Skip to content

Tales of Herding Gods 180

ตอนที่ 180 รองเท้าคับ

“ปีศาจจิ้งจอกและสิงโตหัวมังกรไปสร้างความโกลาหลที่ทะเลสาบมังกรหยก? ไม่เพียงแต่พวกมันลงไปอาบนํ้าในทะเลสาบ พวกมันยังทุบตีเจ้าอีกด้วยรึ”

กู่ลี่หนวนเพิ่งกลับจากวังหลวง นักพรตเต๋าที่เฝ้าทะเลสาบมังกรหยกก็เข้ามาฟ้อง กู่ลี่หนวนสะท้านใจอย่างรุนแรงและร้องออกมา “ราชาปลาในบรรดาปลาคาร์ปมังกรแดงก็ถูกสิงโตมังกรจับไปด้วย? ใครเลี้ยงปีศาจจิ้งจอกกับสิงโตมังกรทําไมถึงเหิมเกริมขนาดนี้ ข้าเพิ่งเข้ารับตําแหน่งได้แค่เดือนเดียวก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ใครกันที่มันยัดเยียดรองเท้าคับให้ข้าใส่”

ไม่ทันที่เขาจะทําใจย่อยข่าวนี้ได้ อีกคนหนึ่งก็มารายงาน “อธิการบดี จิ้งจอกที่ดุษฎีบัณฑิตฉินแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเลี้ยงไว้ได้ตัดฟันต้นปณิธานทะยานเอาไปย่างปลา และปลาที่ถูกย่างและกินนั้นดูเหมือนจะเป็นราชาปลาแห่งทะเลสาบมังกรหยก! ดุษฎีบัณฑิตฉินและบัณฑิตจักรวรรดิเว่ยหยงกําลังเก็บกวาดก้างปลาหมายจะทําลายหลักฐาน”

กู่ลี่หนวนรู้สึกประหลาดใจแกมยินดีอย่างช่วยไม่ได้ “ไอ้เด็กเวรนี่ ข้ามัวแต่กังวลว่าจะไม่มีวิธีหาเรื่องสร้างความลําบากให้แก่มัน ตอนนี้เรียกได้ว่ามันถวายหัวมาถึงหน้าประตูข้า เรื่องนี้เพียงพอที่จะให้มันถูกตัดหัวเป็นร้อยครั้ง คราวนี้ไอ้โง่ป้าซานนั่นคงพูดไม่ออกล่ะสินะ?”

เขาพลันคึกคักกระตือรือร้นขึ้นมาทันที และลุกขึ้นเร็วรี่พลางกล่าว “ไปกัน ตามข้าไปจับกุมพวกมัน! เราต้องการพยานและหลักฐาน ส่งพวกมันไปศาลยุติธรรมให้เจ้าหน้าที่ที่นั่นไต่สวน ประหารครอบครัวมันเจ็ดชั่วโคตร! จากนั้นเราถึงค่อยถวายฎีกาแด่องค์จักพรรดิ กราบทูลให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้!”

“แล้วบัณฑิตที่ชื่อเว่ยหยงล่ะ…”

“จับเขาไปด้วย และลงโทษเขาสถานเดียวกับฉินมู่!” กู่ลี่หนวนแย้มยิ้ม “ข้าเพิ่งจะพูดไปหยกๆ ว่าใครกันยัดเยียดรองเท้าคับมาให้ข้าใส่ แต่ดูท่ารองเท้านี้ไม่คับเลยสักนิด สบายเท้าดีจริงๆ”

กู่ลี่หนวนและลูกน้องพรวดเข้าไปในบัณฑิตนิเวศน์ แต่กลับไม่พบฉินมู่ในลานบ้าน มีแต่จิ้งจอกและกิเลนมังกรที่นอนกรนอยู่ กู่ลี่หนวนปลุกกิเลนมังกรให้ตื่นขึ้นมาแล้วถาม “ไอ้เด็กเวรแซ่ฉินหายหัวไปไหน”

กิเลนมังกรโงหัวขึ้นมาเหลือบแลพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างอืดอาด “เมื่อกี้เขายังอยู่ที่นี่ แต่มีผู้คนจากวังหลวงมาเรียกตัวเขาไป”

“หรือว่าองค์จักพรรดิจะรับรู้เรื่องนี้แล้ว พระองค์จึงเรียกเจ้าเด็กนั่นเข้าวังไปตัดหัว”

กู่ลี่หนวนหัวเราะในคอ “เด็กเปรตนี่ยังมีกระบี่ผู้พิทักษ์ของข้า ตัดหัวของมันทิ้งยังนับว่าลงโทษสถานเบา พวกเจ้าจะยืนบื้ออยู่ทําไม จับกุมจิ้งจอกและกิเลนมังกรนี่ซะ! ข้าจะเข้าวังจักรพรรดิและจะดูไอ้เด็กนี่ถูกประหารด้วยตาข้าเอง”

หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็รีบเร่งจากไป

คณบดีสองสามคนที่มากับเขาและนักพรตเต๋าที่เฝ้าทะเลสาบมังกรหยกรีบใช้โซ่มาพันธนาการกิเลนมังกร ฮู่หลิงเอ๋อหมายจะวิ่งหนีแต่นางก็ถูกจับไปด้วย

กู่ลี่หนวนรีบเข้าไปในวังอย่างคึกคักแจ่มใส และขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิ สักครู่หนึ่งองครักษ์ก็รายงาน “ฝ่าบาทอยู่ที่อุทยานจักรวรรดิ เชิญใต้เท้ากู่ไปเข้าเฝ้าที่นั่น”

กู่ลี่หนวนตกตะลึง “ตัดหัวเด็กเวรแซ่ฉินในอุทยานจักรวรรดิ? ฝ่าบาทคงพิโรธมาก”

เมื่อเขามาถึงอุทยานจักรวรรดิ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมา อันทําให้กู่ลี่หนวนงุนงงอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปและเห็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงประคองแขนพระพันปีหลวงและมีข้าราชบริพารจํานวนหนึ่งติดตามมาข้างหลัง ฉินมู่นั้นเดินตามพระพันปีหลวงที่เบื้องซ้าย กําลังเพ็ดทูลบางอย่างที่ทําให้พระพันปีหลวงสรวลร่า

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเห็นเขาจึงโบกมือเรียกให้เข้ามาใกล้ จากนั้นถามด้วยนํ้าเสียงอบอุ่น “ขุนนางของข้า เจ้ามาที่นี่ทําไมหรือ”

กู่ลี่หนวนลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ดุษฎีบัณฑิตฉินปล่อยกิเลนมังกรลงไปในทะเลสาบมังกรหยกเพื่อจับราชาปลาขึ้นมากิน ทะเลสาบมังกรหยกเป็นแหล่งนํ้าดื่มของราชวงศ์ และปลาคาร์ปมังกรแดงก็เป็นภัตตาหารของราชวงศ์ การที่ดุษฎีบัณฑิตฉินทําเช่นนี้มีโทษถึงประหาร ข้ามิกล้าปิดบังเรื่องดังกล่าว จึงมาที่นี่เพื่อรายงานองค์จักรพรรดิ”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังฉินมู่แล้วถาม “ขุนนางฉินเจ้ามีอะไรจะกล่าวไหม”

“ข้าเป็นคนเถื่อนนอกเขตอารยธรรม ไม่รู้ขนบกฎเกณฑ์ของเมืองหลวง ดังนั้นข้าจึงเสียมารยาทและล่วงเกิน”

ฉินมู่กล่าว “ข้าไม่รู้ว่าทะเลสาบมังกรหยกเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์และไม่รู้ว่าปลาในทะเลสาบนั้นหวงห้ามมิอาจกินได้ ข้ารู้สึกสํานึกผิดอย่างสุดซึ้ง และยอมรับโทษทัณฑ์ที่ฝ่าบาทจะมอบให้แต่โดยดี”

“นี่มีโทษถึงประหาร”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่เขาแล้วกล่าว “แม้ว่าข้าจะยอมรับคุณค่าความสามารถของเจ้า แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เจ้าอยากให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรล่ะ”

กู่ลี่หนวนเผยยิ้ม “ฝ่าบาท ตามกฎแล้ว พระองค์ต้องประหารเขาเจ็ดชั่วโคตร…”

พระพันปีหลวงก็แย้มยิ้ม “จักรพรรดิ ข้าก็คิดว่าหมอเทวดาน้อยสมควรถูกตัดหัว”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตะลึงไปครู่ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพระมารดาจึงกล่าวเช่นนั้น”

พระพันปีหลวงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแล้วกล่าวด้วย นํ้าเสียงเรียบเรื่อย “แน่นอนว่าเขาควรถูกตัดหัว หากว่าเจ้าไม่ประหารเขา ผู้คนในโลกหล้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิของพวกเขาให้คุณค่าปลาตัวหนึ่งมากกว่าชีวิตคน หากว่าเจ้าไม่ประหารดุษฎีบัณฑิตฉิน โลกหล้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิให้คุณค่าแก่ นํ้ามากกว่าชีวิตคน ต้องประหารเขาเท่านั้น ผู้เปี่ยมสามารถทั้งโลกหล้าถึงจะได้รู้กันทั่วว่าจักรพรรดิสามารถสั่งประหารหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงและเยียวยาอาการป่วยไข้ของข้าเพียงเพื่อนํ้าอึกหนึ่งและปลาตัวหนึ่งเท่านั้นและเช่นนี้พวกเขาถึงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะด้วยเสียงอันดังแล้วโบกมือไล่ “ใต้เท้ากู่ เจ้าไม่ควรมารบกวนข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เจ้าออกไปได้”

กู่ลี่หนวนงงงวย “นี่…”

“ถอยไป ถอยไป”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโบกมือแล้วกล่าว “เจ้าพิทักษ์คุ้มกันทะเลสาบมังกรหยกไม่ดี แต่ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เพิ่งมากํากับมหาวิทยาจักรวรรดิได้ไม่นาน สิ่งที่เจ้าทําในวันนี้ทําให้ข้าปวดเศียรเวียนเกล้ามากพอแล้ว เจ้าถึงกับต่อสู้กับคณบดีป้าซานและนําความอับอายมาให้ข้า หากเจ้าชนะนั่นก็ยังพอทําเนา แต่นี่เจ้าแพ้น่ะสิ อธิการบดีกลับไม่สามารถกําราบคณบดีได้ ข้าเสียหน้าไปหมดก็เพราะเจ้า เจ้าน่าจะกลับไปทบทวนตัวเองดีกว่า”

“รับพระบัญชา”

กู่ลี่หนวนรู้สึกชอกชํ้าใจ และขณะที่เขากําลังจะออกไปฉินมู่ก็กล่าว “ใต้เท้ากู่ จิ้งจอกและมังกรกิเลนของข้า รบกวนท่านอย่าทําให้พวกเขาลําบาก”

กูลี่หนวนใจวูบและได้ยินพระพันปีหลวงหัวเราะ “ข้าว่าเขาไม่กล้าทําหรอก จริงสิ จักรพรรดิ เจ้าไม่เห็นจะตบรางวัลอะไรให้หมอเทวดาน้อยเลยที่ช่วยรักษาเยียวยาข้า”

“พระมารดา เขาน่ะได้เป็นดุษฎีบัณฑิตเรียบร้อยแล้ว อันเป็นตําแหน่งขุนนางชั้นหก ข้าไม่อาจเลื่อนขั้นให้เขาสูงไปกว่านั้นได้ เพราะเขายังเยาว์อยู่มาก อีกสองสามปีเราค่อยว่ากันใหม่ มิเช่นนั้นขุนนางในสภาราชสํานักจะหาว่าข้าลําเอียงแก่เขา”

“หมอเทวดาน้อย เล่าเรื่องน่าสนใจของเจ้าสมัยเด็กให้ข้าฟังอีกซิ…”

กู่ลี่หนวนเดินไปไกลและออกไปจากวังหลวงเพื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ไฟโทสะของเขาอัดแน่นเต็มพุงแต่กลับไม่มีที่ระบาย นักพรตที่คุ้มกันทะเลสาบหยกรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถาม “อธิการบดี โจรผู้นั้นถูกประหารหรือยัง”

“เป็นความผิดของเจ้าทั้งนั้นที่แส่ไม่เข้าเรื่อง เจ้าควรจะดูแลทะเลสาบมังกรหยกให้ดีแต่กลับหาเรื่องมากความขนาดนี้ ทําให้ข้าถูกเย้ยหยันขายหน้าไปหมด!”

กูลี่หนวนถลึงตาจ้องเขาแล้วตะคอก “ปล่อยไอ้จิ้งจอกกับกิเลนมังกรนั่น!”

นักพรตดูแลทะเลสาบรู้สึกไม่ยุติธรรมสุดๆ เขาไม่รู้ว่าเขาทําผิดอะไรกูลี่หนวนถึงโมโหโกรธาใส่ขนาดนี้ และได้แต่ไปปล่อยฮู่หลิงเอ๋อกับกิเลนมังกร “อธิการบดี พวกเราได้ส่งคนไปจับตัวเว่ยหยง แต่เว่ยหยงกําลังติดสอยห้อยตามคณบดีป้าซานและคณบดีป้าซานไม่ยอมให้พวกเราจับตัวเขาไป ท่านคิดว่าอย่างไร”

“ปูมหลังความเป็นมาของเว่ยหยง?”

“เขามาจากครอบครัวเจ้านครเว่ย”

“ตีนยังดีๆ ไม่ต้องแกว่งไปหาเสี้ยนจะได้ไหม!”

ในอุทยานจักรวรรดิ พระพันปีหลวงคุยเล็กคุยน้อยกับฉินมู่ต่ออีกสักพัก จากนั้นฉินมู่ก็ตรวจชีพจรให้นางและเขียนใบสั่งยาสองสามขนานจากนั้นกล่าว “พระพันปีหลวง ท่านฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ไม่มีภัยซ่อนเร้นหลงเหลือ”

“ดี”

พระพันปีหลวงแย้มยิ้ม “ขอบใจสําหรับการช่วยเหลือของเจ้า หมอเทวดาน้อย”

ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและกําลังจะลาจากไป จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ยิ้มกล่าว “ขุนนางที่รัก ช้าก่อน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากคุยกับเจ้า”

ฉินมู่ยั้งเท้าและจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็เดินไปหาเขาพลางโบกมือเป็นสัญญาณให้ขันทีและนางกํานัลถอยออกไปห่างๆ จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากอุทยานจักรวรรดิด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ดุษฎีบัณฑิตของข้า จ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้า ผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ ลูกศิษย์ของราชาพิษหน้าหยก ขุนนางฉินนับว่ามีตัวตนหลายหลายดีจริงๆ”

ฉินมู่ชะงักไปเล็กน้อย และฝีเท้าเขาก็ช้าลงโดยไม่รู้ตัว หากว่าราชครูสันตินิรันดร์สามารถรู้ได้ว่าเขาเป็นจ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิมารฟ้า จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ย่อมต้องมีหนทางที่จะรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดินห่างไปไกล และเขาก็เอี้ยวคอกลับมามองแล้วถาม “ขุนนางที่รัก ไฉนเจ้าไม่ตามมาล่ะ”

ฉินมู่รีบตามเขาไปแล้วแย้มยิ้ม “ฝ่าบาทมีโชควาสนาเยี่ยมเทียมสวรรค์”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะ “ลัทธิมารฟ้า สํานักอันดับหนึ่งของฝ่ายมาร แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง จ้าวลัทธิของพวกเขากลับมาเป็นนักเรียนของโอรสสวรรค์ ข้านับว่ามีโชควาสนาเยี่ยมเทียมสวรรค์จริงๆ นั่นละ ทว่านี่นับเป็นโชควาสนา แต่ก็กลายเป็นภัยพิบัติได้เช่นกัน ขุนนางที่รักฉิน เจ้าคิดว่าเป็นโชควาสนาหรือภัยพิบัติล่ะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ฝ่าบาท หรือว่าเจ้าสํานักเต๋าแห่งลัทธิเต๋ายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ ตําแหน่งใดล่ะที่ฝ่าบาทจะมอบให้เขา”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าสํานักเต๋า หัวหน้าของฝ่ายเที่ยงธรรมในโลกนี้ ข้าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูง ให้เขามีฐานันดร ‘อ๋อง’ สืบทอดฐานันดรนี้จากรุ่นสู่รุ่น!”

ฉินมู่จึงถามต่อ “หากยูไลแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามก้มหัวให้กับฝ่าบาท ตําแหน่งใดที่ฝ่าบาทจะมอบให้แก่เขา”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว “ยูไลนั้นยอดเยี่ยมที่สุดในฝ่ายพุทธ และหากว่าเขาหมายที่จะร่วมสภาขุนนางราชสํานัก ข้าจะแต่งตั้งให้เขาดํารงตําแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูงและให้ฐานันดร ‘บรมบรรพบุรุษ’!”

ฉินมู่กล่าว “ใน 3 แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสันตินิรันดร์ องค์จักรพรรดิจะมอบตําแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูงให้แก่เจ้าสํานักของสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคําราม เรียกพวกเขาว่าอ๋องและบรมบรรพบุรุษ ลัทธินักบุญสวรรค์ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกันและจ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ถึงกับเข้าหาสวามิภักดิ์ด้วยตนเอง แต่ฝ่าบาทก็เพียงแค่แต่งตั้งตําแหน่งขุนนางชั้นหกอันเอาไปวัดไปวาที่ไหนไม่ได้ ทั้งยังถามอีกว่านี่เป็นโชควาสนาหรือภัยพิบัติ นี่ท่านจะไม่ทําให้ข้าราชบริพารและขุนนางที่จงรักภักดีทั้งหลายผิดหวังขมขื่น หรอกหรือ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอึ้งไปเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า “ที่เจ้ากล่าวนั้นสมเหตุสมผล แต่ทว่าข้าคงมิอาจแต่งตั้งเจ้าได้ในทันที เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเยาว์อยู่มากเกินไป หากว่าข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง

ขั้นสูงในบัดนี้ ผู้คนก็จะติฉินนินทา และพวกเขาก็จะสามารถคาดเดาศักดิ์ฐานะที่แท้จริงของเจ้าได้”

ฉินมู่เห็นด้วย

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าระหว่างเจ้ากับกู่ลี่หนวนมีความบาดหมางกันอยู่บ้าง และรู้ว่าเจ้าชิงกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของเขาไป แต่เจ้าเป็นถึงจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้า ควรจะมีใจเอื้อเฟื้อกว่านี้และอย่าเอาแต่หารองเท้าคับยัดเยียดให้เขาใส่ เขานั้นถูกแต่งตั้งไปดูแลมหาวิทยาลัยจักรวรรดิโดยข้า หากว่าเจ้าทําให้เขาอับอายขายหน้ามากเกินไป ก็พาลจะทําให้ข้าดูแย่ไปด้วย”

ฉินมู่รู้สึกถูกกล่าวหาไม่เป็นธรรม “ฝ่าบาท ข้าจะไปกล้ายัดเยียดรองเท้าคับให้เขาใส่ได้อย่างไร”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดูเชิงจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้ายัดเยียดรองเท้าคับให้เขาในวันนี้หรอกหรือ ต้อนเขาให้จนมุม? เจ้าวางใจได้ คนใจกล้าเด็ดเดี่ยวอันไม่มีใครทัดเทียมอย่างราชครู ข้ายังกล้าใช้งานเขา ข้าย่อมกล้าใช้งานเจ้า เจ้าไม่จําเป็นต้องมีความสงสัยกระสับกระส่าย เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้”

ฉินมู่เดินออกมาจากพระราชวังและรู้สึกแช่มชื่น เขาระบายลมหายใจขุ่นมัวและรู้สึกผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง

เมื่อราชครูสันตินิรันดร์รู้บทบาทตัวตนของเขา เขาก็คงจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยหากว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยังไม่รู้ แต่บัดนี้เมื่อทั้งจักรพรรดิราชครูต่างก็รู้บทบาทตัวตนของเขา เขาก็จะกลายเป็นปลอดภัยแทนไม่ต้องกังวลว่าตัวเป้งทั้ง 2 จะลงมือจัดการเขา

หลังจากนั้น 10 กว่าวัน ห้องทิศตะวันตกของฉินมู่ก็กองไว้ด้วยเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเต็มไปหมด อันได้รับมาจากการขายนํ้าลายมังกร ก่อนที่คณบดีป้าซานจะนําเว่ยหยงและองค์ชายหมิ่นเยว่ออก

ไปแสวงหาประสบการณ์ เขาก็แวะไปที่ห้องฝั่งตะวันตกแล้วหยิบฉวยถุงเหรียญไปสี่ห้าถุง ฉินมู่ไม่ใส่ใจเลยสักนิดเพราะเขารํ่ารวยจนขี้เกียจนับเงิน

ในระหว่างหลายวันมานี้ เขาก็จะหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานและยาวิญญาณอื่นๆ ที่สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณในทุกๆ ขณะที่เขาว่าง และเมื่อเขาหลอมปรุงยาประเภทนี้เขาก็จะใช้วิชามือของลัทธิพุทธ อันทําให้ยาวิญญาณที่หลอมปรุงเสร็จมีเสียงพุทธองค์ก้องอยู่ภายใน นั่นทําให้ฉินมู่เรียกว่ายาวิญญาณชนิดนี้ว่า ยาจิตวิญญาณพุทธองค์

เขาไปที่คลังทรัพย์สินเพื่อซื้อหาสมุนไพรในช่วงนี้ และแทบจะซื้อสมุนไพร 10 กว่าชนิดที่เขาต้องการใช้จนเกือบเกลี้ยงคลัง ล่าสุดมหาวิทยาลัยจักรวรรดิกําลังจะมีการฝึกฝนแสวงประสบการณ์ครั้งใหญ่ และบัณฑิตจํานวนมากถูกคัดสรรส่งไปยังแนวหน้า ครูผู้สอนในแต่ละโถงจะพาบัณฑิตเหล่านั้นไปที่แนวหน้าสมรภูมิรบเพื่อปราบปรามการกบฏ

ฉินมู่เองก็ถูกกู่ลี่หนวนคัดชื่อขึ้นมาและกล่าวว่าเขาจะต้องไปที่แนวหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าฉินมู่เป็นดุษฎีบัณฑิตขุนนางชั้นหกอันมีสิทธิและหน้าที่เทียบเท่าครูผู้สอน ดังนั้นกู่ลี่หนวนจึงมอบบัณฑิตจํานวนหนึ่งให้เขาเป็นผู้นําไป

บัณฑิตเหล่านั้นล้วนแต่เป็นบัณฑิตในขั้นห้าธาตุจากบัณฑิตนิเวศน์ ซึ่งมิได้มีกําลังการต่อสู้สูงมากมาย วรยุทธ์ของพวกเขานั้นตํ่าต้อยกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะจากทักษะเทวะนิเวศน์มาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version