Skip to content

Tales of Herding Gods 177

ตอนที่ 177 ความรู้คือการกระทํา การกระทําคือความรู้

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อเขาก้าวเข้าไปในบ้าน “ราชครู คงไม่ได้มาแค่เพื่อคุยเรื่องน่าสนใจกระมัง หลิงเอ๋อเตรียมนํ้าชา”

ฮู่หลิงเอ๋อกล่าวทันที “คุณชาย บ้านของเราไม่มีใบชา ท่านไม่ดื่มชาสักหน่อย”

ฉินมู่หัวเราะแล้วกล่าว “เช่นนั้นคราวหน้าก็ซื้อเตรียมเอาไว้ ในเมื่อเราไม่มีชา ก็ตระเตรียมที่นั่ง”

“บัณฑิตนิเวศน์นี่มีแต่เก้าอี้หักๆ พวกเราจะมีที่นั่งดีๆ ที่ไหนล่ะ” จิ้งจอกน้อยบ่นงึมงํา

ฉินมู่รู้สึกกระดากเล็กน้อย

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือแล้วแย้มยิ้ม “ไม่ต้องวุ่นวายมากมายหรอก ข้าแค่จะกล่าวสักคําสองคํากับจ้าวลัทธิแล้วก็จะกลับไป”

สายตาฉินมู่จับจ้องที่ใบหน้าของเขา รูปโฉมของราชครูสันตินิรันดร์อันดับหนึ่งใต้เทวะอันสะท้านโลก มิอาจจะเรียกได้ว่าหล่อเหลาสุดขีด เขานั้นดูค่อนข้างธรรมดาแต่กลับมีกลิ่นอายอันยากจะบรรยายบนใบหน้าของเขา อันเป็นลักษณะที่ยิ่งท่านมองหน้าเขานานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกดีต่อตามากขึ้นเท่านั้น

ในเครื่องหน้าทั้งหมด ดวงตาของเขาโดดเด่นที่สุด มันเป็นดวงตาคู่ที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาญาณและดูเหมือนจะมีประกายแสงอยู่ในนั้น มองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้าเพื่อเลือกกระทําในสิ่งที่ชาญฉลาดที่สุด

สําหรับราชครูสันตินิรันดร์นี้ ฉินมู่มีความรู้สึกค่อนข้างชื่นชม และนับถือความคิดริเริ่มทลายขนบธรรมเนียมเก่าของเขา

จักรวรรดิสันตินิรันดร์รุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ ความดีความชอบส่วนใหญ่เป็นของราชครูสันตินิรันดร์ มิใช่จักรพรรดิ

เป็นผู้นําการปฏิรูปเพื่อปฏิรูปกองทัพและระบบราชการ ทําลายกรอบคิดของสํานัก ทําลายม่านกั้นกางระหว่าง 3 สํานักใหญ่ด้วยการก่อตั้งโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ สถาปนาสถาบันให้แก่เหล่าบัณฑิต ราชครูสันตินิรันดร์ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนให้ผู้คนยุคสมัยนี้อัศจรรย์และเบ่งบาน

แม้ว่าเขาจะชื่นชมนับถือ แต่ฉินมู่ก็ยังคงมีข้อติติงและความแค้นเคืองต่อราชครูสันตินิรันดร์ผู้นี้

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์เทียมฟ้า เขายังโหดเหี้ยมไร้ใจ

เขาส่งกองทัพรุกรานแดนโบราณวินาศ และแม้ว่าครั้งล่าสุดเขาจะต้องล่าถอยไป แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าครั้งต่อไปเขาจะทําไม่สําเร็จ

เขาสยบและกดขี่ทุกประเทศด้วยกําลังทหาร ยึดครองประเทศเหล่านั้น ถอนรากถอนโคนผู้ที่ต่อต้านเขา เขาเสแสร้งเป็นบาดเจ็บสาหัสเพื่อล่อเหล่าสํานักที่เคยสยบสวามิภักดิ์ให้เผยโฉมหน้าขบถออกมา ทําให้ผู้คนในโลกหล้าตกอยู่ใต้ภัยสงคราม

นี่มิใช่คนที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ

ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินมู่มองไม่ออกว่าชายผู้นี้มีจุดหมายใดกันแน่ กรอบคิดจิตใจของเขาดูโอ่อ่ากว้างขวางและเห็นได้ชัดว่ามีทีท่าที่จะยอมรับอดทนความแตกต่างหลากหลายในโลกหล้า แต่เขาก็ยังคงทําลายล้างประเทศอื่นๆ และรุกรานแดนโบราณวินาศเพื่อขยายดินแดนให้แก่จักรวรรดิสันตินิรันดร์

ชัดๆ ว่าเขามิได้มีความกระหายในอํานาจ แต่เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะฆ่าฟันให้เลือดนองเป็นท้องธารเพื่อขจัดผู้ที่ขัดขวางต่อต้านเขา

ในสายตาฉินมู่ ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเหมือนความขัดแย้งสุดขั้ว ยากที่จะคาดเดาว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่

ราชครูสันตินิรันดร์ก็เพ่งพิศฉินมู่อยู่เช่นกันและอีกครู่หนึ่งเขาก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์อายุเยาว์อย่างเหลือเชื่อ ข้าเองก็ตกตะลึงเอามากๆ เมื่อทราบข่าวว่าที่แท้แล้วจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์นั้นคือดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา แต่เจ้ากลับดูไม่เห็นแปลกใจเมื่อเห็นข้า”

ฉินมู่กล่าว “ลัทธินักบุญศักดิ์สิทธิ์ให้การศึกษาแก่ทุกผู้คนโดยไม่เลือกหน้าและความเป็นมา ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่ราชครูจะสามารถวางหูวางตาเอาไว้ในสมาชิกตําแหน่งสูงของลัทธินักบุญสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยประหลาดใจที่ราชครูจะค้นพบตัวตนของข้าได้อย่างรวดเร็ว”

ราชครูสันตินิรันดร์พยักหน้า “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ควรแล้วที่จะมีปัญญาระดับนี้ อย่างไรก็ดี ทําไมเจ้าไม่แตกตื่นหวาดผวาเมื่อเห็นข้าล่ะ เจ้าไม่กลัวว่าข้ามาที่นี่เพื่อสังหารเจ้าหรืออย่างไร”

“หากราชครูหมายจะสังหารข้า ข้าแตกตื่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร”

ฉินมู่กล่าว “หากท่านไม่สังหารข้า ลัทธินักบุญสวรรค์ก็จะไม่ก่อกบฏ แต่หากท่านสังหารข้า ลัทธินักบุญสวรรค์ก็จะกลายเป็นกบฏอย่างแน่นอน ชีวิตของข้าไม่ได้มีค่าเท่ากับลัทธินักบุญสวรรค์ ดังนั้นราชครูจึงไม่มีความจําเป็นที่ต้องสังหารข้า และดังนั้นข้าจึงไม่มีความจําเป็นที่ต้องแตกตื่นหวาดผวา”

ราชครูสันตินิรันดร์ยิ้ม “อย่าเพิ่งแน่ใจนัก ฉลาดเฉลียวน่ะเป็นเรื่องดี แต่หากเจ้ามั่นใจมากเกินไปก็อาจจะคาดเดาอะไรผิดพลาด แต่ว่าเจ้านับว่ากระตุกหัวใจข้าได้จริงๆ เจ้ากล่าวว่าลัทธินักบุญสวรรค์จะไม่ก่อกบฏ บอกเหตุผลข้าได้หรือไม่”

ฉินมู่กล่าว “เรามีหลักปรัชญาเดียวกัน เหตุไฉนจะต้องก่อกบฏ”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ข้าได้ยินว่าสิ่งแรกที่เจ้าทําหลังจากขึ้นครองลัทธิ คือก่อตั้งโถงที่ 361 โถงโรงเรียน?”

ฉินมู่พยักหน้า “ข้าเลียนแบบการปฏิรูปของราชครู มาใช้ปฏิรูปลัทธินักบุญสวรรค์”

“ลัทธินักบุญสวรรค์แต่เดิมก็เป็นจักรวรรดิที่สวมคราบสํานัก หากว่าเจ้าเลียนแบบข้าและปฏิรูปลัทธินักบุญศักดิ์สิทธิ์ นี่จะไม่เป็นจักรวรรดิอีกจักรวรรดิที่อยู่ข้างในจักรวรรดิสันตินิรันดร์อีกทีอย่างนั้นหรอกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ถามต่อ “หากว่าเป็นยุคสมัยอันสงบสันติ พวกเจ้าย่อมไม่ก่อกบฏ แต่หากโลกนี้ปั่นป่วนวุ่นวาย เหตุใดพวกเจ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อผงาดขึ้นมาแทนที่เป็นอํานาจนํา”

“เหตุผลที่ลัทธินักบุญสวรรค์ไม่ก่อกบฏในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายนี้ไม่ใช่ว่าเราขาดความทะเยอทะยานหมายขึ้นเป็นอํานาจนํา แต่เพราะจักวรรดิสันตินิรันดร์ในบัดนี้ก็คือลัทธินักบุญสวรรค์ ขนาดใหญ่”

ฉินมู่ยิ้ม “แล้วไฉนเราจึงจะก่อกบฏต่อตนเองล่ะ”

“ถ้าตอนนี้ไม่ แล้วตอนไหนล่ะที่พวกเจ้าจะก่อกบฏ” ราชครูสันติถามด้วยความสนอกสนใจ

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อเวลาที่ราชครูได้ทรยศต่อหลักปรัชญาของลัทธินักบุญสวรรค์ และไม่ดําเนินตามมรรคาแห่งนักบุญอีกต่อไป ตอนนั้นจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะมิใช่ลัทธินักบุญสวรรค์ และลัทธิเราก็จะก่อกบฏอย่างแน่นอน”

ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองเขาแล้วอุทาน “เจ้านี่ขวัญกล้าจริงๆ”

ฉินมู่กล่าว “นี่มิใช่ขวัญกล้า ข้าจําต้องตอบไปตามจริง เพราะราชครูต้องรู้แน่หากว่าข้าโกหก”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปยังบ่อนํ้าในลานบ้านอย่างแช่มช้า แล้วกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “เจ้ามาจากแดนโบราณวินาศและไม่มีรากฐานอิทธิพลในลัทธินักบุญสวรรค์ เดิมทีนั้นข้าหมายจะควบคุมเจ้าและให้เจ้าหยิบยืมอิทธิพลอํานาจของข้าเพื่อก่อตั้งรากฐานของตนในลัทธินักบุญสวรรค์ แต่บัดนี้ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นแล้ว”

ฉินมู่ก้าวไปข้างๆ เขาและได้ยินราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ผู้คนเยี่ยงเจ้าอันตรายร้ายกาจ ผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองล้วนแต่อันตรายร้ายกาจและทําให้ผู้คนต้องปวดหัวเนื่องจากยากที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาคิดเป็นอื่น โน้มน้าวผู้คนนั้นเป็นเรื่องลําบากยากเข็ญ ทางที่ง่ายกว่าคือสังหารคนเหล่านั้นทิ้งเสีย จะโน้มน้าวลัทธิทั้งลัทธิก็ยิ่งลําบากยากเข็ญเข้าไปใหญ่ และทางที่ง่ายกว่าคือทําลายล้างลัทธินั้นเสีย ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋าหรือวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกเขาล้วนแต่มีหลักปรัชญาเป็นของตนเอง และจะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจนั้นยาก นักลัทธินักบุญสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “โชคดีที่หลักปรัชญาของลัทธิสวรรค์ไม่ขัดแย้งกับหลักปรัชญาของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ฉินมู่สงสัยใคร่รู้ “ตอนนี้ราชครูยังไม่แตะต้องลัทธินักบุญสวรรค์ แต่สํานักเต๋ากับวัดใหญ่ฟ้าคํารามเล่า?”

“นั่นก็ต้องแล้วแต่ว่าพวกเขาจะมีพฤติการณ์อย่างไร”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างจริงจัง “คอยดูกันว่าพวกเขาสามารถบรรลุขั้น ‘ความรู้คือการกระทํา การกระทําคือความรู้’ ได้หรือไม่ หากว่าพวกเขาสามารถธํารงความคิดแนวทางของตนและสําเร็จ ‘ความรู้คือการกระทํา การกระทําคือความรู้’ ได้แล้วล่ะก็ ข้าจะต้องทําทุกอย่างที่ทําได้เพื่อกําจัดพวกเขา หากว่าพวกเขาทําไม่ได้ พวกเขาก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปกันไม่ยาก”

ฉินมู่สะท้านใจแล้วถาม “เช่นนั้นอะไรคือหลักปรัชญาของราชครูล่ะ”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “ข้าไม่จําเป็นต้องบอกเจ้า อย่าดูที่ข้าพูด แต่ให้ดูว่าข้าทําอะไร หลักปรัชญาของข้าก็คือการกระทําของข้า นี่คือ ‘ความรู้คือการกระทํา การกระทําคือความรู้’ จ้าวลัทธิหนุ่ม หนทางเจ้ายังอีกยาวไกล”

ฉินมู่ก็ยังอ่านคนผู้นี้ไม่ทะลุอยู่ดี

ฉินมู่ในขณะนี้ยังคงไม่อาจถกเถียงโต้แย้งหลักปรัชญากับตัวตนระดับราชครูสันตินิรันดร์ได้ สายตาของราชครูสันตินิรันดร์นั้นสูงส่งจนเกินไป ความรู้ของเขาก็กว้างขวางและมากเล่ห์นัก ความเข้าใจของเขาต่อเต๋า วิชา และทักษะเทวะ ก็บรรลุถึงขั้นที่ผู้คนได้แหงนคอตั้งบ่ามองดูเขา ฉินมู่ยังไม่บรรลุถึงขั้นนี้

เขาไม่อาจขบคิดเกี่ยวกับราชครูสันตินิรันดร์จนทะลุปรุโปร่ง และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู

แต่อย่างไรก็ตามสําหรับตอนนี้ ฉินมู่ในฐานะจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องวางแผนปูทางให้แก่อนาคตของลัทธินักบุญสวรรค์

“สําหรับความขัดแย้งภายในของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ลัทธินักบุญสวรรค์ของเราจะสนับสนุนราชครูอย่างเต็มที่”

ฉินมู่ครุ่นคิดวิธีใช้คําของตนอย่างระมัดระวัง “แต่ทว่า ข้าต้องการคําสัญญาจากราชครู หลังจากปราบปรามการกบฏสําเร็จแล้ว ราชครูจะข้ามแม่นํ้าเสร็จรื้อสะพานและกําจัดลัทธิของเราหรือไม่”

ราชครูสันตินิรันดร์ไปหันสบตาเขาแล้วกล่าว “ข้าไม่ทําเช่นนั้น”

ฉินมู่แสดงสีหน้าซักไซ้

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างสบายๆ “ข้าต้องการแรงกระตุ้น ปล่อยลัทธินักบุญสวรรค์ทิ้งไว้นั้นเท่ากับข้าปล่อยให้มีกระบี่แขวนอยู่เหนือศีรษะ กระตุ้นข้าและบอกเตือนข้ามิให้กระทําผิดพลาด”

เขาเผยยิ้ม “หากว่าข้าแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าข้าจะทําสิ่งผิดพลาด แต่ใครจะทําอะไรข้าได้ ข้าต้องการขุมอํานาจที่สามารถสังหารข้าได้เมื่อข้าสูญเสียจิตเต๋าเดิมแท้ของตนไป ลัทธินักบุญสวรรค์นั้นดีเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง หากว่าวันใดข้าขัดแย้งกับหลักปรัชญาของพวกเจ้า ข้าก็จะรอให้พวกเจ้ามาเด็ดหัวข้าไปเสีย” ฉินมู่ฟังแล้วก็ขนลุกวูบวาบ ราชครูสันตินิรันดร์ยกเท้าย่างแล้วเดินจากไป

ทิ้งความคิดเดียวให้หลงเหลืออยู่ในจิตของฉินมู่ ราชครูสันตินิรันดร์ไม่ใช่มนุษย์!

ไม่ใช่มนุษย์

ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ย่อมต้องมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แต่ราชครูสันตินิรันดร์กลับไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา และปราศจากความเห็นแก่ตนโดยสิ้นเชิง โดยปราศจากสิ่งเหล่านั้น เขาก็มิใช่มนุษย์อีกต่อไป

บางที…เขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นนักบุญ หรือว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเป็นนักบุญ?

ฉินมู่ตั้งสติและขับไล่ความคิดเตลิดไกลของตน ในตอนนั้นเองกิเลนมังกรก็กล่าวด้วยเสียงตํ่าอู้อี้ “คนผู้นี้น่ากลัวจริงๆ ข้ายืนอยู่ที่นี่และข้าเห็นเขาอยู่ชัดๆ แต่กลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา”

ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อย เมื่อครู่เขามิได้ใช้เนตรสวรรค์เขียวมองดูราชครูสันตินิรันดร์และตอนนี้ก็พลาดโอกาส

เขาเคยใช้เนตรสวรรค์มองดูผู้ใหญ่บ้านครั้งหนึ่งและเขาก็เห็นเทพยดาผู้น่าเกรงขามและเกรียงไกรซึ่งมีร่างกายครบสมบูรณ์ หากว่าเขามองราชครูสันตินิรันดร์ เขาจะได้เห็นอะไรนะ

นอกบัณฑิตนิเวศน์ ฉินเฟยเยว่โค้งคารวะต่อราชครูสันตินิรันดร์ที่เดินออกมา ราชครูกล่าวกับเขา “กลับกันเถอะ”

ฉินเฟยเยว่ไม่กล้ามากวาจาและระหว่างที่พวกเขาเดินไป ราชครูสันตินิรันดร์ก็พลันกล่าวขึ้นมา “อธิการบดีมีวิจารณญาณที่เยี่ยมยอดจริงๆ”

ฉินเฟยเยว่แย้มยิ้ม “กู่ลี่หนวนอาจจะไม่เลวนัก แต่หลังจากที่เขาถูกผนึกไว้ในนํ้าแข็งมา 200 ปีและไม่ก้าวหน้าต่อไป ข้าเกรงว่าเขาคงล้าหลังครํ่าครึ”

“ข้าหมายอธิการบดีอีกคน” ราชครูสันตินิรันดร์หันกลับไปแล้วกล่าว “ผู้สืบทอดที่เขาเลือกเฟ้นมานั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่งและดูท่าจะมีอนาคตอันยิ่งใหญ่ แต่ทว่าเขานั้นเหมือนข้ามากจนเกินไปแล้วทําให้ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวที่เห็นบุคคลแบบนี้ ทําให้ข้าเอาแต่คิดอยากฆ่าเขาอยู่ตลอดเวลา”

ฉินเฟยอวี้ไม่เข้าใจว่าเขากําลังกล่าวถึงเรื่องอะไร

ราชครูสันตินิรันดร์เดินไกลออกไปและไกลออกไปพลางพึมพํา “ข้าเกลียดการส่องกระจก ตัวข้าในกระจกนั้นมิเคยสมบูรณ์แบบเท่ากับตัวข้าในความคิดอุดมคติ”

ในบัณฑิตนิเวศน์ ฉินมู่ค่อยหายใจหายคอได้ในที่สุด วิชาร้อยรัดของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ และเขาจําต้องสงบระงับใจลงเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจมันอย่างจดจ่อ ทําให้มันสมบูรณ์ขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะทําได้

การมาเยือนของราชครูสันตินิรันดร์นั้นสร้างแรงกระทบกระเทือนต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง บุรุษที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเองล้วนแต่แผ่มนตร์เสน่ห์ที่ทําให้ผู้คนอื่นยกย่องจากก้นบึ้งของหัวใจ

ดังที่ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวว่าเหลือลัทธินักบุญสวรรค์ทิ้งไว้นั้นหมายให้เป็นกระบี่ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะเขา เพื่อให้บรรลุตามคํากล่าวนี้ยังยากเย็นหนักหนา แม้ว่าจะรวบรวมกําลังทั้งหมดที่ลัทธินักบุญสวรรค์มีก็มิอาจเป็นกระบี่ที่คุกคามราชครูสันตินิรันดร์ได้

“ในเมื่อราชครูห้าวหาญขนาดนี้ พวกเราก็ต้องทําให้สมความหวังเขาสิ”

ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาของเขาและเดินไปมาช้าๆ ในลานบ้าน เขาตรึกตรองวิชาร้อยรัดอันเขาสร้างขึ้นมาจากรากฐานของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ตรึกตรองมันอย่างละเอียดและจําแนกแยกแยะ เขายังนําคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตออกมาอ่านเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อใช้เทียบเคียงอ้างอิง

เวลาผ่านไปสักพัก ฉินมู่ระบายลมหายใจขุ่นมัวและความเร็วของเขาก็ทวีสูงขึ้น เขาวิ่งตะบึงอย่างบ้าบิ่นไปทั่วทั้งภูเขาและขับเคลื่อนวิชาร้อยรัดที่เขาตรึกตรองสรรค์สร้างออกมา ร่างของเขาพุ่งวูบวาบไปมาในเทือกเขาราวกับประกายแสงและสะเก็ดเงา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version