Skip to content

Tales of Herding Gods 181

ตอนที่ 181 ตําราคํานวณบรมปริศนา

ในกลุ่มของฉินมู่ นอกจากเขาที่เป็นดุษฎีบัณฑิต ก็ไม่มีครูผู้สอนคนอื่นไปด้วย เหตุผลของกู่ลี่หนวนนั้นก็คือในเมื่อฉินมู่เป็นดุษฎีบัณฑิตและมีตําแหน่งที่สูง เขาก็ควรจะนํากลุ่มด้วยตนเอง

บัณฑิตที่มอบหมายให้ฉินมู่นั้นแม้ว่าจะถูกเลือกสรรจากหัวกะทิของบัณฑิตนิเวศน์ แต่พวกเขาก็ยังด้อยกว่าบัณฑิตที่ได้รับการเลือกสรรจากอุทยานราชวงศ์และทักษะเทวะนิเวศน์ไปมาก

มียอดยุทธ์อยู่ทั่วไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ กู่ลี่หนวนให้ฉินมู่นําทีมออกไปแสวงหาประสบการณ์ นับว่าใช้อํานาจหน้าที่ชําระแค้นส่วนตัว

บัณฑิตที่ไปแนวหน้ากับฉินมู่ล้วนแต่เป็นคนคุ้นหน้า พวกเขาคือเฉินหว่านอวิ๋น หลวงจีนอวิ๋นฉื้อ เยว่ชิงหงพร้อมกับทาสหมาป่า ซีอวิ๋นเซี่ยง และสุดท้ายก็ฉินอวี้

แต่ทว่า ในเมื่อฉินอวี้เป็นทายาทตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง เขามีที่มาปูมหลังอันลึกลํ้า และไปหาบอกกล่าวกับกู่ลี่หนวน ดังนั้นเขาจึงถูกย้ายจากกลุ่มของฉินมู่ไปยังกลุ่มอื่นๆ ที่มีครูผู้สอนเป็นคนนํากลุ่ม หลบเลี่ยงกลุ่มตายแน่นอนของฉินมู่

ฉินมู่ปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานเสร็จหนึ่งหม้อ และยืดตัวยืดเส้น เขานั้นหลอมปรุงยามาตลอดหลายวันเพื่อสํารองเสบียงให้กิเลนมังกรมีกินทุกวันระหว่างที่เดินทางไปยังแนวหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาไปพบปะบัณฑิตเหล่านี้

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อไปพบปะเฉินหว่านอวิ๋นและเยว่ชิงหงเพื่อปรึกษาหารือกับพวกเขา “คราวนี้อธิการบดีให้ดุษฎีบัณฑิตฉินนําพวกเราออกไปแสวงหาประสบการณ์และสยบความปั่นป่วนในโลกหล้า ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่รอดกลับมาและต้องทิ้งชีวิตไว้เป็นแน่ กลุ่มของพวกเราไม่มีผู้ฝึกวิชาเทวะแม้สักคนเดียว!”

เฉินหว่านอวิ๋นส่ายหน้า “มีอยู่”

สามสี่คนนั้นหันไปมองเขาเป็นตาเดียวกัน

เฉินหว่านอวิ๋นยิ้มบางๆ “ข้าได้ข่มระงับขั้นวรยุทธ์ของข้าตลอดหลายวันมานี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงวางใจได้ ข้าสามารถทลายกําแพงบรรลุขั้นวรยุทธ์เมื่อใดก็ได้ทั้งนั้นและจะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ”

เยว่ชิงหงกล่าว “ข้าได้ยินว่าสํานักต่างๆ ที่ก่อกบฏนั้นได้เริ่มไปรวมตัวกันทางทิศใต้ หมายที่จะทําลายอํานาจควบคุมของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในแดนใต้โดยสิ้นเชิง สํานักมากมายที่เคยพลุกพล่านใกล้ๆ เมืองหลวงต่างก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย อย่างเช่นสํานักขี่มังกรซึ่งย้ายฐานไปยังแดนใต้แล้ว และตอนนี้ทิศใต้ของแม่นํ้าหย่งก็กลายเป็นที่ซ่องสุมของกองกําลังกบฏ! ด้วยสํานักกบฏทั้งหลายที่ไปเนืองแน่นกันอยู่ที่นี่ พวกเขาจะมีผู้ฝึกวิชาเทวะสักเท่าไร มีเจ้าเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะเพียงคนเดียว จะมีประโยชน์ อะไร”

เฉินหว่านอวิ๋นขมวดคิ้ว “ประสบการณ์ยุทธภพของดุษฎีบัณฑิตฉินนั้นยังตื้นเขินเกินไป เขานั้นอายุน้อยมาก จะได้ออกท่องยุทธจักรสักกี่ครั้งกันเชียว ให้เขาเป็นผู้นําพวกเราก็ดูเหมือนจะมีแต่ความย่อยยับวินาศที่รออยู่ ไม่ว่าวรยุทธ์ของข้าจะสูงสักแค่ไหน ข้าก็คงอับจนปัญญา ศิษย์น้องหญิงซี เจ้าไม่ได้พูดอะไรเลย เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรหรือ”

ซีอวิ๋นเซี่ยงแย้มยิ้มอย่างเอียงอาย แต่ไม่กล่าวอะไร ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเลือกสรรทักษะเทวะสักวิชาสองวิชาจากเรือนบันทึกสวรรค์กันดีกว่า เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

ในที่สุดก็ถึงวันออกเดินทาง ที่หน้าโถงบรมสิกขา บัณฑิตหลายร้อยคนมารวมตัวกันและมีครูผู้สอนหลายคนตรวจตราทีมของตน เรือเหาะจํานวนมากพลันลอยเข้ามาตามๆ กันและจอดลงตรงหน้าโถงบรมสิกขา ครูผู้สอนเหล่านั้นก็พาทีมของพวกเขาขึ้นเรือเหาะไป

“ดุษฎีบัณฑิตฉิน เจ้าไม่ได้จ้างวานเรือเหาะมาหรอกหรือ” กู่ลี่หนวนเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มสดใสเริงรื่นบนใบหน้า “การเดินทางครั้งนี้หนทางค่อนข้างยาวไกล และหากเจ้าเดินไปด้วยเท้า ก็ต้องใช้เวลากว่า 10 วัน เจ้าเป็นถึงดุษฎีบัณฑิตอย่าบอกนะว่าเจ้าจะไม่ยอมควักจ่ายเงินเล็กน้อยเท่านี้เลยสักนิด?”

ฉินมู่ยิ้มด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว “ขอบคุณอธิการบดีที่อุตส่าห์มากังวลแทนพวกเรา ข้านั้นไร้ทรัพย์สมบัติมีแต่เงินทองกองเป็นตั้ง ดังนั้นข้าจึงได้จ้างวานเรือเหาะด่วนพิเศษด้วยราคาสูงลิ่ว ซึ่งคงจะมาถึงที่นี่เร็วๆ นี้ หม้อหลอมยาบนเรือนั้นถูกหลอมสร้างด้วยมือข้ามันเร็วอย่างยิ่ง”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ มองตากันไปมาและคิดในใจ เขานี่งกจริงๆ ขนาดหม้อหลอมยาก็ประกอบขึ้นเอง ข้าว่ามันต้องเป็นเรือเล็กๆ เป็นแน่ แต่ว่าเขารู้วิธีหลอมสร้างเครื่องกลด้วยรึ เขาไม่เคยไปโถงหลอมเทวะเลย แล้วเขาไปเรียนวิชาหลอมสร้างมาจากไหน

ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีโถงหลอมเทวะซึ่งสอนวิธีหลอมสร้างเครื่องกลและสมบัติต่างๆ ครูผู้สอนของโถงหลอมเทวะก็มีตําแหน่งขุนนางในราชสํานัก หัวหน้างานอู่เรือและโรงผลิตยุทโธปกรณ์นั้นเป็นตําแหน่งที่เหล่าครูผู้สอนแห่งโถงหลอมเทวะต้องทําหน้าที่ควบคู่ไปด้วย

ตั้งแต่เมื่อฉินมู่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาไม่เคยย่างกรายไปยังโถงหลอมเทวะเลยสักครั้งเดียว ดังนั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียนรู้วิชาหลอมสร้าง

ไม่นานนักเรือเหาะพวกนั้นก็เริ่มลอยขึ้นและออกตัวไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทีละลําสองลํา หลวงจีนอวิ๋นฉื้อและคนอื่นๆ รอด้วยใจกระวนกระวาย และทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเรือเหาะกะรุ่งกะริ่งลอยสั่นพั่บๆ มาบนท้องฟ้า และจอดลงตรงหน้าโถงบรมสิกขาอย่างง่อนแง่น

“เรือพวกเรามาล่ะ!” ฉินมู่ยิ้ม

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ เยว่ชิงหง ล้วนแต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างแรง เรือลํานี้เต็มไปด้วยรูโหว่ปุปะ และอากาศก็ไกลออกมาจากทุกร่องรู ยิ่งไปกว่านั้นเสากระโดงเรือก็หักพังไม่มีแม้แต่ใบเรือ

ชายร่างกํายําในเสื้อกุดอวดแขนเปลือยผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากเรือ และเขามีสีหน้าดุร้ายเป็นอย่างยิ่งมองแค่ปราดเดียวพวกเขาก็รู้ว่าหมอนี่ไม่ใช่คนดีอันใด เนื้อตัวเขาเกลื่อนไปด้วยรอยสัก และเขาก็โบกมือให้ฉินมู่พลางหัวเราะ “พี่ฉินที่นับถือ ข้าสายเสียแล้ว สายเสียแล้ว!”

ฉินมู่พาฮู่หลิงเอ๋อและกิเลนมังกรเดินตรงไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะสายอีกวันสองวันก็ไม่เป็นไร แต่เกิดอะไรขึ้นกับเรือของเจ้า เมื่อครั้งก่อนที่ข้าเห็นมันยังดีๆ อยู่เลย ทําไมมันกลายเป็นสภาพนี้ในเวลาไม่กี่วัน”

“เฮ้อ อย่าให้พูดเลย ข้าเพิ่งเดินทางไปเที่ยวหนึ่งและไปเจอพวกหญิงแพศยาจากปราสาท 3 มหัศจรรย์อีกครั้ง พวกนางปล่อยแมลงมาโจมตีข้า แต่เรือของข้าแล่นเร็วเกินไป และกลายเป็นข้าชนใส่ฝูงแมลงแทนและแทบจะทําให้เรือวิเศษของข้าพรุนเป็นรังผึ้ง”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวสําลักหัวเราะเมื่อเขามองไปยังเฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ “บัณฑิตทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าเป็นขุนนางเจ้าหน้าที่ในอนาคต ข้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ตัวข้านั้นเพิ่งกลับตัวเป็นคนดีเมื่อไม่นานมานี้”

อวิ๋นฉื้อพึมพํา “เรือซอมซ่ออนาถาขนาดนี้ มันจะไม่หลุดเป็นชิ้นๆ หรือตอนที่พวกเราขี่มันขึ้นไปบนอากาศ”

ฉินมู่เองก็สงสัยข้อเดียวกัน เรือโจรสลัดกวดเมฆนี้ดูผุพังเกินไปและดูเหมือนจะแตกหักได้ในทุกขณะ

“ไม่พังแน่นอน ไม่พังแน่นอน!”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวทุบหน้าอกตนปึกๆ ให้ความมั่นใจ “พี่น้องของข้าได้ใช้อักษรรูนเสริมความแกร่งให้กับตัวเรือแล้ว ดังนั้นมันจึงทนทานเป็นอย่างยิ่ง พี่ฉิน ถ้าเจ้าว่างช่วยหลอมสร้างหุ้มเหล็กให้กับเรือนี้จะได้ไหม ช่วยข้าหลอมสร้างหม้ออีก 2 ใบและใช้เหล็กดําหลอมตีเป็นตัวเรือ ไม้นี่มันเปราะบางเกินไป”

ฉินมู่ขบคิดเล็กน้อยและตอบ “นั่นคงต้องใช้เงินเยอะหน่อย เพียงแค่เหล็กดําก็แพงหูฉี่แล้ว เจ้ามีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีพิมพ์เขียวหรือเปล่า”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวถูมือไปมาแล้วกล่าว “หลังจากปล้นชิงไปทั่วสารทิศในช่วงนี้…เปล่าๆ ตั้งแต่ทําธุรกิจไปทั่วทุกสารทิศ ข้าก็รวบรวมเงินทองมาได้จํานวนหนึ่ง และหากว่าข้ารวมกับทรัพย์สมบัติเก่า ก็น่าจะเพียงพอสําหรับการสร้างเรือหุ้มเหล็ก ส่วนพิมพ์เขียวนั้น คงหามาได้ไม่ง่ายนัก…ทุกคน เชิญขึ้นเรือได้ เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันต่อหลังจากเรือออกเดินทาง”

ทุกคนขึ้นไปบนเรือและเยว่ชิงหงก็มองไปรอบๆ กะลาสีของเรือนี้ล้วนแต่มีรอยสักเต็มตัวและมีสีหน้าท่าทางดุร้าย บางคนถึงกับมีรอยแผลเป็นบนร่างกาย และบางคนก็จมูกหาย หรือตาบอดไปข้าง พวกเขาแผ่รังสีอันร้ายกาจดุดัน ดูไม่น่าใช่คนดีๆ สัมมาชีพ

เรือโกโรโกโสนี้ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า และแล่นออกไปจากเมืองหลวงอย่างเชื่องช้าราวกับวัวแก่ลากเกวียนหนัก

ทุกคนมองเห็นสถานการณ์นี้และรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม เฉินหว่านอวิ๋นกระซิบกระซาบ “ผู้คนบนเรือนี้ไม่ใช่คนดี พวกเขาเป็นวายร้ายที่คอยปล้นชิงผู้คน ทั้งยังมีกําลังฝีมือสูงเยี่ยม พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ ดุษฎีบัณฑิตฉินนั้นตื้นเขินประสบการณ์ยุทธจักร และข้าคิดว่าเขาคงตกหลุมพรางของโจรผู้ร้าย พวกเราคงต้องระวังตัวให้มากๆ มิเช่นนั้นคงจะถูกปล้น…”

ขณะที่เขากล่าวอยู่นั่นเอง เรือซอมซ่อนี้ก็พลันทวีความเร็วและสร้างเสียงหวีดหวือเมื่อมันทะลวงกําแพงอากาศ

แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักเขย่าทั้งลําเรือเมื่อเรือนี้แล่นด้วยความเร็วเหนือเสียง ข้ามระยะ 10 ลี้ในพริบตา สุราสองสามถังกระดอนขึ้นไปบนอากาศและมันระเบิดกระจุยทันทีเมื่อถูกกระแสอากาศกระแทกกระทั้น

ทุกคนรีบหาที่ยึดจับและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด พวกเขาเห็นว่าเรือซอมซ่อนี้ไม่นานก็จะแซงเรือทั้งหมดที่แล่นออกไปก่อนหน้าตั้งนานนม ปล่อยให้เรือลําอื่นๆ ได้แต่กินฝุ่น

ความเร็วของเรือนี้เหนือจินตนาการ ด้วยความเร็วระดับนี้ พวกเขาคงไปถึงแม่นํ้าหย่งภายในวันสองวัน!

ฉินมู่ชินกับความเร็วนี้แล้ว เพราะว่าเขาคือคนที่หลอมสร้างหม้อขับเคลื่อน ดังนั้นไม่มีความจําเป็นอะไรที่ต้องแตกตื่น

“ไม่เป็นไรน่า ไม่เป็นไรหรอก มันไม่พังเป็นชิ้นๆ หรอก”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวปลอบใจทุกๆ คนแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็กลัวมันพังกลางอากาศเหมือนพวกเจ้า แต่หลังจากที่ขนส่งผู้โดยสารสามสี่รอบ มันก็ไม่ยักกะพัง ดังนั้นรอบนี้มันก็ไม่น่าจะพังเหมือนกัน”

วิ้ว

กระดานดาดฟ้าเรือแผ่นหนึ่งปลิวหายไปกับสายลม ฝานอวิ๋นเสี้ยวยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง มันไม่พังแน่ๆ น้องรอง เอากระดานดาดฟ้าขึ้นมาอีก มันปลิวไปอีกอันแล้ว ใจเย็น ใจเย็น ข้าเคยรับมือกับเรื่องนี้มาก่อน”

ทันใดนั้นเรือก็แล่นผ่านช่วงที่มีฝนตกเรือเหาะแล่นผ่านม่านฝนที่โปรยปราย ทําให้ร่างของฝานอวิ๋นเสี้ยวเลอะสีไปหมด

ฮู่หลิงเอ๋อร้องอย่างประหลาดใจ “เจ้าเสี้ยว รอยสักของเจ้าถูกนํ้าฝนลบไปหมดแล้วน่ะ!”

โจรสลัดคนอื่นๆ บนเรือโจรสลัดกวดเมฆก็ถูกนํ้าฝนลบเลือนรอยสักเช่นกันและมีกระทั่งกะลาสีคนหนึ่งที่ตะโกน “พี่ใหญ่ แผลเป็นข้าก็หลุดไปกับฝนหมดแล้ว!”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย และกล่าว “เมื่อพวกเจ้าลงเรือครั้งหน้า พวกเราสามารถไปหาจิตรกรให้วาดมันขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าพวกเราได้กลับตัวเป็นคนดีแล้วคงไม่จําเป็นต้องวาดรอยสักอีกต่อไป น้องรอง เอาที่ปิดตาออกเถอะ เจ้าทําให้บัณฑิตพวกนี้ตกใจกลัวหมดแล้ว”

กะลาสีลําดับสองถอดที่ปิดตาของเขาออกและเผยดวงตาที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อพึมพํา “โจรพวกนี้ดูไม่น่าเชื่อถือเลย…”

แต่ทว่า ฉินมู่นั้นดูสนิทถูกคอกับหัวหน้าโจรเป็นอย่างยิ่ง และนําตําราคํานวณออกมาปรึกษากับฝานอวิ๋นเสี้ยว ฮู่หลิงเอ๋อควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรอยสักหัวมังกรที่กลางหลังฝานอวิ๋นเสี้ยว และหัวมังกรนั้นก็หายวับไป

“จิ้งจอก อย่าเล่นน่า” ฝานอวิ๋นเสี้ยวโบกมือไล่

ฮู่หลิงเอ๋อทําแก้มตุ่ย “ข้านึกว่านี่รอยสักจริงเสียอีก ที่แท้ก็ภาพวาด”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวหัวเราะแห้งแล้วพึมพํา “สักจริงๆ เจ็บแค่ไหนล่ะ ร่างกายพวกเรา เส้นผมและผิวหนังล้วนแต่ได้รับมาจากบิดามารดา พวกเราจะสักอะไรลงไปได้อย่างไร”

ฉินมู่กล่าว “ศิษย์พี่ฝาน ฉือ ไป๋ เฉียน หวั่น ในตําราคํานวณบรมปริศนานั้นไม่เป็นปัญหา แต่ว่าอี้ โจว จิ่ง ไก๋ จื่อ หรัง กั่ว เจี่ยน เจิ้ง ไจ้ จี่ หลักเลขเหล่านั้นดูจะใหญ่เกินไป พวกมันใช้คํานวณอะไรหรือ มีความจําเป็นต้องใช้หลักเลขที่สูงขนาดนี้ด้วยหรือ”

“ข้าก็เคยถามเจ้าสํานักเต๋ามาก่อนและเจ้าสํานักเต๋ากล่าวว่ามันใช้สําหรับคํานวณขั้นมหภาค”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวกล่าว “ระหว่างหวั่นและอี้เป็นระบบหวั่น หวั่น หวั่น เป็นหนึ่งอี้ หลังจากอี้ก็จะเป็นระบบอี้ อี้อี้เป็นหนึ่งโจว อี้โจวเป็นหนึ่งจิ่ง อี้จิ่งเป็นหนึ่งไก๋ นอกจากนั้นจุดทศนิยมก็ไม่มีสิ้นสุด ทศนิยมที่ต่อจากเลขจํานวนเต็มคือ เฝิน หลี่ ฮ่าว ซี ฮู เว่ย เซียน ช่า เชิน อ้าย เหมี่ยว โม่ โม่หู หุนซุน จวีอวี่ ชุนจี้ ตันซือ ฉ่านา เลี่ยวเต๋อ คงจวี่ ชิงจิง ที่พวกเขาใช้เป็นเลขฐานสิบ เฝินคือหนึ่งส่วนสิบหลี่คือหนึ่งส่วนร้อย ตามลําดับไป”

ฉินมู่ตกตะลึงแล้วถาม “ถ้าอย่างนั้นคงจวี่และชิงจิงใช้คํานวณอะไร”

“ใช้คํานวณอนุภาคที่เล็กที่สุดในปราณชีวิต”

ฝานอวิ๋นเสี้ยวกล่าวต่อ “นิพนธ์ที่ 14 ของกระบี่เต๋าต้องใช้อักษรรูนประทับเข้าไปในอนุภาคที่เล็กที่สุดของปราณชีวิตกระบี่นี้ ไม่อาจฝึกปรือได้หากว่าคํานวณขั้นนี้ไม่สําเร็จ”

ฉินมู่อึ้งไปทันทีและรู้สึกสมองโป่งพองเมื่อมองไปยังตําราคํานวณบรมปริศนา

“หากว่าเจ้าหลอมสร้างสมบัติทุกชนิด เจ้าต้องใช้การคํานวณเหล่านี้เพราะว่าความผิดเพี้ยนเพียงเล็กน้อยอาจจะให้ผลแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ”

ฉินมู่รับคําแล้วอุทานด้วยความชื่นชม “ความก้าวหน้าวิทยาการพีชคณิตของสํานักเต๋านี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

เขาปรึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจและฝานอวิ๋นเสี้ยวก็บอกอธิบายจนหมดไส้หมดพุง ฝานอวิ๋นเสี้ยวนั้นฝึกปรือจนถึงนิพนธ์ที่ 5 ของสํานักเต๋าและมีความก้าวหน้าในพีชคณิตสูงลํ้าเป็นอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version