Skip to content

Tales of Herding Gods 184

ตอนที่ 184 ผีย้ายเทพเคลื่อน

หมอกดําหนาขึ้นทุกทีๆ ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแท้ๆ แต่กลับดูเหมือนกลางคืนอันมืดมิด ฉินมู่และพรรคพวกยังคงพอมองเห็นทิศทางอยู่บ้าง เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็ยังพอเห็นดวงตะวันแต่ดวงตะวันนั้นไม่มีแสงเจิดจ้าแก่ตา มันดูเหมือนวงกลมเล็กๆ อันมีรัศมีเลือนลางเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์

เมื่อมองไปรอบๆ ตัว พวกเขาก็เห็นขุนเขาเขียวแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาดําขมุกขมัว

เสียงอึงอลดังมาจากข้างหลัง อันได้ยินเสียงตะโกนแว่วมา “มีพวกที่หนีไปได้ พวกมันเป็นชาย 3 หญิง 3 และสิงโตตัวใหญ่… อย่าเพิ่งไป หยิบหัวข้าไปด้วย! รีบกลับมาเร็วเข้า”

ฉินมู่ใจวูบวาบเล็กน้อยและหันไปมองเฉินหว่านอวิ๋น เฉินหว่านอวิ๋นเข้าใจเจตนาของเขาและควบคุมกระบี่บินของตนพุ่งออกจากฝักไปขุดหลุมบนดินข้างหน้าเพื่อให้ตนสามารถมุดเข้าไปซ่อนได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องพิลึกพิกลอย่างศพคืนชีพ ดังนั้นตอนแรกเขาจึงทําอะไรไม่ถูก แต่บัดนี้สติเขากลับคืน มาแล้ว

ฉินมู่โบกแขนเสื้อและกวาดดิน 2 ฝั่งกลบฝังร่างเฉินหว่านอวิ๋นไว้ใต้พื้น

คนที่เหลือเดินต่อไป และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดมาจากข้างหลัง

“มีคนซ่อนอยู่ใต้ดินซุ่มโจมตีพวกเรา!”

“หัวของข้าหายไปแล้ว ใครเห็นหัวข้าบ้าง”

“หุบปากไปไอ้งั่ง! ถ้าหัวเจ้าหาย แล้วเจ้าจะพูดได้อย่างไร”

“อ้าว ที่แท้ก็อย่างนี้ มิน่าข้าถึงหามันไม่จอตั้งนาน”

“ศิษย์พี่คนไหนเห็นขาข้าบ้าง ขอบคุณมากที่ช่วยหาให้”

ฉินมู่ให้กิเลนมังกรหยุดรอ และเฉินหว่านอวิ๋นก็ตามมาทัน “คงไม่มีคนไล่ล่าพวกเราอีกต่อไปล่ะ รีบไปกันเถอะ”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องเพลงดังแว่วมาจากมวลหมอกเพลงนี้ยิ่งประหลาดพิลึกกว่าเพลงที่มาจากกลางแม่นํ้า เพลงนี้ไม่มีท่วงทํานองและเสียงร้องก็ชืดชาคล้ายคําสวดท่อง

ฉินมู่ให้พวกเขาหยุดยั้งครู่หนึ่ง ส่วนเขาลอบเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นผู้สวดลํานํานี้หลายคนล้อมวงร้องลํานําอยู่

พวกเขาคือ ‘ซากศพ’ หลายตนที่กําลังร้องเพลงไร้ทํานองและร่ายเวทมนตร์ ช่วงใช้นําทางวิญญาณในป่ามืด ร่างของพวกเขาขาดกะรุ่งกะริ่งทําให้ยิ่งดูพิลึกกึกกือท่ามกลางแมกไม้อันมืดสลัว

“คนตายร่ายเวทมนตร์? ”

ฉินมู่ผงะไปเล็กน้อย เขาพลันนึกถึงทักษะเทวะของสํานักเก้าภูตผีอันดูเหมือนจะทลายเขตแดนของคนเป็นและคนตาย

หากว่าทักษะเทวะนี้ถูกศึกษาวิจัยจนถึงที่สุด มันจะสามารถทลายเขตแดนของความเป็นและความตาย อันนําไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ไหมนะ

ทักษะเทวะของสํานักเก้าภูตผีนั้นยังคงห่างไกลกับคําว่าชีวิตนิรันดร์ พวกเขาทําได้แค่เรียกวิญญาณคนตายกลับมาจากแดนใต้พิภพ เพื่อให้วิญญาณนั้นสิงสู่ในร่างเดิมเพียงชั่วระยะหนึ่ง

พวกเขาจําเป็นต้องร่ายเวทมนตร์นําทางวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หากว่าหยุดยั้งลงเมื่อใดวิญญาณของพวกเขาก็คงจะถูกลากกลับไปยังแดนใต้พิภพ และก็จะตายไปโดยสิ้นเชิง

มิน่าล่ะ ซากศพเหล่านั้นถึงต้องร่ายนำทางวิญญาณไปด้วย

ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ พวกเขาจะต้องขับเคลื่อนนำทางวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่เคลื่อนที่ไป คนตายพวกนี้วรยุทธ์ไม่เบาเลย ดังนั้นหลบเลี่ยงพวกเขาไว้น่าจะดีที่สุด

เขาผละจากตรงนั้นไป และย่องกลับมา “พวกเราเปลี่ยนทิศทางกัน”

พวกเขาเคลื่อนที่ไปได้ไม่ไกลก็พบศิษย์สํานักเก้าภูตผีที่กําลังร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง นอกจากศิษย์สํานักเก้าภูตผีที่เป็นผีไปแล้ว ก็ยังมีศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนตัวเป็นๆ ที่กําลังควบคุมผีดิบให้ล้อมรอบ

พวกทหารที่หลบหนีไปจากเมือง ผีดิบบินเหล่านั้นบินไปบนท้องฟ้า โดยวิ่งเหยียบไปบนยันต์กระดาษเหลืองใต้เท้าของพวกมัน

ฉินมู่ขมวดคิ้วและเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง “พวกเราไปที่ภูเขามฤคากันเถอะ ศพของพวกสํานักเก้าภูตผีถูกกลบฝังที่นั่นและพวกเขาบุกโจมตีเมืองจากจุดนั้น ทําให้ขณะนี้ภูเขามฤคาต้องว่างเปล่าแล้วแน่ๆ!”

ทุกคนกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าศิษย์สํานักเก้าภูตผีและลัทธิผีดิบเซียนกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งในเขตหมอกดํานี้ ในเมื่อลัทธิผีดิบเซียนถูกอวี่เหยียนฉู่อวี้ทําลายล้าง เขาก็คะเนว่าซากศพของศิษย์ลัทธิคงถูกกลบฝังไว้ใกล้ๆ นี่ ทําให้สํานักเก้าภูตผีสามารถชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาได้เช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าสํานักเก้าภูตผีเตรียมการมาเป็นอย่างดี จู่โจมอวี่เหยียนฉู่อวี้จากแง่มุมอันไม่คาดฝัน หากว่าสถานการณ์ยังคงเป็นไปเช่นนี้ หลี่โจวก็คงจะตกอยู่ในอันตราย

ฉินมู่ขบคิดในใจ ผู้ที่ชักใยเรื่องนี้ในสำนักเก้าภูตผีต้องเป็นตัวตนอันอำมหิต เพื่อชัยชนะแล้วเขาถึงกับสังเวยชีวิตของศิษย์สำนักเก้าภูตผีจำนวนมากโดยไมย่หี่ระเลยแม้แต่นิด!

พวกเขามาที่ภูเขามฤคาและพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นจริงๆ หมอกดํามืดนั้นก็จางลงไปเล็กน้อยด้วย

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และคนอื่นๆ ค่อยคลายใจลง ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถข้ามภูเขานี้ไปได้และออกจากบริเวณอันถูกครอบงําโดยหมอกมืด พวกเขาก็จะปลอดภัยไปสักพักหนึ่ง

ทันใดนั้น เสียงท่องสวดอันชืดชาไร้ทํานองก็ดังมาจากภูเขา จิตใจของทุกคนพลันปั่นป่วนหวั่นผวา และต่างก็จ้องมองไปยังฉินมู่

ฉินมู่มุ่นคิ้วเล็กน้อยและกระซิบ “ลํานํานี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ นี่มันไม่ใช่นําทางวิญญาณแต่เป็นเวทมนตร์อีกแบบ”

เยว่ชิงหงและคนอื่นๆ ไม่อาจจับความแตกต่างได้ พวกเขาไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์นําทางวิญญาณของสํานักเก้าภูตผี แต่ฉินมู่นั้นได้ศึกษาทักษะเทวะนี้มาก่อน เขาจึงจับความผิดแผกแตกต่างได้จากเสียงพรํ่าสวด

“พวกเจ้ารอที่นี่ ข้าจะเข้าไปดูเอง!” ฉินมู่กําชับพวกเขาจากนั้นย่องเข้าไปใกล้ที่มาของเสียงอย่าง

เงียบเชียบ เมื่อเขาเข้าใกล้จุดนั้น ฝีเท้าเขาก็ยิ่งเบาหวิว บนแอ่งเขา เบื้องหน้าเขา ฉินมู่เห็นแท่นสังเวยตั้งอยู่และมีนักพรตชายหญิงมากกว่า 10 คนร่ายสวดลํานําอย่างเงียบสงบบนแท่นสังเวยนั้น

แท่นสังเวยดังกล่าวก่อสร้างขึ้นมาจากโครงกระดูกจํานวนมาก ความหนาและความกว้างนั้นเท่ากันอันยาว 12-13 วา ในขณะเดียวกันบนแท่นสังเวยนั้นก็ปูหัวกะโหลกมากมายสร้างเป็นพื้นราบ มีธงขาวปักอยู่ที่สี่มุม เหนือ ใต้ ออก ตก บนธงนั้นขีดเขียนอักษรรูนอันใช้ผงชาดผสมโลหิตแทนหมึก

ที่ใจกลางแท่นสังเวย มีรูปสลักของมารเทวะ 8 แขน รูปสลักนี้ยืนอยู่ด้วยขาเดียวและขาอีกข้างไขว้ไว้ที่น่องของขาแรก ฝ่ามือของทั้ง 8 แขนประกบเข้าด้วยกัน มารเทวะนี้มี 4 หน้า และแต่ละหน้าก็มีตา 3 ดวง

นักพรตหญิงและชายเหล่านี้แต่ละคนขับเคลื่อนยันต์สมบัติของตนแต่ละอันและยันต์สมบัติเหล่านี้ก็ล่องลอยอยู่บนอากาศ ยันต์สมบัติมีผิวสัมผัสหลายด้านและแต่ละด้านก็จารึกอักษรรูนเอาไว้เต็มไปหมด

ด้วยการสวดภาวนาของนักพรตเหล่านี้ อักษรรูนบนยันต์สมบัติก็เปล่งแสงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อักษรรูนที่เปล่งแสงฉายทาบทาลงไปบนเรือนร่างของรูปสลักมารเทวะ และที่ใดที่แสงรูนฉายลงไป ก็จะปรากฏอักษรรูนเรื่อเรืองขึ้นมาบนเนื้อรูปปั้นตรงนั้น

ยันต์สมบัติหมุนไปอย่างต่อเนื่อง และจุดแสงอักษรรูนบนร่างรูปสลักไปที่ละจุด

ในตอนนั้น อักษรรูนมากกว่าครึ่งบนร่างรูปสลักมารเทวะนี้ถูกจุดแสงขึ้นมาแล้ว

“อักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน!”

ฉินมู่สะท้านใจ “เวทมนตร์ของสํานักมหาบรรพต! พวกเขาคือศิษย์สํานักมหาบรรพตที่ถูกทําลายล้างไปแล้ว!”

นักพรตชายหญิงกว่า 10 คนล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ และดูเหมือนว่าพวกเขาได้ขับเคลื่อนอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนมาสักพักหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่สํานักมหาบรรพตถูกกวาดล้าง พวกเขาก็ได้วางแผนที่จะแว้งกลับมาแก้แค้น โดยการร่วมมือกับสํานักเก้าภูตผีและลัทธิผีดิบเซียน!

ฉินมู่ลองคิดคํานวณช่วงเวลาที่สํานักเก้าภูตผีโผล่ขึ้นมาจู่โจมรอบนี้และพบว่าเป็นเวลาอันเหมาะเหม็งกับตอนที่บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพิ่งมาถึงหลี่โจวและชนบทมฤคาพอดี นี่หมายความว่ามีหนอนบ่อนไส้ที่คอยติดตามการเคลื่อนไหวของบัณฑิตมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอย่างใกล้ชิด และรู้เวลาที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่อย่างแม่นยํา

บัณฑิตมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่ออกมาแสวงประสบการณ์ครั้งนี้ล้วนแต่เป็นหัวกะทิในขั้นวรยุทธ์ของตน บัณฑิตเหล่านั้นคือว่าที่ขุนนางข้าราชการแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ซึ่งจะรับช่วงต่อจากเหล่าขุนนางรุ่นเก่าอันมาจากสํานักต่างๆ

ขุนนางในรุ่นนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากผู้คนรุ่นเก่าก่อน ขณะที่บัณฑิตจักรวรรดินับเป็นผู้คนรุ่นใหม่

หากว่าบัณฑิตกลุ่มนี้ถูกกําจัดจนหมดสิ้น ราชครูสันตินิรันดร์ก็จะสูญเสียเสาหลักขับเคลื่อนการปฏิรูปในยุคต่อไป

“การออกมาแสวงประสบการณ์ของบัณฑิตรอบนี้มาจากราชโองการของจักรพรรดิ และผู้ที่รู้ล่วงหน้าก็มีแต่ขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งผู้ซึ่งมีอิทธิพลอํานาจสูงนอกจากกู่ลี่หนวน”

แววตาฉินมู่วูบไหว ท่ามกลางบรรดาขุนนางชั้นหนึ่งผู้ทรงอํานาจ ต้องมีคนทรยศแฝงตัวอยู่อย่างแน่นอน

เขานั้นใคร่ชมดูว่าศิษย์สํานักมหาบรรพตจะอัญเชิญมารเทวะออกมาได้อย่างไร แต่หากว่าเขารอจนกระทั่งมารเทวะถูกอัญเชิญออกมา ก็คงมีแต่ตายกับตาย

ฉินมู่ย่องกลับไปสมทบกับพรรคพวกและบรรยายสิ่งที่เขาเห็นให้เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ได้ทราบ “มีผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมด 13 คนและกําลังฝีมือของพวกเขาร้ายกาจไม่เบา หากว่าพวกเขาเรียกมารเทวะออกมาได้ พวกเราทั้งหมดไม่มีทางหนีรอด พวกเราจะต้องกําจัดพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะอัญเชิญมารเทวะสําเร็จ และทําลายแท่นสังเวยเสีย! ใครกล้าติดตามข้าไปฆ่าฟันพวกนั้นบ้าง”

“สังหารผู้ฝึกวิชาเทวะ?” อวิ๋นฉื้อและเยว่ชิงหงล้วนแตกตื่น “13 คนด้วยหรือ”

ฉินมู่ปรายตามอง “หรือพวกเจ้าไม่กล้า?”

อวิ๋นฉื้อพึมพํา “ข้าก็กลัวอยู่นิดๆ พวกเขาเป็นถึงผู้ฝึกวิชาเทวะแถมมีกันตั้ง 13 คน”

ฉินมู่ตอบไปด้วยเสียงขรึม “หากพวกเราไม่ฆ่าพวกเขา เมื่อพวกเขาเรียกมารเทวะออกมา ไม่เพียงแต่พวกเราจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ แต่ทั้งหลี่โจวก็จะถูกทําลายล้าง!”

เฉินหว่านอวิ๋นขมุบขมิบอย่างลังเลใจแล้วถาม “สํานักมหาบรรพตเป็นสํานักเวทมนตร์ห์รือเปล่า”

ซีอวิ๋นเซี่ยงกระชับกล่องกระบี่บนหลังของนางให้มั่นเหมาะแล้วกล่าว “ข้าได้ยินผู้เฒ่าในตระกูลบอกข้าว่าในสมัยก่อนสํานักมหาบรรพตเป็นสํานักที่เชี่ยวชาญในการฝึกปรือเวทมนตร์เกี่ยวกับวิญญาณ พวกเขาไม่คล่องในเพลงกระบี่หรือวิชาบู๊ เมื่อครั้งนั้นที่ราชครูกวาดล้างสํานักมหาบรรพต เขาได้นํากองกําลังผู้ฝึกวิชาเทวะที่เชี่ยวชาญวิชากระบี่ไปโจมตีสํานักมหาบรรพต ทําลายล้างสํานักนี้จนไม่เหลือทั้งไก่และสุนัข! หลังจากที่สํานักมหาบรรพตสูญสิ้นไป ศิษย์ของสํานักก็ระหกระเหินไปทั่ว และศิษย์เหล่านี้น่าจะ ไม่คล่องแคล่วเวทมนตร์สามัญ ทั้งยังไร้ความสําเร็จในเพลงกระบี่ และวิชาบู๊”

ฉินมู่กล่าว “ราชครูใช้เพลงกระบี่สังหารพวกเขา แต่พวกเราจะไม่ใช้เพลงกระบี่ พวกเราจะใช้วิชาบู๊ หากว่าใช้กระบี่เราไม่มีทางเอาชนะเวทมนตร์ของพวกเขาได้ แต่หากเข้าไปต่อสู้ประชิดตัว พวกเขาจะไม่ทันได้ร่ายเวทมนตร์ ก็จะถูกพวกเราสังหารบั่นศีรษะ! หว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ ชิงหง ข้าเคยเห็นทักษะวิชาบู๊ของพวกเจ้ามา ก่อนและมันไม่อ่อนด้อยเลยแม้แต่น้อย เจ้ามีขวัญกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับพวกนั้นหรือไม่”

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เจ้ากล้า ข้าก็กล้า !”

ฉินมู่มองไปที่ซีอวิ๋นเซี่ยง และซีอวิ๋นเซี่ยงก็ก้มนํ้ากล่าวด้วยนํ้าเสียงขลาดเขลา “อวิ๋นเซี่ยงจะติดตามการนําของดุษฎีบัณฑิตฉินโดยไม่ปริปากบ่น”

ฉินมู่หันไปมองเยว่ชิงหง และดวงตานางลุกวาวเป็นประกาย ดูไม่อาจระงับความตื่นเต้นในใจตน “ข้าไม่ เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ข้าจะไม่ร่วมวงด้วยได้อย่างไรล่ะ ทาสหมาป่า เจ้าก็เตรียมตัวด้วย!”

สายตาของฉินมู่ย้ายมาจ้องจับอวิ๋นฉื้อ และหลวงจีนน้อยผู้นี้ลังเลอยู่ครู่ ก่อนกัดฟันกรอด “ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วผู้ใดจะลงนรก ข้าเอาด้วย!”

ฉินมู่กล่าว “ข้าจะบุกเข้าไปเป็นคนแรก และตะลุยไปยังแท่นสังเวยเพื่อกรุยทางให้พวกเจ้า พวกเจ้าจงติดตามข้ามาและต่อสู้กับพวกมันในระยะประชิด การลงมือของพวกเราต้องรวดเร็วฉับไวที่สุดเท่าที่จะทําได้ ไม่อาจถ่วงเวลาโดยเด็ดขาด! แท่นสังเวยนี้กว้าง 14 วา ยาว 14 วา พวกเจ้าจินตนาการดูว่าในพื้นที่คับแคบเท่านี้จะใช้กระบวนท่าใด และทบทวนฝึกซ้อมในจิตใจหลายๆ รอบ!”

เยว่ชิงหงเองก็ตื่นเต้นจัดขนาดที่ว่ามือทั้ง 2 ข้างของนางสั่นเทิ้ม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ติดตามเจ้านี่ไม่เลวเลยเหมือนกัน การต่อสู้ครั้งแรกก็ตื่นเต้นขนาดนี้แล้ว ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวล่ะ!”

ฉินมู่ย่อตัวลงแล้วย่องไปข้างหน้า เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ติดตามเขาจนไปถึงแอ่งเขา พวกเขาพบว่าอักษรรูนบนรูปสลักมารเทวะนั้นถูกจุดแสงจนเกือบจะทั่วรูปสลัก นักพรตหญิงชายทั้ง 13 นั้นยังคงขับเคลื่อนยันต์สมบัติของตนพลางเดินวกวนเวียนไปรอบๆ แท่นสังเวย เสียงสวดลํานําออกมาจากปากพวกเขาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าเป็นภาษาบูชายัญโบราณ

ฉินมู่ใจโลดเต้นอย่างแรงและข่มระงับความอยากพุ่งเข้าไปทําลายพิธีสังเวย เขาบอกคนอื่นด้วยเสียงเบา “ตรวจตราดูสภาพพื้นที่ให้ดีๆ และเมื่อเสร็จแล้ว พวกเราจึงจะลงมือ หลิงเอ๋อ พากิเลนมังกรไปอีกด้านและส่งเสียงเรียกความสนใจจากพวกเขา”

ฮู่หลิงเอ๋อรีบพวกิเลนมังกรเดินอ้อมแท่นสังเวยไปทางด้านขวา สักครู่หนึ่ง เยว่ชิงหงก็กล่าว “พวกเราตรวจตราพื้นที่สําเร็จแล้ว!”

ฉินมู่โบกมือให้สัญญาณ และฮู่หลิงเอ๋อก็รีบกระโดดออกมาจากใต้พุ่มไม้ทันที ส่วนกิเลนมังกรก็ร้องคํารามข้างหลังนางและกระโจนไล่ราวกับว่ากําลังล่าจิ้งจอกอยู่

นักพรต 13 คนบนแท่นสังเวยตกตะลึง แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นเพียงจิ้งจอกหนึ่งและกิเลนมังกรอีกหนึ่ง นักพรตคนหนึ่งก็ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นสิงโตใหญ่ไล่จับเหยื่อ…”

ไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ เขาก็เห็นรังสีมีดที่พุ่งวาบเข้ามา ฉินมู่กระโจนมาบนแท่นสังเวยแล้วด้วยมีดครบมือ ศีรษะมนุษย์กลิ้งหลุนๆ จากมีดที่เขาเหวี่ยงไป

วิชาบู๊ ทุกเมฆเคลื่อนมีริ้วแสงประกายเงิน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version