไป หรือว่าจะเป็นคณบดีป้าซาน?
คณบดีป้าซานวางแผนการแก้ไขจุดพร่องของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิโดยริเริ่มโครงการดุษฎีบัณฑิต ในความคิดของฉินมู่ เขาน่าจะเป็นตัวเลือกแรกที่ควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีคนถัดไป
แต่ว่าคนอื่นๆ อาจจะไม่มีจิตใจเปิดกว้างเท่าเขา การริเริ่มโครงการดุษฎีบัณฑิตนั้นสําคัญเป็นอย่างยิ่ง และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญที่ตัดสินว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะลํ้าหน้าเหนือแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามหรือไม่ มีก็แต่เมื่อคณบดีป้าซานได้ดํารงอธิการบดีต่อจึงจะสามารถผลักดันการปฏิรูปนี้ต่อไปได้
ฉินมู่มายังหน้าประตูภูเขาของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และขณะที่เขาเดินผ่านประตูภูเขานั่นเอง เขาก็พลันก้าวถอยหลังไป เขม้นมองกิเลนมังกรที่เฝ้าคุ้มกันอยู่หน้าประตูภูเขา
กิเลนเลนมังกรตัวนี้ยังคงนอนหมอบใต้ประตูภูเขาและมองไปข้างหน้าโดยไม่กระดุกกระดิก แต่ทว่าโซ่ที่คล้องไว้บนคอของมันหายไปแล้ว
ฉินมู่มองมันอีกสามสี่ที แต่กิเลนมังกรก็ยังคงจ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่กะพริบตา ดูเหมือนกับรูปปั้นที่สลักจากศิลา เว้นก็แต่เส้นเลือดที่นูนปุดๆ ขึ้นมาที่คอของกิเลนมังกร
“เจ้ามองหาอะไรนัก” กิเลนมังกรหันมาคํารามใส่เขาด้วยความโมโห
ฉินมู่ถามอย่างสงสัย “โซ่ที่คอเจ้าหายไปแล้ว แต่ทําไมเจ้ายังไม่ไปไหนอีกล่ะ เจ้าอยู่ที่นี่ต่อทําไม”
กิเลนมังกรตอบด้วยเสียงระโหย “ข้าไม่มีที่จะไป ทุกๆ วันจะมีผู้คนมาเลี้ยงอาหารข้า ดังนั้นข้าจะไปที่อื่นทําไม ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายดีอยู่แล้ว”
ฮู่หลิงเอ๋อแย้มยิ้ม “เจ้าตัวใหญ่ ชีวิตเจ้ามีแค่กินและดื่มเท่านั้นหรือ”
กิเลนมังกรปรายตามองนางและเผยสีหน้าหยามหมิ่น “จิ้งจอก จะมารู้อะไรกับความทะเยอทะยานของกิเลน ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ฮู่หลิงเอ๋อแย้มยิ้มแล้วกล่าวกับฉินมู่ “คุณชาย กิเลนมังกรตัวนั้นคงเอ๋อแดกไปแล้วหลังจากจับเจ่าอยู่ที่นี่ทุกวันทุกคืน พวกเราอย่าลดตัวไปยุ่งกะเขาเลย”
ฉินมู่กําลังจะเดินขึ้นภูเขา แต่ทันใดนั้นกิเลนมังกรก็ฟุบหัวลงกับพื้นอีกครั้งแล้วจ้องไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย “นายผู้เฒ่าของข้าเกษียณจากตําแหน่งแล้วหนีไปกับชายแก่อีกคน ทิ้งข้าไว้ข้างหลัง ข้าไม่มีที่อื่นจะไป จึงได้แต่ยืนเฝ้าประตูอยู่ที่นี่ แถมข้ายังถูกวัวกลั่นแกล้งรังแกอยู่ทุกวัน ทีนี้แม้แต่จิ้งจอกก็ยังมาเย้ยหยันข้า ข้ามีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ได้เลย…”
ฉินมู่ถอยหลังมาสองก้าว กลับมาที่เบื้องหน้ากิเลนมังกรแล้วถาม “เจ้าคือสัตว์ขี่ของปรมาจารย์หรอกหรือ พวกเรามาจากสํานักเดียวกัน ข้าคือจ้าวลัทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
กิเลนมังกรมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดระแวงแล้วแค่นเสียงหยัน “ข้าไม่รู้จักปรมาจารย์หรือจ้าวลัทธิที่ไหน นี่ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าด้วยซํ้าที่วางยาสลบข้า”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ตอนที่ข้ามาสู้กับเต๋าจื่อของสํานักเต๋า เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเดินมากับปรมาจารย์ เจ้าน่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและปรมาจารย์ ไม่จําเป็นที่จะต้องระแวงข้าขนาดนั้น”
กินเลนมังกรแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา “แต่เจ้าก็มาวางยาสลบข้า”
ฉินมู่พึมพํา “นั่นเป็นผลกรรมที่เจ้าหลอกให้ข้าไปทุบตีวัวนั่น ข้ากลับโดนวัวอัดจนน่วมกลับมาแทน เจ้าไม่เห็นจะบอกข้าเลยสักนิดว่าวัวนั้นแข็งแกร่งสุดๆ ข้าเลยคิดว่าชําระความบาดหมางเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่าเก็บติดค้างไว้ในใจ…”
กิเลนมังกรแค่นเสียงเย็นชาอีกครั้ง “แล้วเจ้าก็แก้แค้นข้าด้วยการวางยาสลบ”
ฉินมู่ถามหยั่ง “เช่นนั้นให้ข้าพาวัวนั่นมาที่นี่ให้เจ้าทุบตีมันเองไหม”
กิเลนมังกรไม่เชื่อถือเขาอย่างเห็นได้ชัด และกล่าว “เจ้ายังคิดจะวางยาข้าอีกหรือ”
ฉินมู่จนปัญญาและได้แต่เดินขึ้นภูเขาไป กิเลนมังกรนี้หัวแข็งเหลือเกิน จําได้ก็แต่เรื่องที่เขาวางยามัน
ทันใดนั้นฉินมู่ก็หยุดเดินแล้วเหลียวหลังกลับไปมอง ก็พบว่ากิเลนมังกรเดินจากจุดที่เขาจับเจ่าอยู่ตลอดนั้นจนได้ และก้าวเดินตามเขามาก้าวต่อก้าว เมื่อกิเลนมังกรเห็นฉินมู่หยุด เขาก็หยุดตาม
ฉินมู่เดินมุ่งหน้าไปต่อ และกิเลนมังกรก็เดินไปข้างหน้าด้วย ฉินมู่ยั้งเท้าที่หน้าผาหยกแล้วหันกลับไปดู
กิเลนมังกรก็หยุดเดินเหมือนกัน
ฉินมู่กระโดดขึ้นหน้าผาหยก ส่วนใต้เท้ากิเลนก็มีเมฆอัคคีพวยพุ่งขึ้นมายกร่างใหญ่โตของมันลอยขึ้นมาบนยอดผา
ฉินมู่หันกลับไปแล้วส่งยิ้ม “เจ้าตามข้ามาทําไมล่ะ ข้าแค่วางยาเจ้าครั้งเดียวเพื่อรีดนํ้าลายมังกร จําเป็นต้องอาฆาตกันขนาดนี้หรือ”
“เจ้าวางยาข้า ดังนั้นเจ้าต้องเลี้ยงข้า” กิเลนมังกรกล่าวอย่างจริงจัง
ฉินมู่งงงวยแล้วถาม “ไหนเจ้าว่ามีผู้คนนําอาหารมาให้เจ้าทุกๆ วันไง เจ้าอยู่ที่หน้าประตูภูเขาก็มีอาหารกินไม่ใช่หรือ”
กิเลนมังกรคอตก “ผู้คนที่ว่านั่นก็คือนายผู้เฒ่าของข้าที่นําอาหารมาให้ข้าทุกๆ วันในอดีต แต่หลังจากที่นายผู้เฒ่าจากไปแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจข้าอีกต่อไป ข้าไม่มีอะไรตกถึงท้องมาเป็นเดือน อธิการบดีคนใหม่ก็คิดว่าข้าเป็นก้อนหิน ครูผู้สอนคนอื่นๆ ก็คิดว่าข้าเป็นก้อนหิน ข้าอายเกินกว่าที่จะไปร้องขออาหารจากพวกเขา ข้าทําไม่ได้หรอกเจ้าวัวนั่นก็อาศัยว่ามีคณบดีป้าซานหนุนหลังมาคอยกลั่นแกล้งรังแกข้า หาว่าข้าหลอกลวงหัวใจเขา…”
ฉินมู่เห็นทีท่าทุกข์ระทมของเขาก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา “ก็ได้ ก็ได้ ไม่ต้องทําหน้าเศร้าขนาดนั้น ต่อจากนี้ไปเจ้าตามข้ามาได้เลย แล้วข้าจะดูแลอาหารการกินของเจ้าเอง ข้าน่ะมีเงินทองอยู่! แล้วเจ้ากินอะไรล่ะ”
“ข้าจะดื่มก็แต่นํ้าในทะเลสาบมังกรหยก และกินยาวิญญาณเพลิงฉานหนึ่งถังต่อวัน”
ฉินมู่กําหมัดกรอดๆ และฮู่หลิงเอ๋อก็รู้สึกตับไตสั่นเทิ้ม ทะเลสาบมังกรหยกเป็นทะเลสาบที่ก่อตัวขึ้นจากการรวมรวมปราณเก้ามังกร มีนํ้ามากมายในทะเลสาบ และกิเลนมังกรอยากจะดื่มเท่าไรก็ได้ทั้งนั้นแต่ยาวิญญาณเพลิงฉานหนึ่งถังนั้นคือประเด็น
“คุณชาย เงินน้อยนิดที่เรามีพอแค่ป้อนอาหารเขาได้แค่ครึ่งเดือน”
ฮู่หลิงเอ๋อกระซิบ “ข้าคิดว่าอย่าเลี้ยงเขาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นทรัพย์สมบัติน้อยนิดที่เขามีคงถูกเขากินจนเกลี้ยง”
กิเลนมังกรได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกล่าวทันที “ข้าจะอดอาหารสักหน่อยก็ได้ และกินแค่ครึ่งถังต่อวัน ยังไม่ได้หรือ งั้นหนึ่งลิตร? น้อยกว่าลิตรนึงไม่ได้นะ”
ฉินมู่โบกมือแล้วกล่าว “ข้าเป็นนักปรุงยา และสามารถหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานเองได้ ซึ่งจะประหยัดขึ้นไปอีกเจ้าจะไม่ต้องอดอาหารหรอกนะ แต่ทว่าข้าคงไม่อาจเลี้ยงเจ้าเปล่าๆ ได้”
กิเลนมังกรรํ่าร้องออกมาทันที “เจ้าวางยาข้า! ยิ่งกว่านั้นพวกเรายังมาจากสํานักเดียวกัน เจ้าเป็นจ้าวลัทธิ ดังนั้นจึงมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูข้า ข้าเป็นสัตว์ขี่ของปรมาจารย์เจ้านะ!”
ฉินมู่เริ่มปวดหัวตึ้บแล้วกล่าว “เจ้าแค่ต้องให้นํ้าลายมังกรกับข้าทุกๆ วัน ไม่อย่างนั้นข้าคงเลี้ยงเจ้าไม่ไหว”
“นํ้าลายมังกร?” กิเลนมังกรมีทีท่าระแวง
ฉินมู่อธิบาย “นํ้าลายมังกร ก็คือนํ้าลายของเจ้านั่นแหละ”
กิเลนมังกรที่เมื่อครู่เหมือนกําลังคิดเรื่องไม่ดี ก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา จริงสิ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าสามารถเอาเจ้าวัวนั่นมาให้ข้าตื้บได้อย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่เตือน “ได้คืบอย่าเอาศอก ไม่อย่างนั้นยาเซียนเพลิงฉานถังนึงจะเหลือแค่ครึ่งถัง”
กิเลนมังกรรีบหุบปากทันทีและตามหลังเขาไปติดๆ ราวกับกลัวว่าคนเลี้ยงอาหารมันจะหายไป
ฮู่หลิงเอ๋อมองกลับไปดูเป็นระยะเพื่อเพ่งพิศสิ่งมีชีวิตตัวมหึมานี้ เจ้านี่สูงกว่าฉินมู่มากเมื่อมันยืนขึ้น หัว ฉินมู่สูงแค่หนวดมังกรที่ย้อยมาถึงคางของมันเท่านั้น เมื่อนับรวมความยาวของหางกิเลนเข้าไปด้วย ตัวมันก็ยาวสี่สิบห้าสิบคืบ
กิเลนมังกรนี้มีลวดลายประดับประดาอันปูลาดไปทั่วตัวเขา เหมือนกับอักษรรูนตามธรรมชาติ ให้ความรู้สึกสง่าน่าเกรงขาม
มิน่าล่ะเขาถึงกินตั้งเยอะแยะ เขานี่ตัวใหญ่กว่าวัวรองเยอะเลย ไม่รู้ว่าถ้าเขาเผยร่างที่แท้จริงจะตัวบักเอ้กสักแค่ไหนนะ ฮู่หลิงเอ๋อลอบตระหนกในใจ
ฉินมู่นํากิเลนมังกรขึ้นไปบนภูเขามายังสระมังกรหยกเพื่อให้กิเลนมังกรนี้ดื่มนํ้าก่อน เขาครุ่นคิดในใจ ข้ายังไม่รู้เลยว่าน้ำลายมังกรหนึ่งขวดเล็กจะขายได้เท่าไร แต่ราคามันคงไม่ต่ำหรอกจริงไหม หวังว่าข้าคงได้เงินมาพอที่จะหักลบกับค่าสมุนไพรหลอมปรุงยา ไม่อย่างนั้นทรัพย์สมบัติของข้าคงถูกกินเกลี้ยง…”