Skip to content

Tales of Herding Gods 182

ตอนที่ 182 ยอดนํ้าแข็งภูเขาในแดนใต้

เรือโจรสลัดกวดเมฆ เหาะไปวันกว่าๆ และมาถึงแม่นํ้าหย่งในที่สุด เรือแล่นไปจอดที่ค่ายทหารริมฝั่งนํ้าทิศใต้

มณฑลหลี่โจวได้จัดตั้งกองกําลังทหารจํานวนมากตลอดแม่นํ้า กองทัพได้เชื่อมค่ายริมนํ้ากว่า 200 ค่ายเข้าด้วยกันและมีกําลังทหารและม้าศึกมากมายไร้ประมาณ การต่อสู้ดุเดือดที่นี่เพิ่งสิ้นสุดไปและยังมีเรือหลายลําที่แล่นตะลุยบนแม่นํ้า เรือบางลําก็ถูกทําลาย และมีควันดําขโมงลอยออกมาจากเสากระโดงและดาดฟ้า

ศพลอยเกลื่อนผิวแม่นํ้า

บนเรือมีทหารหลายคนที่หว่านแหลงไปลากเอาศพขึ้นมา พวกเขาใช้ตะขอเกี่ยวซากเหล่านั้นแล้วแขวนไว้ที่ท้ายเรือ หมายที่จะกลบฝังหลังจากพาพวกเขาขึ้นฝั่ง

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์เขียวและมองไปยังฝั่งตรงข้ามแม่นํ้า ที่นั่นมีเมืองปรักหักพังและยังมีการต่อสู้ประปรายอันเห็นได้จากลําแสงที่พุ่งวูบวาบเป็นระยะจากทักษะเทวะ

อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่สงครามสนามย่อย มันน่าจะเกิดจากการที่กองทัพสันตินิรันดร์กำลังกวาดล้างศัตรูที่เหลือรอดอยู่ในเมือง

ฝานอวิ๋นเสี้ยวชะลอเรือลงและค่อยๆ ลอยลงมาจากฟ้าตรงไปยังค่าย มีทหารที่บินขึ้นมาบนเรือเพื่อซักถามและเมื่อพวกเขารู้ว่าเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาก็รีบโบกธงให้สัญญาณแก่มือธนูข้างล่างให้ลดธนูลง

เรือเหาะค่อยๆ จอดลงในค่าย และฝานอวิ๋นเสี้ยวก็มองไปที่การต่อสู้ประปรายที่อีกฝั่งนํ้าด้วยตาสีขาวข้างหนึ่งและตาสีดําข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็ปรายตามองเฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และคนอื่นๆ ก่อนส่ายหน้า “พี่ฉิน บัณฑิตเหล่านี้มีแต่จะถ่วงเจ้า และไม่ช่วยอะไรมากนัก ทําให้พวกเจ้ายิ่งยากที่จะรอดชีวิตเข้าไปใหญ่ ข้าคงต้องไปก่อน เมื่อข้ารวบรวมเหล็กดําและหาพิมพ์เขียวของเรือวิเศษมาได้ ข้าก็จะกลับมาหาเจ้าอีกที!”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ให้โจรสลัดบนเรือขับเคลื่อนหม้อหลอมยาแล้วพาเรือบินจากไป

อวิ๋นฉื้อและคนอื่นๆ ฟังแล้วคอตก

เฉินหว่านอวิ๋นยิ้มหยัน “คนผู้นี้กําลังฝีมือไม่เลว แต่สายตาเขาไม่ค่อยได้เรื่อง”

แม่ทัพคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วถาม “พวกเจ้าคือบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหรือ”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าผู้ว่าการสาวมณฑลหลี่โจวอยู่ที่แนวหน้าหรือเปล่า ไม่ทราบว่าท่านช่วยไปส่งข่าวแก่นางได้หรือไม่ บอกแค่ว่าฉินมู่จากชนบทเขื่อนแม่นํ้าต้องการเข้าพบ”

แม่ทัพผู้นั้นตกตะลึงและไม่กล้าเมินเฉยคําพูดของเขา พลางเร่งรีบจากไป

ไม่นานนักเสียงเคร้งๆ ของชุดเกราะก็ดังมาและเมื่อทุกคนมองไปยังทิศทางเสียง พวกเขาก็เห็นแม่ทัพหญิงที่สวมเกราะเต็มตัว พร้อมกับอุ้มหมวกเกราะไว้ใต้วงแขน นางมีท่วงทีห้าวหาญและเครื่องหน้าของนางก็งดงามเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าขาวผ่อง คิ้วโก่งเป็นเส้นและริมฝีปากแดงอันยากจะลืมเลือน

นางนั้นน่าจะเพิ่งกลับมาจากสนามรบ เพราะยังคงมีรอยเลือดอยู่บนร่าง

“ที่แท้ก็เป็นน้องชายฉินมู่” อวี่เหยียนฉู่อวี้มองมายังฉินมู่และตาเป็นประกาย “น้องชายผู้หนีออกมาจากชนบทเขื่อนแม่นํ้าเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้ก็สร้างกิตติศัพท์ชื่อเสียงเสียแล้ว ข้าได้ยินพี่ชายของข้าเอ่ยถึงเจ้า และตอนนี้เจ้าก็นับว่าเหนือลํ้ากว่าคนจํานวนมาก ข้าเองก็ดีใจแทน”

“พี่สาว ท่านชมข้าเกินไปแล้ว” ฉินมู่หน้าแดงด้วยความอายแล้วกล่าว “ก่อนหน้านั้นข้าไม่ได้บอกพี่สาว ว่าจริงๆ แล้วข้ามาจากแดนโบราณวินาศ”

อวิ๋นฉื้อ เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ ล้วนแต่แตกตื่นในใจ

มณฑลหลี่โจวนั้นเป็นศูนย์ค่ายหลักของบัณฑิตจักรวรรดิทั้งหมดที่ออกมาแสวงประสบการณ์ในคราวนี้ ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะคุ้นเคยกับผู้ว่าการสาวแห่งมณฑลหลี่โจวเป็นอย่างดี!

เพราะว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในสถานที่เช่นนี้ นางจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการของแนวรบชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นอวี่เหยียนฉู่อวี้ยังมีที่มาอันเหนือลํ้าเกินธรรมดา นางเป็นถึงองค์หญิงแห่ง จักรวรรดิอวี่เหยียนเมื่อครั้งกระโน้นและองค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิก็คืออวี่เหยียนฉู่อวิ๋น ซึ่งได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง

ฉินมู่เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศชัดๆ เขามาเกี่ยวพันกับอวี่เหยียนฉู่อวี้ได้อย่างไร

“พี่สาวฉู่อวี้ ลัทธิผีดิบเซียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ฉินมู่ถาม

“ลัทธิผีดิบเซียนถูกข้ากวาดล้าง แต่ยังคงมีเศษซากที่หลงเหลือหลบหนีไปยังแดนใต้”

อวี่เหยียนฉู่อวี้พาพวกเขาเข้าไปในกําแพงเมืองแล้วกล่าว “กองกําลังกบฏจากทุกหนทุกแห่งมารวมตัวกันในแดนใต้ และยังมีสํานักกบฏจากทั่วทุกที่ อิทธิพลอํานาจทุกชนิดประเภทสุมหัวกันอยู่ที่นั่น กองกําลังที่ประจําการอยู่ในทุกหัวเมืองตลอดฝั่งแม่นํ้าล้วนแต่เฝ้าระวังอย่างตึงเครียด แต่ทว่านี่เป็นแค่ยอดภูเขานํ้าแข็ง สถานการณ์ปัจจุบันนั้นจริงๆ แล้วไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร”

“ยอดภูเขานํ้าแข็ง?” ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง

อวี่เหยียนฉู่อวี้ยิ้มกล่าว “ในโลกหล้าทุกวันนี้ เจ้าแยกแยะได้จริงหรือว่าใครภักดี ใครกบฏ อย่างเช่นข้า ข้าเป็นองค์หญิงจากจักรวรรดิอวี้เหยียนที่ถูกทําลายล้าง เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในอีกวินาทีถัดมาข้าจะไม่ฉีกหน้ากบฏ”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ หลั่งเหงื่อเย็นเยียบหวาดกลัวว่าหญิงสาวผู้มีท่วงทีเหี้ยมหาญนี้จะสังหารพวกเขาในพริบตาถัดไป แล้วประกาศว่านางไม่ขอยอมสยบต่อสันตินิรันดร์แล้ว

อวี่เหยียนฉู่อวี้กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “สภาราชสํานักกับอิทธิพลอํานาจรุ่นก่อนนั้นใกล้ชิดกันเกินไป ราชครูหมายจะสร้างคนรุ่นใหม่ออกมาบนรากฐานเยี่ยงนี้ แต่ทรัพยากรที่เขามีก็ล้วนแต่มาจากอิทธิพลอํานาจเก่า คนรุ่นใหม่ของเขาไม่อาจแยกตัวเป็นอิสระจากอํานาจเก่าได้ ดังนั้นใครจะรู้ว่าในชั่วขณะถัดไปจะเป็นสํานักไหนหรือขุนนางใดที่จะก่อกบฏ”

หลวงจีนอวิ๋นฉื้อถามด้วยร่างสั่นเทา “แต่ใต้เท้าผู้ว่าการคงไม่กบฏหรอกใช่ไหม”

อวี่เหยียนฉู่อวี้มองไปที่เขาและเผยรอยยิ้มเย็นเยียบวาบถึงกระดูก และกล่าวด้วยเสียงเบาหวิว “เจ้าลองดูสิ ถ้าเดาถูกเจ้าก็จะไม่ตาย”

อวิ๋นฉื้อหน้าซีดเผือด และกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ผู้บัญชาการอวี่เหยียนฉู่อวี้มีรังสีอันสูงส่งเกรียงไกรรอบกายนาง แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่สีหน้าเย็นเยียบของนางก็สามารถกระชากขวัญผู้คน

อวี่เหยียนฉู่อวี้หัวเราะอย่างนุ่มนวล จากนั้นเรียกแม่ทัพคนหนึ่งมา หลังจากออกคําสั่งกําชับ แม่ทัพนั้นก็ยกกองทหารหนึ่งกองพันออกไป

อวี่เหยียนฉู่อวี้เดินลงจากโถงที่ว่าการเมืองและย่างเหยียบไปบนผิวนํ้าข้างหลังนาง ทหารหนึ่งกองพันก็วิ่งตามมาและเหยียบผิวแม่นํ้าเคลื่อนทัพไปยังฝั่งตรงข้าม

ฉินมู่ตามนางติดๆ และยืนอยู่บนผิวแม่นํ้า ปราณชีวิตแผ่พุ่งจากเท้าของเขาพยุงให้เขายืนอยู่อย่างมั่นคง เขาแย้มยิ้ม “พี่สาว อย่าหลอกให้พวกเขากลัวสิ”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็รีบรุดตามมาและขับเคลื่อนปราณชีวิตของพวกเขาเพื่อมิให้ตนจมลงไปในนํ้า

พวกเขาสามารถวิ่งไปบนผิวนํ้าได้ แต่การก้าวย่างอย่างเนิบช้าบนผิวนํ้านั้นหนักหนาสาหัสกว่ามาก นอกจากจะต้องควบคุมนํ้าแล้ว พวกเขายังต้องมีพลังวัตรที่เข้มข้นอีกด้วย

อวี่เหยียนฉู่อวี้มีสีหน้าสนใจ “น้องชายคิดว่าข้าจะไม่ก่อกบฏต่อราชสํานักหรือ”

ฉินมู่ส่ายหน้า “เพราะการกบฏนี้เป็นแผนที่สุมไฟขึ้นมาด้วยมือราชครูเพื่อชําระล้างสภาราชสํานักและคนสามัญทั่วไป พี่สาวเป็นผู้ทรงปัญญาและต้องเห็นเรื่องนี้อย่างกระจ่างชัดเป็นแน่ หากว่าพี่สาวไม่ฉลาด ท่านคงก่อกบฏไปตั้งนานแล้วและไม่รอจนถึงวันนี้”

อวี่เหยียนฉู่อวี้ยิ้มกล่าว “เจ้าทั้งพูดถูกและก็พูดผิด สาเหตุที่ข้าไม่ก่อกบฏนั้นไม่ใช่ว่าข้าฉลาดพอ มีผู้คนมากมายที่มาเร่งเร้าให้ข้าก่อกบฏ พวกเขานั้นเปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจ และคิดว่าจะโน้มน้าวให้ข้ากบฏด้วยได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าพวกเขาทุกคนล้วนคิดผิด ตระกูลอวี่เหยียนของข้ามิได้หวงตําแหน่งราชวงศ์นักหนา พวกเราให้คุณค่ากับประชาชนแห่งอวี่เหยียนมากกว่า สมัยโน้นที่ยังมีจักรวรรดิอวี่เหยียน จักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นทรงอํานาจเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาสามารถก่อศึกรบพุ่งกับพวกเราได้ ตลอดเวลา บิดาของข้ารู้ว่าหากเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ จักรวรรดิแห่งนี้ก็จะถูกทําลาย ครอบครัวทั้งหลายก็จะพลัดพราก แต่ทว่าราชครูได้มายังอวี่เหยียนและถกมรรคาเต๋ากับบิดาของข้า ในตอนนั้นขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดก็อยู่เป็นประจักษ์พยานด้วย พวกเขาถกกันถึงวิธีการปกครองจักรวรรดิและพสกนิกร ข้ากับพี่ชายก็อยู่ในสภาราชสํานักตอนนั้นและผลของการถกเถียง พวกเราแพ้”

สีหน้าของนางสงบนิ่งและกล่าว “มรรคาเต๋าในการปกครองจักรวรรดิและผู้คนของพวกเราพ่ายแพ้ย่อยยับ และพวกเราก็ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นอย่างเต็มใจ บิดาของข้าจึงสละราชบัลลังก์ และส่งต่อให้กับพี่ชายข้า แต่พี่ชายข้าก็ไม่รับและส่งตําแหน่งจักรพรรดิต่อให้กับข้า ข้า…”

นางแย้มยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มหยันตนเองหรือรอยยิ้มจริงใจ “ข้าได้กล่าวแก่ราชครูสันตินิรันดร์ว่าข้านั้นด้อยกว่าเขาในเรื่องการปกครองจักรวรรดิ ทั้งยังด้อยกว่าในเรื่องการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน ถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบจักรวรรดิอวี่เหยียนแก่เขา หากการปกครองของเขาและคุณภาพชีวิตของประชาชนไม่เป็นที่น่าพอใจ ข้าจึงจะก่อกบฏ ราชครูตกลงและให้ข้าปกครองอวี่เหยียน อันปัจจุบันนี้ก็คือหลี่โจว”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น” ทุกคนพลันกระจ่างใจ

ฮู่หลิงเอ๋อร้องออกมาด้วยความตกตะลึง “พี่สาว อย่างนั้นท่านก็เป็นจักพรรดิหญิงสินะ!”

อวี่เหยียนฉู่อวี้ยิ้มแล้วกล่าว “หลังจากเป็นจักพรรดิหญิงมา 1 วัน ข้าบอกพวกเจ้าได้เลยว่ามันไม่สนุกเลยสักนิด หากพวกเจ้าก็อยากจะเป็นจักรพรรดิ ก็ง่ายๆ หาที่ไหนสักที่แล้วประกาศตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ปัญหาเดียวก็คือเจ้าจะหาคนมาอยู่ใต้ปกครองได้มากแค่ไหน”

นางมองไปยังควันโขมงและเปลวไฟที่ผิวนํ้า จากนั้นละสายตาออกมา นางแย้มยิ้มเมื่อมองไปยังเฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ “พวกเจ้านับว่ามีโชควาสนาที่ได้ติดตามน้องชาย ความสามารถของเขา

นั้นสูงลํ้าเหนือธรรมดา”

เยว่ชิงหงและอวิ๋นฉื้อมองหน้ากันและต่างก็ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการหญิงผู้นี้เห็นความสามารถเหนือธรรมดาของฉินมู่จากตรงไหน

อวี่เหยียนฉู่อวี้หวนนึกถึงตอนที่นางพบเจอฝูงด้วงศพแดงนอนตายระเกะระกะไปทั่วภูเขาทางตอนเหนือของชนบทพยัคฆ์ตะวันและนอกจากด้วงศพแดงเหล่านั้นแล้วยังมีโครงกระดูกอันเลือดเนื้อละลายหายไป เหลือเพียงแต่กระดูกและเสื้อผ้า จากเสื้อผ้านั้น นางระบุได้ว่านั่นเป็นยอดฝีมือจากลัทธิผีดิบเซียน

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ายอดฝีมือลัทธิผีดิบเซียนผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามใด แต่ดูจากวิธีและจํานวนด้วงศพที่เขาควบคุม ยอดฝีมือผู้นี้ต้องมีวรยุทธ์ไม่ตํ่ากว่าขั้นเจ็ดดาว

ลัทธิผีดิบเซียนเชี่ยวชาญในด้านศพและยาพิษ ดังนั้นวรยุทธ์ของพวกเขาจึงไม่ค่อยสูง แต่เมื่อใครเข้าปะทะกับลัทธิผีดิบเซียนแม้ว่าพวกเขาจะมีวรยุทธ์และกําลังฝีมือขั้นสูงกว่า ก็จะพบว่าเอาชัยลัทธิผีดิบเซียนไม่ง่ายเลย

แต่กระนั้นยอดฝีมือลัทธิผีดิบเซียนผู้นี้ก็กลับมาตกตายจากการต้องยาพิษ และผู้ที่วางยาเขาก็น่าจะเป็นน้องชายคนนี้ที่ดูมีสีหน้าสัตย์ซื่อไม่เดียงสา

ในตอนนั้น น้องชายผู้นี้ก็หลอกลวงนางด้วย ทําให้นางเขียนใบผ่านทางให้เขาเพื่อส่งเขาไปยังเมืองหลวง

ในห้วงคิดของอวี่เหยียนฉู่อวี้ เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ได้ติดสอยห้อยตามคนมากเล่ห์ร้ายกาจอย่างนี้ออกไปแสวงหาประสบการณ์ พวกเขาย่อมต้องปลดภัยเสียยิ่งกว่าติดตามครูผู้สอนเสียอีก ดังนั้นนางจึงกล่าวว่าเป็นโชควาสนาของเฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ

เมื่อพวกเขาไปถึงฝั่งตรงข้ามแม่นํ้า ก็เห็นว่าสิ่งก่อสร้างในเมืองฝั่งตรงข้ามนี้พังภินท์ไปหมด ไม่รู้ว่าทับผู้คนตายไปตั้งเท่าไร

อวี่เหยียนฉู่อวี้นํากองทัพเข้าไปในเมืองแล้วกล่าว “เมื่อครู่ที่ข้ากล่าวว่านี่เป็นเพียงยอดภูเขานํ้าแข็ง นั่นยังมีเหตุผลอื่นอีก ดูนี่สิ กําราบชนบทมฤคานั้นง่ายดายราวกับเดินเล่นชมสวน เราบุกเข้าไปยึดครองพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้สึกหรอกหรือว่ากองทัพกบฏนั้นดูเหมือนจะอ่อนแอเกินไปหน่อย”

ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อย “ล่อลวงศัตรูให้ถลําลึก?”

“นี่ไม่ใช่เพียงการล่อลวงศัตรูให้ถลําลึก พวกจิ้งจอกเฒ่าทั้งหลายยังไม่ได้ลงมือเลยด้วยซํ้า”

สายตาของอวี่เหยียนฉู่อวี้วูบไหว “3 ปีศาจเฒ่าที่ทําให้ราชครูบาดเจ็บยังไม่ปรากฏตัว เหล่าปีศาจเฒ่าจากผู้คนรุ่นเก่าก่อนนั้นอาจจะมิได้มีเพียงแค่พวกเขา 3 คน ยังมีเจ้าวังพรากกิเลสซุ่ยตี้อี้ เจ้าปราสาทแห่งปราสาท 3 มหัศจรรย์ ขุนนางชั้นสูงที่ก่อกบฏ ราชามังกรแห่งสํานักขี่มังกร เช่นเดียวกับจอมยุทธ์คน อื่นๆ ระดับจ้าวลัทธิ และพวกเขาเหล่านี้ยังไม่มีใครโผล่มาสักคนเดียว ทั้งเจ้าสํานักใหญ่และน้อยล้วนก็แต่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง ยิ่งไปกว่านั้น”

นางกล่าวด้วยเสียงตํ่า “ใครจะรู้ล่ะว่ายังมีเทพเจ้าที่เหลือรอดจากผู้คนรุ่นเก่าก่อนหรือไม่”

ฉินมู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนโลหิตในกายเย็นเยียบ

อวี่เหยียนฉู่อวี้ดูเหมือนจะรู้อะไรหลายๆ สิ่งเกี่ยวกับผู้คนรุ่นเก่าก่อน แต่นางก็ไม่คุ้ยออกมาลึกไปกว่านี้ “พวกเจ้าวางใจได้ ปีศาจเฒ่าเหล่านั้นไม่ลงมือกับชนรุ่นหลังแบบพวกเจ้าง่ายๆ เป้าหมายของพวกเขาคือราชครูและขุนนางชั้นหนึ่งแห่งสภาราชสํานัก ชนบทมฤคาถูกยึดครองโดยสํานักที่ใหญ่กว่าลัทธิผีดิบเซียนไม่มาก อันเรียกว่าสํานักเก้าภูตผี และบัดนี้เมื่อกองกําลังในชนบทมฤคาถูกปราบปรามแล้ว และเหลือเพียงแต่ซากทัพของสํานักเก้าภูติผีที่หลบหนีไปได้ ข้าจะให้ภารกิจง่ายๆ กับพวกเจ้า คือตามกําจัดซากทัพเหล่านั้นให้หมด”

สายตาของนางเป็นประกายกล้าเมื่อมองไปยังฉินมู่และคนอื่นๆ “สํานักเก้าภูตผีนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องปลอมเป็นเทพแปลงเป็นผี ว่ากันว่าพวกมันสามารถอัญเชิญฤทธานุภาพของสิ่งเหนือธรรมชาติมาช่วยสู้รบได้ ดังนั้นพวกเจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี เมื่อบัณฑิตคนอื่นๆ ตามมาสมทบที่นี่ พวกเจ้าก็จะต้องรุกเข้าไปและกําจัดพวกมัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version