ตอนที่ 183 การจู่โจมฉับพลันจากแดนใต้พิภพ
“เชี่ยวชาญเรื่องแปลงเป็นเทพปลอมเป็นผี? สามารถอัญเชิญฤทธานุภาพของสิ่งเหนือธรรมชาติลงมาช่วยสู้รบ?”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และพลันนึกถึงนําทางวิญญาณ และอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน เวทมนตร์ 2 อันนี้เป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งเขาพบม้วนคัมภีร์ของมันที่ชั้นแรกของเรือนบันทึกสวรรค์
อักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนนั้นมาจากสํานักมหาบรรพต ส่วนนําทางวิญญาณมาจากสํานักเก้าภูตผี
เวทมนตร์ทั้ง 2 ถูกจัดไว้ในชั้นแรกของเรือนบันทึกสวรรค์ เพราะว่ามันมีน้อยคนนักที่สามารถฝึกปรือเวทมนตร์อันผิดแผกจากเวทมนตร์ทั่วไปนี้ได้ พวกมันเป็นเวทมนตร์ประเภทวิญญาณ แต่ก็ไม่มีพลังโจมตีร้ายแรงอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนนั้นอวดอ้างว่าสามารถเรียกเทพผีมาช่วงใช้ได้ แต่เมื่อฉินมู่ลองสองสามครั้ง มันก็ไม่ต่างอะไรมากมายจากวิชาห้าผีเคลื่อนย้ายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต เพียงแต่ซับซ้อนกว่ามาก
เมื่อฉินมู่ค้นพบเวทมนตร์ 2 ตัวนี้ เขาก็ได้ขอให้คณบดีป้าซานชี้แนะอธิบาย แต่ทว่าคณบดีป้าซานนั้นก็ดูเบา 2 เวทมนตร์อันไม่เป็นที่นิยม และไม่เคยศึกษามันมาก่อน เขาจึงโยนกลับไปให้ ฉินมู่ตรึกตรองทําความเข้าใจด้วยตนเอง
อักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนอาจจะคล้ายคลึงกับวิชาห้าผีเคลื่อนย้าย แต่อักษรรูนของมันนั้นซับซ้อนกว่ามากมายอย่างเห็นได้ชัด และจําต้องหลอมสร้างยันต์สมบัติขึ้นมาใช้ประกอบเวทมนตร์ด้วย
ยันต์สมบัติดังกล่าวก็ซับซ้อนกว่าอันที่ฉินมู่เคยเห็นในวังทองโหรวหลัน มันเป็นทรงกลมที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงและมีด้านพื้นผิวอันแปลกประหลาดทั้งหมด 1,024 ด้านแต่ละด้านก็มีอักษรรูนอันซับซ้อนอย่างยิ่ง
แต่ยันต์สมบัติของวังทองโหรวหลันนั้นมีเพียงแค่ 14 ด้าน นี่เพราะฉินมู่เห็นความซับซ้อนของอักษรรูนในอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน เขาจึงคิดว่าทักษะเทวะนี้จะต้องแข็งแกร่งสุดๆ แต่เขาไม่นึกเลยว่าพลานุภาพของทักษะเทวะนี้จะเพียงแค่พอๆ กับวิชาห้าผีเคลื่อนย้าย
เขาตงิดว่าสํานักมหาบรรพตได้ปิดบังซ่อนวิชาแต่ทว่าสํานักนี้ได้หายสาบสูญไปจากโลกแล้วและไม่มีอยู่อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ฉินมู่ก็ได้ฝึกปรือนําทางวิญญาณจากสํานักเก้าภูตผี แต่เขายังมิได้ลองใช้มันดูว่าเขาจะสามารถนําทางวิญญาณคนตายกลับมาจากแดนใต้พิภพได้หรือไม่
เวทมนตร์ทั้ง 2 มีอักษรรูนจํานวนหนึ่งที่คล้ายคลึงกันและทั้งคู่ก็เป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณฉินมู่นํายันต์กระดาษเหลืองและผงชาดออกมา เขาใช้เวลา 2 วันในการสร้างยันต์สมบัติสําหรับอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน ก่อนที่จะใช้เวลาอีก 1 วันเต็มขีดเขียนอักษรรูนที่จําเป็นต้องใช้ในเวทมนตร์นำทางวิญญาณเช่นกันและ เปรียบเทียบอักษรรูนทั้ง 2 ชุดเข้าด้วยกัน
เมื่อเปรียบเทียบดูทั้งคู่ ฉินมู่ก็สามารถยืนยันได้ในที่สุดว่าทั้ง 2 เวทมนตร์นี้มีจุดผิดพลาดอยู่ มีอักษรรูนหลายตัวใน 2 เวทมนตร์ที่ถูกจงใจเขียนไว้อย่างผิดพลาด
สํานักเหล่านั้นไม่เต็มใจมอบเวทมนตร์ของสํานักตนเองแก่สภาราชสํานัก ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจเขียนอักษรรูนบางตัวให้ผิดพลาด ลดทอนอํานาจของเวทมนตร์ลงอย่างมหาศาล หรือแม้กระทั่งทําให้มันไม่สามารถขับเคลื่อนออกมาได้
อักษรรูนทั้งหลายในอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนนั้นจําต้องใช้อักษรรูนแบบต่างๆ จํานวนมากอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีจุดผิดพลาดหลายสิบแห่ง แต่ก็ยังมีอักษรรูนที่ถูกต้องมากกว่า 1,000 อักษร
นี่คือขุมคลังมหาสมบัติแห่งความรู้
ด้วยความรู้นี้ ฉินมู่สามารถแก้ไขอักษรรูนที่ผิดพลาดในนําทางวิญญาณ
นําทางวิญญาณจําต้องใช้อักษรรูนมากกว่า 600 ชนิดมาจัดเรียงกันและฉินมู่ซ่อมแซมอักษรรูนอันผิดพลาดที่เขาตรวจพบเมื่อเขาพบว่าไม่มีข้อผิดพลาดอีกต่อไป เขาก็รีบเรียกทหารนายหนึ่งมาแล้วถาม “ในเมืองนี้มีซากศพอยู่ไหม ข้าจะทดสอบเวทมนตร์เสียหน่อย”
ทหารนายนั้นกล่าว “ใต้เท้าต้องการซากศพของศิษย์สํานักเก้าภูตผีมาทดสอบเวทมนตร์อย่างนั้นหรือ ซากศพของศิษย์สํานักเก้าภูตผีล้วนแต่ถูกกลบฝังเอาไว้ และหากท่านต้องการใช้มันก็จะต้องขุดพวกมันขึ้นมา”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนและถามอย่างร้อนใจ “พวกเขาถูกกลบฝังไว้ที่ใด?”
ทหารผู้นั้นกล่าว “พวกเรากลบฝังไว้ในสุสานศพไร้ญาติข้างๆ ชนบทเขื่อนแม่นํ้า และส่วนอื่นๆ ก็ถูกกลบฝังไว้ในภูเขามฤคาข้างๆ ชนบทมฤคา พวกเขากลบฝังศพที่เพิ่งทอดแหขึ้นมาจากนํ้าเมื่อหลายวันก่อนไว้ในที่ใกล้ๆ ฝั่งนํ้า”
ฉินมู่ใจเต้นตึกตักและรีบกล่าว “ผู้ว่าการอยู่ที่ไหน รีบไปรายงานนางให้นางสั่งกองทัพเฝ้าระวังและส่งทหารออกไปดูที่สุสานศพไร้ญาติกับภูเขามฤคาเพื่อเผาซากศพพวกนั้นเสีย!”
ทหารนายนั้นไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคําสั่ง แต่เขาก็ยังรีบวิ่งออกไประหว่างที่ตะโกน “ผู้ว่าการไปที่ชนบทเขื่อนแม่นํ้าอีกฝั่งแม่นํ้าหย่งเพื่อปลอบขวัญประชาชน ข้าจะรีบไปที่นั่นทันทีเพื่อรายงานนาง!”
“พี่สาวฉู่อวี้อยู่ที่ชนบทเขื่อนแม่นํ้า? แย่ล่ะ!” ฉินมู่เรียกทหารอีกคนมาและฝากไปบอกทหารเวรยามให้
เตรียมพร้อมระวังอย่างเต็มที่ ก่อนจะรีบรุดไปตามเฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ เพื่อบอกพวกเขาทันที “สํานักเก้าภูตผีอาจจะย้อนกลับมาอีกครั้ง รีบเตรียมตัวโดยด่วน!”
เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ ต่างก็งงงวยจนเกินงงงัน หลวงจีนอวิ๋นฉื้อถาม “คนของสํานักเก้าภูตผีถูกกวาดล้างจนเกือบหมดแล้ว และเหลือเศษซากจํานวนหนึ่งที่หนีตายไปทั่วสารทิศ ทําไมเราต้องคอยระวังป้องกันผู้คนจํานวนแค่นั้นด้วย”
“พวกเขาแกล้งตาย!”
ขณะที่ฉินมู่กล่าวนั่นเอง ก็มีเสียงร้องเพลงลอยมาจากผิวนํ้า เสียงร้องเพลงนี้ฟังดูเก่าแก่โบราณและเลือนลางราวกับว่าเป็นเสียงของเทวะแห่งแดนใต้พิภพเรียกวิญญาณคนตายกลับมา มันให้ความรู้สึกแก่ผู้คนราวกับว่ามีเทวาอันขมุกขมัวและน่าเกรงขาม กําลังเปิดประตูสู่อีกโลกมิติ ส่งวิญญาณของคนตายกลับมาจากแดนใต้พิภพ!
สีหน้าฉินมู่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขารีบสะกิดเท้าพุ่งปราดไป ท่าเท้าเขาว่องไวราวกับเหินบินทะลวงอากาศ และไปหยุดยั้งอยู่ที่ประตูทิศเหนือของเมืองปราการ ประตูทิศเหนือของเมืองโล่งว่าง มีทหารไม่กี่คนลาดตระเวนอยู่ กองทัพมหึมาของมณฑลหลี่โจวเพิ่งผ่านศึกใหญ่ ดังนั้นกองกําลังส่วนใหญ่กําลังฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บอยู่
ฉินมู่มองตรงไปยังผิวแม่นํ้าและเห็นนักพรตเต๋าสวมหมวกฟาง ยืนอยู่บนเสากระโดงเรือในกลางแม่นํ้าหย่ง เขาผู้นั้นกําลังร่ายเวทมนตร์และขับลํานําอยู่บนแม่นํ้า ปลดปล่อยอักษรรูนขนาดใหญ่เรืองแสงสีเขียวเป็นเส้นสายจํานวนมากราวกับว่ามีอสรพิษเขียวเลื้อยบิดม้วนไปมาบนท้องฟ้า
อวิ๋นฉื้อและคนอื่นๆ วิ่งตามมายืนข้างๆ ฉินมู่เพื่อมองไปยังผิวแม่นํ้า เฉินหว่านอวิ๋นถาม “เกิดอะไรขึ้น…”
ไม่ทันจะขาดคํา เขาก็จ้องมองอ้าปากค้างเมื่อเห็นหมอกดําพวยพุ่งคืบคลานมาจากผิวนํ้า พื้นที่ที่หมอกทมิฬนี้ครอบคลุมเริ่มขยายกว้างขึ้นและกว้างขึ้น ท่ามกลางความมืดมิดของหมอกจากต่างโลก ประตูสูงเยี่ยมเทียมฟ้าก็สามารถเห็นได้ที่ใจกลางแม่นํ้าลอยอยู่เหนือผิวนํ้า!
ในชั่วพริบตา ท้องฟ้ากลับกลายเป็นมืดมิด ฉินมู่มองตรงไปยังฝั่งนํ้าตรงข้ามและเห็นเรือหลายลําที่บรรทุกเหล่าบัณฑิตข้ามแม่นํ้ามาแต่รางๆ จากนั้นเขาก็เห็นความมืดมิดเข้าคลี่คลุมเรือของเหล่าบัณฑิต
มีเรือเหาะของบัณฑิตหลายลําที่แล่นมาทางอากาศเหนือแม่นํ้าหย่ง แต่พวกมันก็ถูกความมืดเข้าคลี่คลุมเช่นกัน เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวและเสียงร้องแตกตื่นดังมาจากเรือเหล่านั้น ทําให้พวกเขารู้ชัดว่าผู้คนบนเรือต้องประสบเหตุร้ายไม่คาดฝัน
เขาหันหน้าไปมองทางภูเขามฤคาที่ฝั่งขวาของชนบทเขื่อนแม่นํ้า ชนบทเขื่อนแม่นํ้าพลันแตกกระเจิงและมีเงาร่างเล็กๆ จํานวนมากทะยานขึ้นไปบนอากาศและมุ่งหน้าตรงมาทางนี้
ทหารหลายคนที่ป้องกันประตูเมืองทิศตะวันตกของชนบทมฤคาไม่ทันได้ตั้งตัวและถูกตรึงให้ยืนแน่นิ่งด้วยยันต์กระดาษเหลืองที่ถูกซัดมาจากเงาร่างอันทะยานแหวกอากาศ สังหารทหารเหล่านั้นตายคาที่!
ตูม!
ประตูเมืองทิศตะวันตกถูกเป่ากระเจิง และเหล่า ‘ซากศพ’ ก็ทะลวงเข้ามาภายในเมือง สังหารฆ่าฟันทหารพิทักษ์เมืองซึ่งยังมิได้ตั้งขบวน!
ศพเหล่านั้นเป็นศพจริงๆ แต่เป็นศพที่มีวิญญาณคนตายสิงสู่ นักพรตเต๋าที่แม่นํ้าร่ายเวทมนตร์นำทางวิญญาณ เพื่อเรียกวิญญาณของคนตายทั้งหมดในสํานักเก้าภูตผีกลับมา ให้วิญญาณพวกเขากลับเข้าร่างและจู่โจมทหารคุ้มกันชนบทมฤคาโดยฉับพลัน
ซากศพเหล่านั้นขาดกะรุ่งกะริ่ง มีแม้กระทั่งซากร่างที่ศีรษะกับคอขาดจากกันเหลือเศษหนังบางๆ เชื่อมต่อเท่านั้นและบางศพก็มีรูโบ๋ที่ใจกลางหน้าอก บางศพก็ไม่มีแขนขา ทําให้พวกมันล้วนแต่ดู สยดสยองชั่วร้าย
พวกมันล้วนแต่ตายไปแล้ว แต่วิญญาณของพวกมันถูกลากกลับมาจากแดนใต้พิภพเพื่อคืนกลับมายังร่างอีกครั้ง ดังนั้นกําลังฝีมือของพวกมันจึงยังเหมือนเดิมกับเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่
แม้แต่เฉินหว่านอวิ๋นก็ทําอะไรไม่ถูกจากภาพที่เห็น เขายืนทื่ออยู่บนกําแพงเมืองไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร
ฉินมู่มองไปทางชนบทเขื่อนแม่นํ้าที่ฝั่งตรงกันข้าม อันถูกคลี่คลุมไปด้วยหมอกดํา มองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากได้ยินเสียงระเบิดของทักษะเทวะดังมาเป็นระยะ
“ละทิ้งเมือง พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางประตูตะวันออก!” ฉินมู่ตัดสินใจ
เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ สะดุ้งกลับคืนสติ และเห็นฉินมู่วิ่งตะบึงไปบนกําแพงเมืองพลางตะโกนเรียกกิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อให้รีบกลับมาสมทบ ในเมืองชนบทมฤคาตอนนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล เพราะว่าทุกคนล้วนแต่ไม่คาดฝันว่าจะมีการจู่โจมและถูกสังหารโดย ‘ซากศพ’ อันถูกสํานักเก้าภูตผีชุบชีวิตขึ้นมา
กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นคุ้นชินกับยุทธวิธีการโจมตีประสานกันพร้อมๆ กัน โดยฝึกปรือวิชากระบี่และวิชาเวทมนตร์เดียวกัน ทหารจํานวน 10 นายขึ้นไปเมื่อรวมกลุ่มกันและร่วมมืออย่างเป็นใจเดียวก็จะสามารถสังหารศัตรูที่มีขั้นวรยุทธ์สูงกว่าได้
ยุทธวิธีนี้ย่อมใช้งานได้ดีอย่างยิ่งในศึกสงครามขนาดใหญ่ ซึ่งกล่าวได้ว่าสามารถใช้สังหารศัตรูอย่างง่ายดายราวกับทุบท่อนไม้ผุ ทําให้สํานักต่างๆ ที่กล้าขวางทางประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ
แต่ทว่าการต่อสู้ในเมืองชนบทมฤคาบัดนี้ ก็แสดงถึงจุดอ่อนของยุทธวิธีดังกล่าว
‘ซากศพ’ ที่ถูกชุบชีวิตของสํานักเก้าภูตผีเข่นฆ่าตะลุยเข้ามาในเมือง โจมตีทหารทั้งหลายจนจับกลุ่มกันไม่ติด ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งกระบวนต่อสู้ เมื่อต้องต่อสู้ตามลําพังและกําลังฝีมือของทหารแต่ละคนล้วนแต่ตํ่าต้อยกว่าศิษย์สํานัก พวกเขาจึงถูกฆ่าฟันจนย่อยยับอยู่ฝ่ายเดียว!
ท้องฟ้ายิ่งมายิ่งมืดมิด ศิษย์สํานักเก้าภูตผีที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมานั้นก็ถือความมืดไม่ต่างอะไรกับกลางวัน พวกเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจน ทั้งยังไม่กลัวตาย
ก็พวกเขาได้กลายเป็นซากศพไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่รับรู้ความเจ็บปวดใดๆ และไม่มีความจําเป็นต้องป้องกันตนเองจากกระบวนท่าของศัตรู พวกเขาเพียงแค่ขยํ้าเข้าไปแล้วฉีกทึ้งสังหารผู้คนได้โดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น สํานักเก้าภูตผีในฐานะสํานักหนึ่งๆ ย่อมไม่สิ้นไร้ยอดฝีมือ แม้แต่ยอดยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์และขั้นเป็นตายก็ถูก ‘ชุบชีวิต’
การชุบชีวิตเช่นนี้มิใช่การชุบให้กลับมามีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง และเป็นเพียงแต่การใช้เวทมนตร์เพื่อเรียกวิญญาณคนตายกลับเข้าร่าง วิญญาณคนตายเหล่านั้นก็ยังต้องกลับไปที่แดนใต้พิภพ แต่ในช่วงเวลาที่พวกเขายังอยู่บนโลกคนเป็น ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างกองกําลังคุ้มกันทั้งหมดในเมืองชนบทมฤคา
“ทหารคุ้มกันชนบทมฤคาไม่รอดแล้ว”
ฉินมู่ใจตกวูบ ต่อเมื่อเขาเห็นกิเลนมังกรกับฮู่หลิงเอ๋อวิ่งหน้าตั้งเข้ามา จึงค่อยระบายลมหายใจโล่งอก ทุกคนรีบกระโดดออกจากประตูเมืองตะวันออกและวิ่งหนีไปจากเมืองท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ข้างหลังพวกเขา ประตูตะวันออกก็พลันพังทลายลงมา และถูกทําลายเป็นชิ้นๆ จากยอดยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์
ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นแม่ทัพขั้นชาวสวรรค์ถูกฉีกทึ้งซากสังขารโดยยอดยุทธ์หลายคนของสํานักเก้าภูตผีที่ถูกชุบชีวิต!
และยังมีนักพรตหลายคนที่ใช้ยันต์กระดาษเหลืองซัดไปบนฟ้า เพื่อเดินอยู่บนอากาศ ที่ทําให้ฉินมู่ยิ่งใจเสียเข้าไปใหญ่ นักพรตเหล่านี้คือซากทัพของลัทธิผีดิบเซียน ด้วยการร่วมมือกันของสํานักเก้าภูตผีและลัทธิผีดิบเซียน ตอนนี้คงเหลือทหารไม่กี่คนในเมือง
“ดุษฎีบัณฑิตฉิน พวกเราควรข้ามแม่นํ้ากลับไปที่ชนบทเขื่อนแม่นํ้า!” เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวอย่างเคร่งเครียด
ฉินมู่ส่ายหน้า “ในแม่นํ้ามีซากศพจํานวนมากจมจ่อมซ่อนอยู่ เรากลับไปไม่ได้”
ขณะที่เขากล่าวนั่นเอง ก็มีเสียงจ๋อมๆ ของวัตถุในนํ้าดังมาจากข้างแม่นํ้า ท่ามกลางหมอกสีดําดิบ ‘ซากศพ’ ที่ฟื้นคืนชีพมาก็ก้าวเดินขึ้นจากก้นแม่นํ้ามายังชายฝั่งด้วยนํ้าหยดติ๋งๆ จากทั่วทั้งร่าง เมื่อซากศพเหล่านั้นเห็นพวกฉินมู่ พวกมันก็รีบวิ่งรี่ตามมาทันที
“พวกเราคงได้แต่ต้องมุ่งหน้าไปยังแดนใต้ และหาหนทางย้อนกลับไปทางทิศเหนือ”
ฉินมู่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนและเขายกมือตบที่ข้างเอว แสงกระบี่หนึ่งพุ่งวาบจากถุงเต๋าตี้และแปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่สะบัด รังสีกระบี่แผ่พุ่งออกไป บั่นศีรษะของศิษย์สํานักเก้าภูตผีเหล่านั้น
ศิษย์สํานักเก้าภูตผีทั้งหลายกลายเป็นผีไม่มีหัว พวกเขารีบก้มลงเก็บศีรษะของตนเองขึ้นมา แล้วกอดไว้ใต้รักแร้ จากนั้นวิ่งตามมาต่อ
หัวผีใต้รักแร้ของซากศพพลันอ้าปากและหวีดร้องด้วยเสียงแสบหู “มาเร็วเข้า มีปลาลอดจากแหไปได้! มาเร็วเข้า!”
แม้ว่าอวิ๋นฉื้อ เยว่ชิงหง และเฉินหว่านอวิ๋นจะมีประสบการณ์กว้างขวางและเห็นอะไรมาก็มาก แต่เขาไม่เคยเห็นเวทมนตร์ที่ชั่วร้ายน่าสยองเช่นนี้มาก่อน ในทางตรงข้าม ซีอวิ๋นเซี่ยงซึ่งปกติแล้วทั้งขี้อายและขี้ขลาดกลับดูสงบนิ่งไม่แตกตื่น นางดูไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่กางนิ้วทั้ง 5 แล้วรวบกําเป็นหมัด แสงกระบี่ของกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์พลันแปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่เกลียว กระบี่หมุนหวือ และหั่นเฉือนศิษย์สํานักเก้าภูตผีให้กลายเป็นเศษเนื้อ พลางกล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึม “รีบเดินทางเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นยอดฝีมือสํานักเก้าภูตผีจะตามมาทัน”
พวกเขาพลันรีบเร่งฝีเท้าตะลุยไปในความมืด อวิ๋นฉื้อมองไปยังเพลิงไฟที่ไหม้โหมชนบทมฤคาและรู้สึกหวาดผวาแกมกังวลในจิตใจ “ไปแดนใต้อย่างนั้นหรือ นั่นมันรังศัตรู…”