Skip to content

Tales of Herding Gods 185

ตอนที่ 185 อัญเชิญมาร

บนแท่นสังเวยพื้นที่ไม่มาก แสงมีดกรีดลงและกรีดขวาง แสงมีดกรีดขวางบั่นหัวนักพรตขณะที่แสงมีดกรีดลงผ่านักพรตหญิงผู้หนึ่งจากบนศีรษะ

นักพรตหญิงผู้นั้นเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ และแม้ว่านางจะไม่เคยฝึกปรือวิชาบู๊มาก่อนแต่นางมีสร้อยทองห้อยจี้มณีที่กลางหน้าผาก แสงเจิดจ้าระเบิดจากมณีเม็ดนั้นและขัดขวางมีดที่ฉินมู่ฟาดฟันมา

ฉินมู่ลากมีดของเขาเฉือนลงล่าง ทําให้หน้าผากของนางมีรอยโลหิต ปราณชีวิตของนางแผ่พุ่งเรียกแส้หางม้าในมืออีกข้างเบ่งบานประดุจบุปผาอันมีกลีบนับพันนับหมื่น เส้นแส้หลายพันเส้นจากแส้หางม้าทิ่มแทงไปยังฉินมู่

กระบวนท่านางเพิ่งปลดปล่อย แต่กลับเห็นรังสีมีดจํานวนมากโถมใส่

ลมฝนราตรีทลายเมือง!

เท้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนให้เขาหลบหลีกเส้นแส้หางม้าที่แทงมาได้ทั้งหมด จากนั้นพุ่งวาบไปเบื้องหลังร่างไร้วิญญาณของนักพรตหญิงที่ยังไม่ทันร่วงกองลงกับพื้น ข้างหลังร่างของนางคือนักพรตชายอีกคน

นักพรตผู้นี้ตั้งสติได้และซัดยันต์กระดาษจากถุงที่สะเอว แต่ทว่าในจังหวะนี้ฉินมู่โยนมีดของเขาทิ้งและแย็บเข้าไปด้วยนิ้วคู่ ปราณชีวิตที่ปลายนิ้วของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่คมมหันต์ และทะลวงทะลุหน้าผากของเขาไป

ข้างหลังฉินมู่ หนึ่งมังกรหนึ่งคชสารผงาดขึ้นสู่ท้องฟ้า มังกรกระหวัดพันรอบร่างอวินฉื้อผู้ซึ่งเหยียบหยัดมาบนคชสาร และกระโจนใส่นักพรตหญิงอีกคน เสียงตูมดังสนั่นออกมาเมื่อเขาฟาดทุบนักพรตหญิงนางนั้นใส่รูปสลักมารเทวะ

นักพรตหญิงกระอักโลหิต รีบขับเคลื่อนปราณชีวิตกระดอนเขาออกไป นางกําลังจะตามไปไล่สังหาร แต่ประกายกระบี่พลันพุ่งวาบเฉือนคอของนาง สร้างเสียงกริ๊งเบาๆ

ปราณชีวิตของนักพรตหญิงผู้นี้หนาแน่นนัก ทําให้นางสามารถใช้ปราณชีวิตป้องกันกระบี่ แต่ทว่าในเสี้ยวพริบตาเฉินหว่านอวิ๋นปรากฏและกุมกําด้ามกระบี่ด้วยพลังทั้งหมดของเขา เขาถึงกับผลักดันนางไปปะทะกับรูปสลักมารเทวะและดึงกระบี่ของเขาออกมาด้วยกําลังแรง สร้างแสงโลหิตฉาดฉาน

ทาสหมาป่าเคลื่อนร่างวูบและกระโจนขึ้นไปบนศีรษะของรูปปั้น มีดเวทมนตร์ที่ 2 มือเขาพลันปรากฏขึ้นและหายวูบวาบอย่างไม่อาจเดาทิศทางได้ เขาฟันลงล่าง และในขณะเดียวกันเยว่ชิงหงที่ยืนอยู่บนบ่าทาสหมาป่าก็เรียกกระบี่คมกล้าจํานวนมากให้พรั่งพรูออกมาจากกล่องกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่เจาะทิ่มแทงไปยังนักพรตข้างล่าง!

นักพรตผู้นั้นคว้าเอาธงขาวที่มุมแท่นสังเวยขึ้นมา และกุมธงนั้นแบบจับย้อน ธงขาวพลันสั่นสะท้านและอักษรรูนบนผืนธงก็เปล่งแสงแล้วพวยพุ่งออกมาราวกับอสรพิษแดงที่เลื้อยพันป้องกันมีดเวทมนตร์ และในขณะนั้นท่วงท่ากระบี่เจาะของเยว่ชิงหงก็เจาะทะลุผืนธงและทะลวงเข้าไปในใจกลางหว่างคิ้วของเขา

พร้อมๆ กันนั้น ซีอวิ๋นเซี่ยงก็สะกิดร่างเคลื่อนวูบเหมือนเงาภูตผี แล้วฟาดตบนักพรตหญิงผู้หนึ่งซํ้าๆ ด้วยมุทราแปลกประหลาด จนนางกระดูกแหลกละเอียดตาย

เฉินหว่านอวิ๋นใจเต้นเมื่อเห็นเช่นนี้ “ศิษย์น้องหญิงซีแอบงําฝีมือนี่นา จริงๆ แล้วพลังวัตรของนางแข็งแกร่งมาก!”

เขากระโจนไปข้างหน้าใส่นักพรตอีกคนและนักพรตคนนั้นก็กระโดดลงจากแท่นสังเวยเพื่อวิ่งหนีไป และซัดยันต์กระดาษเหลืองพุ่งย้อนหลังไปทางแท่นสังเวย

เฉินหว่านอวิ๋นรีบรุดไล่ล่า แต่ยันต์กระดาษเหลืองระเบิดอย่างต่อเนื่อง เป่าเขากระเด็นอย่างไร้ปรานี

ที่อีกด้าน อวิ๋นฉื้อเคลื่อนไปขัดขวางนักพรตผู้นั้นและใช้มุทรา 5 แท่นขวางทางหนีของนักพรต

นักพรตนั้นยิ้มหยันแล้วกางนิ้วทั้ง 5 อสุนีบาตพลันแผ่พุ่งจากใจกลางฝ่ามือและเขย่าวิญญาณอวิ๋นฉื้อ

นักพรตเห็นดังนั้นก็คลายใจและตวาดใส่ “ไอ้พวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นนํ้านมที่ยังฝึกไม่ถึงขั้นหกทิศด้วยซํ้า…”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกแผ่มาจากขั้วหัวใจของเขา และเมื่อเขาก้มมองลงเห็นกระบี่ทะลวงโผล่ปลายจากหน้าอกเขาไม่ทันรู้ตัวสักนิดว่ามีคนเข้ามาประชิดหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

ฉินมู่ดึงกระบี่ออกและนักพรตนี้ก็ควํ่าคู้ตัวลงไปข้างหน้า

“ท่าร่างเยี่ยมยอด!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ล้มควํ่าไปกับพื้นและสิ้นลมหายใจ

ฉินมู่เสียบกระบี่กลับเข้าฝักและเห็นบนแท่นสังเวยนั้น เยว่ชิงหง ทาสหมาป่า และซีอวิ๋นเซี่ยงกําลังเข่นฆ่านักพรตคนอื่นๆ พวกเขาล้อมแท่นสังเวยนั้นไว้และเห็นซากศพเกลื่อนอยู่รอบๆ รูปปั้นมารเทวะ

นักพรตบางคนที่มิได้ล้มไปกองกับพื้นก็ถูกปักคารูปปั้นมารเทวะ บางคนก็ห้อยร่างเสียบอยู่บนธงขาว และบางคนก็ร่างแหลกเละเป็นกองเศษเนื้อ บางคนหัวยุบไปครึ่งจากค้อนเหล็กที่ถูกฟาด พวกเขาล้วนแต่ตกตายด้วยกิริยาต่างๆ กัน

คนอื่นๆ 3 คนเห็นเช่นนั้นก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ซีอวิ๋นเซี่ยงสํารวจตรวจดูซากศพเหล่านั้นด้วยสีหน้ามืดครึ้ม ซากศพเหล่านี้เป็นผีใต้เงื้อมมือฉินมู่ ตายอย่างฉับพลันและอํามหิตโดยมิทันได้ปลดปล่อยทักษะเทวะของตน

พวกเขาล้วนแต่ตกตายภายในกระบวนท่าเดียว นางครุ่นคิดในใจและช้อนตาขึ้นมองฉินมู่

ผู้ฝึกวิชาเทวะ 13 คนแม้ว่ากําลังการต่อสู้จะไม่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกวิชาเทวะก็เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ แม้ว่าใครๆ จะกล่าวว่าหากยอดฝีมือสํานักเวทมนตร์ปล่อยให้ยอดฝีมือสํานักวิชาบู๊เข้าประชิดตัวได้ คนผู้นั้นก็ต้องตายแน่นอน นั่นก็เป็นคําพูดที่กล่าวขยายเกินจริง

หากว่าขั้นวรยุทธ์ต่างกัน วิชาบู๊ก็มิอาจจะทะลวงพลังป้องกันทักษะเทวะของฝ่ายตรงกันข้าม

แม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบที่จู่โจมศัตรูฉับพลันโดยมิให้ตั้งตัว แต่กําลังฝีมือของฉินมู่ที่สําแดงออกมานั้นก็กร้าวแกร่งจนเหลือเชื่อ ความเร็วของเขานั้นก็เกินคําว่าอัศจรรย์

ฉินมู่เขย่ากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของตนและสลัดโลหิตที่ติดบนกระบี่ ส่งกระบี่กลับเข้าฝัก จากนั้นก็กล่าว “ทําความสะอาดสนามรบ และรีบทําลายรูปปั้นมารเทวะ!”

ขณะที่เขากล่าวนั่นเอง ก็มีเสียงระเบิดตูมดังมาจากที่ไกลๆ แสงโลหิตเปล่งเจิดจ้าจากหมอกดําทมิฬ ย้อมให้ทั้งแดนหมอกกลายเป็นสีแดงฉาน

แสงโลหิตนั้นสูงถึง 150 วา และพวกเขาสามารถเห็นมันชัดถนัดตาจากแอ่งเขาที่ยืนกันอยู่

ฤทธานุภาพอันร้ายกาจแผ่พุ่งมาจากโลกมิติอื่นและทุ่มทับใส่ยังจุดที่แสงโลหิตพวยฟ้า

จากนั้นเสียงสายฟ้าคํารามก็ดังกัมปนาทพร้อมกับเส้นอสุนีบาตที่ฟาดใส่พื้นที่รอบๆ ของแสงโลหิต มันเป็นริ้วอสุนีบาตถูกบีบอัดจากอวกาศและห้วงมิติด้วยมหิทธิฤทธิ์อันมหันต์ หากว่าพลังของสิ่งใดแข็งแกร่งเกินจินตนาการ แรงสั่นสะเทือนจากพลานุภาพนั้นก็จะบีบอัดห้วงมิติ และทําให้ห้วงมิติสะท้านสะเทือนไม่เสถียร

เมื่อห้วงมิติสั่นไหวไม่เสถียร สายฟ้าอันซุกซ่อนอยู่ในห้วงมิติก็จะระเบิดออกมา

ทุกคนมีสีหน้าตะลึงตะลานเมื่อเห็นเงาร่างใหญ่มหึมาค่อยๆ ลุกขึ้นจากจุดที่แสงโลหิตและพายุสายฟ้ามารวมตัวกันอยู่ นั่นคือมารเทวะซึ่งมีเขามากมายบนศีรษะและมี 4 แขน 4 ขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรูปสลัก แต่เพลิงไฟอันโหมไหม้รอบกายมันก็ทําให้ดูราวกับว่ามารเทวะจากโลกมิติอื่นได้อวตารมายังโลกนี้!

มารเทวะที่อวตารลงมานั้นสูงเยี่ยมยิ่งกว่าภูเขามฤคาและด้วยเกลียวควันอันขมุกขโมงออกจากกายของมันก็สอดผสานกับเปลวเพลิงโลกันตรและประกายอสุนีบาต ในขณะเดียวกันแสงโลหิตก็ผงาดขึ้นไปบนฟ้าแล้วห้อมล้อมเป็นรัศมีเหนือศีรษะของมัน

“ยังมีจุดอื่นที่สํานักมหาบรรพตอัญเชิญมารเทวะออกมา…” ฉินมู่รู้สึกแขนขาเย็นเฉียบ ที่ฟากโน้นผู้ฝึกวิชาเทวะของสํานักมหาบรรพตร่ายเวทมนตร์สำเร็จและอัญเชิญมารเทวะมาจนได้

สายตาของมารเทวะนั้นกวาดไปทั่วราวกับประกายสายฟ้าที่ประสานกันไปมา เมื่อสายตามองไป ต้นไม้และหินผาก็ป่นกระจุยเป็นผุยผงจากฤทธิ์อํานาจ

ฉินมู่ระบายลมหายใจขุ่นมัวแล้วกล่าวด้วยเสียงตํ่า “ถอดเสื้อผ้า !”

ทุกคนอึ้งไปเล็กน้อย และหลวงจีนอวิ๋นฉื้อก็พึมพํา “ข้าต้องเปลือยกายอีกแล้วหรือ…”

ซีอวิ๋นเซี่ยงเข้าใจเจตนาของเขา และรีบปลดเสื้อผ้าจากซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็เข้าใจความหมาย ของฉินมู่เช่นกันและรีบช่วยกันถอดเสื้อผ้าของผู้ฝึกวิชาเทวะสํานักมหาบรรพตที่สิ้นชีวิตเหล่านั้น

ฉินมู่เองก็รีบสวมใส่เสื้อผ้าของศิษย์สํานักมหาบรรพตและสั่งด้วยเสียงเบา “ถอนธงขาวพวกนี้ออกมา และหยิบยันต์สมบัติพวกนั้นมาเผื่อไว้ด้วย”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อถอนธงขาวและหยิบยันต์สมบัติ เมื่อพวกเขาจัดการเสร็จก็เห็นมารเทวะนั้นก้าวอาดๆ ไปบนผิวนํ้า สร้างคลื่นลมโหมกระหนํ่าซัดมวลนํ้าแม่นํ้าหย่ง ขึ้นไปบนนภากาศ

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และกิเลนมังกรก็รีบวิ่งกลับมา ฉินมู่กล่าวอย่างรีบด่วน “พวกเราต้องรีบเคลื่อนย้ายไปจากจุดนี้ในทันที นี่ไม่ใช่ที่ที่บัณฑิตขั้นห้าธาตุอย่างพวกเราจะรอดชีวิตได้ บนเนื้อตัวพวกเจ้ามีวัตถุอะไรที่แสดงสถานะบัณฑิตจักวรรดิหรือไม่ ส่งมันมาให้ข้าทั้งหมด”

อวิ๋นฉื้อนําใบผ่านทางและบัตรหนังสือของออกมาพลางพึมพํา “นี่พวกเราจะไปหาที่ตายที่แดนใต้จริงๆ หรือ”

ฉินมู่เก็บใบผ่านทางและบัตรหนังสือของทุกคนไว้ในถุงเต๋าตี้แล้วกล่าว “พวกเราจะเดินอ้อมไปจากแดนใต้ หลังจากที่พวกเราผ่านพ้นสนามรบนี้ไปได้ ก็เหลือแค่ข้ามแม่นํ้ากลับไปก็จะปลอดภัย เมื่อถึงฝั่งทิศเหนือของแม่นํ้า”

เขาปล่อยลมหายใจที่อั้นไว้ และขณะที่กําลังจะสั่งให้คนอื่นๆ ออกเดินทาง เขาก็มองรูปสลักมารเทวะอีกแวบหนึ่งซึ่งยังถูกปลุกไม่เสร็จสมบูรณ์ ใจเขาหวั่นไหวเล็กน้อยและไปยกมันขึ้นมาผูกไว้กับหลังของกิเลนมังกร

“มุ่งหน้า ไปทิศใต้!”

ทุกคนมีอารมณ์อันหนักอึ้ง และมุ่งหน้าทิศใต้ไปทางตีนเขา หลังจากเดินทางไปได้ 10 ลี้ พวกเขาก็เดินพ้นจากบริเวณที่อบอวลไปด้วยหมอกดํา และเมื่อเดินไปอีก 10 ลี้ ฉินมู่ก็เหลียวหลังกลับไปและเห็นว่าหมอกดํานั้นดูเหมือนกับกระทะดําใบใหญ่ที่ควํ่าครอบบริเวณรอบๆ แม่นํ้าหย่ง กักขังพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งนํ้า

ที่ใจกลางหมอกดํามีประตูใหญ่โตโอฬารอันเชื่อมต่อความเป็นและความตาย เชื่อมตรงไปยังประตูแห่งโลกใต้พิภพ

ไม่รู้เลยว่าจะเหลือคนรอดชีวิตสักกี่คนในหลี่โจว ฉินมู่คิดในใจ

ไม่นานนัก ฉินมู่ก็ยั้งเท้าโดยพลัน

“กองทัพอยู่ที่นี่แล้ว” อวิ๋นฉื้อดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“กองทัพ? กองทัพสันตินิรันดร์เรา?”

ฉินมู่ส่ายหน้าและชี้ตรงไป “กองทัพกบฏ”

ทุกคนมองไปข้างหน้าและเห็นเรือเหาะ 10 กว่าลําลอยแล่นมาทางพวกเขา ธงทิวริ้วขบวนปักอยู่บนเรือเหาะเหล่านั้นและมีสัตว์พิสดารโบยบินห้อมล้อมอยู่บนฟากฟ้า สัตว์พิสดารเหล่านั้นมีหลากรูปทรงและหลายขนาด มากไปด้วยเผ่าพันธุ์อันผิดแผกจากกัน

ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้กองทัพบนอากาศก็มีแถวขบวนของทหารที่ประกอบไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิชาเทวะ ท่ามกลางทหารเหล่านั้นมีสัตว์ยักษ์ที่แบกหินกลมก้อนใหญ่เต็มไปหมด สัตว์เหล่านั้นสูงเกือบ 20 วา ราวกับขุนเขาเคลื่อนที่ ด้วยทุกย่างก้าวที่มันยํ่าไป พื้นดินก็สะเทือนตึงๆ ไม่รู้จบ

ฉินมู่และคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างหนึ่งของทางเดินทัพ ปล่อยให้กองทัพนี้มุ่งหน้าตรงไปยังสมรภูมิแม่นํ้าหย่ง แม่ทัพคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเรือกวาดตามองฉินมู่และพวกพ้องก่อนที่จะไต่ถามเจ้าหน้าที่นายทหารข้างๆ เขา “คนพวกนี้เป็นใครกัน”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกระโดดลงจากเรือเหาะ และทุกครั้งที่เท้าเขาเหยียบยํ่าไป ก็จะมีดอกบัวทองคําผุดขึ้นมารองรับย่างก้าว เขาเดินเหยียบดอกบัวทองคํามายังฉินมู่ทีละก้าวทีละก้าว ทําให้ทุกคนตัวสั่นสะท้านด้วยกลัวภัยมาถึงตัว

นี่คือยอดฝีมือวรยุทธ์ขั้นเจ็ดดาวซึ่งสามารถเหยียบเหินเดินอากาศได้ราวพื้นราบหากว่าเขาหมายจะสังหารคณะฉินมู่ทั้งหมด ก็ง่ายดายราวกับเป่าฝุ่นผงให้หลุดจากมือ!

เจ้าหน้าที่นั้นเห็นรูปสลักมารเทวะบนหลังกิเลนมังกร และเอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงเย็นเยียบ “ศิษย์สํานักมหาบรรพต เจ้าหนีทัพโดยไม่ต่อสู้ ควรลงโทษเยี่ยงไร”

ฉินมู่โค้งคารวะแล้วตอบไปโดยไม่ประจบและไม่หยิ่งจองหอง “สํานักมหาบรรพตเรานั้นได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว พวกเราได้อัญเชิญมารเทวะออกมาหนึ่งตนเพื่อช่วยการศึกสงคราม ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่มีความผิด แต่ยังได้กระทําความดีความชอบเสียอีก”

เจ้าหน้าที่นั้นแค่นเสียงเย็นชา “แต่ถึงอย่างไร พวกเจ้าก็หนีทัพ ไม่สู้รบ นี่มีโทษถึงตาย ประหารตัดหัวได้ทันที!”

ฉินมู่มีสีหน้าเจ็บแค้นดาลใจและประท้วงทันที “พวกเราถูกทัพหลี่โจวลอบโจมตี และท่ามกลางพี่น้องหญิงชายทั้ง 13 ของพวกเรา เหลือรอดมาแค่ 6 คน! เมื่อพวกเราเอาชีวิตเข้าเสี่ยง พวกท่านล่ะอยู่ที่ไหนกัน สํานักมหาบรรพตของเราถูกทําลายล้างไป แล้วเหลือแต่พวกเราที่เป็นเศษซาก นี่ท่านหมายจะให้พี่น้องเราตกตายจนหมดสิ้นเลยหรือ แม่ทัพ โปรดเหลือเชื้อไฟให้สํานักมหาบรรพตเราด้วยเถอะ!”

แม่ทัพผู้นั้นลังเลและเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า

เรือเหาะนั้นแม่ทัพใหญ่กล่าวด้วยเสียงขรึม “สํานักมหาบรรพตเหลือคนอยู่ไม่กี่คน ดังนั้นจะไม่ต้องสืบสาวเรื่องนี้ต่อแล้ว พวกเขาได้ทําความดีความชอบโดยอัญเชิญมารเทวะออกมาหนึ่งตนช่วยเหลือในการต่อสู้ เจ้าให้พวกเขาร่ายเวทมนตร์เพื่อยืนยันตัวตนแล้วค่อยปล่อยพวกเขาไป”

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และคนอื่นๆ ต่างก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ พวกเขาไม่เคยฝึกปรือเวทมนตร์ของสํานักมหาบรรพตมาก่อน

ฉินมู่ขับเคลื่อนยันต์สมบัติ และเสียงของแม่ทัพนั้นก็ลอยลงมา “ไม่ใช่ยันต์สมบัติ ข้าให้เจ้าใช้เวทมนตร์”

ปราณชีวิตของฉินมู่พลันโคจรและปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนที่ฉายทาบลงไปบนร่างของรูปสลักมารเทวะ จุดแสงอักษรรูนบนเนื้อรูปปั้นนั้น

แม่ทัพนั้นโค้งแล้วกล่าว “แม่ทัพเสี้ยวอี่ นี่เป็นอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนของสํานักมหาบรรพตโดยแท้”

แม่ทัพเสี้ยวอี่บนเรือโบกมือ “ปล่อยพวกเขาไป เคลื่อนทัพ ต่อไปโจมตีหลี่โจว…ช้าก่อน!”

แม่ทัพเสี้ยวอี่ทอดสายตาลงมาจับจ้องฉินมู่และพรรคพวกรอยยิ้มผุดที่มุมปากของเขา “ส่งพวกเขาไปที่เมืองคลื่นสวรรค์และให้พวกเขาอัญเชิญมารเทวะอีกตนที่นั่นด้วย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version