Skip to content

Tales of Herding Gods 186

ตอนที่ 186 ฉินมู่เรียกปีศาจ

เมืองคลื่นสวรรค์?” ฉินมู่และคนอื่นๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พวกเขารู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้

แม่ทัพเสี้ยวอี่แย้มยิ้ม “อักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนของสํานักมหาบรรพตนั้นนับว่าทรงพลัง เมืองคลื่นสวรรค์เองก็กําลังรบพุ่งโจมตีฝั่งตรงข้ามแม่นํ้าและหากว่ามีมารเทวะช่วยสู้รบ เมืองคลื่น

สวรรค์ก็จะลดการสูญเสียรี้พลไปได้อีกมาก หลินติ่ง เจ้าตามพวกเขาไป”

เจ้าหน้าที่นายทหารผู้นั้นรับคําสั่ง

แม่ทัพเสี้ยวอี่โบกมือและให้กองทัพยาตราต่อ ฉินมู่และผองเพื่อนโค้งส่ง และเมื่อกองทัพเคลื่อนจากไป นายทหารหลินติ่งก็ยิ้มกล่าว “ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเราไปเมืองคลื่นสวรรค์กันเถอะ”

ฉินมู่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนสักนิดและกล่าว “เชิญเจ้าหน้าที่หลิน”

หลินติ่งเผยยิ้ม “สํานักมหาบรรพตของเจ้าได้สร้างความดีความชอบและแม้ว่าจะเหลือพวกเจ้าอยู่ไม่กี่คน พวกเจ้าก็ยังสามารถอัญเชิญมารเทวะมาช่วยพวกเราสู้รบได้ พวกเจ้าจะสามารถก่อตั้งสํานักขึ้นมาใหม่อย่างรุ่งเรืองเป็นแน่ แม้ว่าพวกเจ้าจะยังเยาว์อยู่มาก แต่ข้านั้นก็นับถือชื่นชมความสามารถเป็นอย่างยิ่ง”

ฉินมู่หัวเราะฮาๆ ด้วยสีหน้าอันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “นับว่าเป็นหนี้คําอวยพรของท่านเจ้าหน้าที่ จริงสิ ข้าเห็นท่านนั้นยังไม่อายุมากแต่พลังวัตรของท่านสูงลํ้า ไม่ทราบว่าข้าเรียนถามได้ ไหมว่าท่านมีวรยุทธ์ขั้นใด”

ขั้นเจ็ดดาวระดับสุดยอด แต่ทว่าจะบรรลุไปยังขั้นชาวสวรรค์นั้นยากเหลือใจ”

หลินติ่งถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ชาวสวรรค์นั้นยากนัก และยิ่งตอนนี้โลกหล้าเต็มไปด้วยความปั่นป่วน พวกเรายังต้องผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ กวาดล้างอิทธิพลอํานาจของสภาราชสํานักเพื่อขจัดราชครูผู้พยศ นี่เป็นโอกาสอันดี และข้าหมายใช้โอกาสนี้เพื่อกดดันให้ตนเองทลายขั้นวรยุทธ์ได้ พวกเจ้านั้นอาจจะอายุน้อยอยู่ แต่ไม่ควรปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป”

เขาเห็นทุกคนมีสีหน้างงงวยจึงกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ตั้งแต่โบราณกาลมา วีรบุรุษก่อเกิดจากสมรภูมิ ยิ่งโลกสับสนวุ่นวายเท่าไร ก็ยิ่งง่ายที่ผู้คนจะรุดหน้า ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเมื่อยอดฝีมือปะทะต่อสู้กัน หลักปรัชญาของพวกเขาปะทะกันและทักษะเทวะ เต๋า และวิชาทุกชนิดก็จะเบ่งบานออกมา ทําให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาขยับขยายวิสัยทัศน์ เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ของตนแรงกดดันจากยอดยุทธ์ทั้งหลาย แรงกดดันจากความเป็นและความตาย จะผลักดันพวกเราให้บุกตะลุยไปข้างหน้าด้วย เจตจํานงอันแน่วแน่ ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างเช่นอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนของสํานักมหาบรรพตของพวกเจ้า ในยามสันติใครกันจะใช้เวทมนตร์แบบนี้ออกมา ยิ่งความปั่นป่วนโกลาหลมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่วิชาเช่นนี้จะถูกช่วงใช้ และเมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะรุดหน้าไปได้”

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

คราวนี้เวทมนตร์อันทิ้งร้างไม่มีคนไยดีอย่างอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนก็ได้เปิดหูเปิดตาพวกเขาจริงๆ หลังจากที่สํานักมหาบรรพตถูกทําลายล้าง ศิษย์สํานักที่พลัดพรากหายสูญกลับสามารถอัญเชิญมารเทวะมาช่วยต่อสู้ได้ มารเทวะนั้นมีฤทธานุภาพอัศจรรย์เพียงใด

เวทมนตร์อันดูไร้ค่าไม่โดดเด่นกลับสามารถแผ่ฤทธิ์พลังอันร้ายกาจน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ นับว่าสั่นสะท้านพวกเขาไปถึงขั้วหัวใจ

ยิ่งไปกว่านั้น นําทางวิญญาณเองก็เป็นเวทมนตร์ที่ผู้คนไม่สนใจเพราะไม่มีพลังโจมตีอะไรมากมาย เมื่อพวกเขาผ่านตาเวทมนตร์ทำนองนี้ในเรือนบันทึกสวรรค์ พวกเขาก็มักจะโยนมันทิ้งไป ไม่สนใจศึกษาต่อ

ในแง่ของพลังโจมตีของเวทมนตร์แล้ว มีเวทมนตร์นับพันนับหมื่นในเรือนบันทึกสวรรค์ที่เหนือลํ้ากว่าสองเวทมนตร์อันชืดชาไม่โดดเด่นนี้

แต่ว่า ก็เป็นเวทมนตร์ง่ายๆ ขั้นตํ่าอย่างนําทางวิญญาณนี่แหละที่พลิกสถานการณ์ของทั้งศึกสงครามแบบนี้ ทําให้ผู้บัญชาการชายแดนอย่างอวี่เหยียนฉู่อวี้ต้องเพลี่ยงพลํ้าอย่างรุนแรง และยากที่จะพิทักษ์ป้องกันหลี่โจว

นําทางวิญญาณ และอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนนั้นไม่มีพลังโจมตีสักกระจึ๋ง แต่เมื่อช่วงใช้เวทมนตร์เหล่านี้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม พลานุภาพที่เวทมนตร์ทั้ง 2 สามารถปลดปล่อยออกมานั้นเหนือลํ้ากว่ากองทัพพันทหารพันม้าศึกไปหลายขุม!

เจ้าหน้าที่หลินติ่งอาจจะเป็นกองกําลังฝ่ายตรงกันข้าม แต่ประสบการณ์ของเขาเหนือลํ้ากว่าพวกฉินมู่

นี่ก็ยิ่งทําให้พวกเขารู้สึกเครียดเคร่ง ในเมื่อทั้งกําลังฝีมือและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่หลินติ่งเหนือกว่าพวกเขามาก หากว่าเขาพบเบาะแสเพียงเล็กน้อย พวกฉินมู่ก็คงได้ตายอย่างอนาถ!

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เจ้าหน้าที่หลินติ่งจะไม่พบพิรุธของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองคลื่นสวรรค์และไม่อาจอัญเชิญมารเทวะออกมาได้ พวกเขาก็จะต้องตายอยู่ดี

และหากว่าพวกเขาสามารถอัญเชิญมารเทวะอันออกมาฆ่าฟันกองทัพสันตินิรันดร์ พวกเขาก็คงหัวหลุดจากบ่าเมื่อกลับไปยังเมืองหลวง

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ดูจะมีแต่ตายกับตายเท่านั้น

หากว่าพวกเราสามารถลงมืออย่างอำมหิตกับเจ้าหน้าที่นี้พร้อมๆ กัน พวกเราจะกำจัดยอดฝีมือระดับนี้ได้ไหมนะ

ฉินมู่คิดคํานวณอยู่ในใจและพบว่าโอกาสชนะของเขานั้นง่อนแง่น เว้นแต่ว่ากิเลนมังกรจะร่วมลงมือด้วย แต่ทว่ากิเลนมังกรนี้มีนิสัยใจคอที่ขลาดเขลาท้อถอยต่ออุปสรรค มันก็คงยากที่จะบีบให้เขาเสี่ยงชีวิตลงมือได้

พวกเราสามารถกำจัดผู้ฝึกวิชาเทวะ 13 คนได้ แล้วไฉนเราจะจัดการกับยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวไม่ได้

ฉินมู่สายตาวูบไหว พวกเขาเดินกันไป 10 ลี้ข้างหน้าและพลันได้ยินเสียงตะโกนดังมา ทันใดนั้นกลุ่มโจรภูเขาก็พุ่งตรงมาและโจรภูเขาเหล่านี้มิได้อ่อนฝีมือเลย หัวหน้าโจรภูเขาเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ และลูกน้องโจรก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์

คณะฉินมู่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะสังหารโจรเหล่านั้นแต่เจ้าหน้าที่หลินติ่งแย้มยิ้ม “ไม่ต้องห่วง พวกมันเป็นแค่หนูสกปรก ปล่อยให้พวกมันเข้ามา”

โจรภูเขาเหล่านี้บุกเข้ามาจนถึงและเจ้าหน้าที่หลินติ่งเพียงแค่ยกมือขึ้นปล่อยหนึ่งมุทรา สายฟ้าในฝ่ามือแผ่พุ่งออกไป เสียงตูมดังสนั่นกึกก้องพร้อมกับประกายแสงขาววาบ ระเบิดร่างของโจรภูเขา 10 กว่าคนจนแหลกเละ แม้แต่หัวหน้าโจรที่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะก็ไม่พ้นชะตากรรมเดียวกันและตายคาที่

สายฟ้าในฝ่ามือของสํานักวิชาบู๊!”

ฉินมู่ใจเต้นรัวราวตีกลองและพลันรู้สึกถึงปัญหาอันยากจะแก้ไขในมือ ต่อหน้าจอมยุทธสํานักวิชาบู๊ การลอบจู่โจมนั้นเรียกได้ว่าไร้ผล และพวกเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าธาตุ ดังนั้นหากว่าพวกเขาลงมือจู่โจม อย่างมากก็คงช่วยเกาหลังให้เจ้าหน้าที่หลินติ่ง ไม่อาจทําให้เขาชอกชํ้าแม้ปลายเล็บ

ด้วยใจอันกระวนกระวาย พวกเขาได้แต่ติดตามเจ้าหน้าที่หลินติ่งไปยังเมืองคลื่นสวรรค์

ฉินมู่ถาม “แม่ทัพหลินติ่ง ข้าถามได้ไหมว่าปูมหลังพื้นเพของแม่ทัพเสี้ยวอี่มาจากที่ใด”

เจ้าหน้าที่หลินติ่งเผยสีหน้าชื่นชมยกย่อง และกล่าว “แม่ทัพเสี้ยวอี่เป็นองค์ชายรัชทายาทของประเทศดํารงธรรม และหลังจากที่ประเทศดํารงธรรมถูกยึดครอง จักรพรรดิประเทศดํารงธรรมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเป็นอ๋องนอกแซ่หลิง และแม่ทัพเสี้ยวอี่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายเสี้ยวอี่ มาบัดนี้เมื่อราชครูได้ขยําทุกวิชาทักษะทั้งหลายในโลกให้ปนเปสับสน นี่เป็นมรรคามาร และนี่ก็เป็นโอกาสให้แม่ทัพเสี้ยวอี่ได้มีโอกาสฟื้นฟูจักรวรรดิของตนขึ้นมาอีกครั้ง นั่น เมืองคลื่นสวรรค์อยู่ข้างหน้า”

ที่ข้างหน้าพวกเขา มีทิวเขาเรียงรายแน่นขนัดข้างๆ ฝั่งแม่นํ้าหย่ง ขุนเขาเหล่านั้นบังคับแม่นํ้าหย่งให้ไหลอ้อมพวกมันไป และเมืองคลื่นสวรรค์ก็สร้างอยู่บนขุนเขาที่ยื่นลํ้าเข้าไปในใจกลาง

แม่นํ้าหย่ง ข้างล่างนั้นเป็นโตรกผาสูงชันและผนังหินอันทําให้แม่นํ้าหย่งช่วงนี้เชี่ยวกรากเป็นพิเศษ เมื่อใดที่คลื่นสูงใหญ่โถมใส่ผนังผา พวกมันก็จะสร้างเสียงฉ่าฉาดครึกโครม

คลื่นที่แตกกระเซ็นกระซ่านจะกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า นี่จึงเป็นที่มาของชื่อเมืองคลื่นสวรรค์

ในตอนนี้ ทหารกองกําลังกบฏมากมากมายรวมตัวกันอยู่ในเมืองคลื่นสวรรค์ และมองลงไปยังกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่อีกฝั่งแม่นํ้า พวกเขาถืออาวุธไว้อย่างเตรียมพร้อมรอเวลาที่จะปฏิบัติตามคําสั่ง

เจ้าหน้าที่หลินติ่งพาพวกเขาไปที่เมืองคลื่นสวรรค์แล้วกล่าว “ผู้ที่พิทักษ์คุ้มกันเมืองนี้เป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ ราชามังกรแห่งสํานักขี่มังกร! พวกเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาก่อนจริงไหม แม้ว่ากําลังฝีมือของราชามังกรจะมิได้สูงลิ่ว แต่เขาได้เลี้ยงมังกรไร้เขาอันทรงฤทธิ์ไว้ตัวหนึ่ง มันมีกําลังร้ายกาจอย่างยิ่งและสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเป็นตายได้อย่างสบายๆ เอ๊ะ นั่นคือบุตรชายของราชามังกรอยู่ข้างหน้านี่ เขาคือหลงเจี่ยวหนัน”

ที่แม่ทัพผู้นี้มองดูนั้นเป็นบุรุษหน้าขาวมากจริตจะก้านซึ่งสวมชุดยาวสีสันฉูดฉาด บนใบหน้าของเขามีเครื่องประทินผิวโปะทับมากมายอันดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือเจ้าสํานักน้อยแห่งสํานักขี่มังกร หลงเจี่ยวหนัน

เจ้าหน้าที่หลินติ่งพาฉินมู่ก้าวเข้าไปสนทนาไต่ถาม หลงเจี่ยวหนันทักทายตอบและชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นฉินมู่ “คนผู้นี้ดูคุ้นตาเสียจริง…”

ฉินมู่รู้สึกแตกตื่นใจและรีบค้อมศีรษะทักทาย ครั้งแรกที่เขาเข้าเมืองหลวง เขาได้ขึ้นเรือเหาะที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกับเว่ยหยงแห่งสุสานแม่นํ้า หลงเจี่ยวหนันควบคุมงูยักษ์โบยบินบนท้องฟ้าและสังหารทุกผู้คนบนเรือเหาะ มีแต่ฉินมู่และเว่ยหยงที่เอาชีวิตรอดมาได้

แม้จะรีบเร่ง แต่หลงเจี่ยวหนันอาจจะได้เห็นหน้าเขามาก่อน

คนเหล่านี้เป็นศิษย์สํานักมหาบรรพต”

เจ้าหน้าที่หลินติ่งแนะนํา “พวกเขาอัญเชิญมารเทวะในชนบทมฤคา ดังนั้นแม่ทัพเสี้ยวอี่จึงหมายให้พวกเขาร่ายเวทมนตร์ที่นี่ในเมืองคลื่นสวรรค์เพื่ออัญเชิญมารเทวะมาช่วยพวกเราสู้รบ”

หลงเจี่ยวหนันนึกไม่ออกว่าเคยพบฉินมู่ที่ไหนแต่ประกายตาของนางลุกวาวและหัวเราะคิกๆ “อัญเชิญมารเทวะ? น่าสนใจไม่หยอก พวกเจ้าต้องการเครื่องมือเวทมนตร์อะไรบ้างล่ะ ข้าจะตระเตรียมให้”

ฉินมู่กล่าวทันที “พวกเราต้องการเพียงแท่นสังเวยกระดูกขาว ซึ่งกว้างและยาว 17 วา ทั้งแท่นสังเวยจะต้องสร้างขึ้นมาจากกระดูกล้วนๆ และพื้นดาดของแท่นต้องปูเรียงด้วยหัวกะโหลกเบ้าตาของหัวกะโหลกเหล่านั้นต้องมองขึ้นฟ้าและไม่อาจจัดเรียงผิดพลาดแม้แต่นิด”

ยุ่งยากน่าดู”

หลงเจี่ยวหนันแย้มยิ้ม “แต่ในยามศึก ซากศพเป็นของที่หาง่ายที่สุด รอสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนจัดเตรียมแท่นสังเวยให้ หากว่ากระดูกไม่พอ พวกเราก็แค่สังหารผู้คนเพิ่มไปอีก ชีวิตของประชากรเมืองคลื่นสวรรค์นี้ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร”

ฉินมู่กล่าว “พวกเราจะขับเคลื่อนวิชาลับ ดังนั้นจึงมิอาจถูกรบกวนโดยเด็ดขาด ดังนั้นแม่ทัพหลง…”

หลงเจี่ยวหนันมองฉินมู่อย่างเล่นหูเล่นตา จนเขารู้สึกขนลุกวาบ หลงเจี่ยวหนันแย้มยิ้ม “ข้าเข้าใจ เจ้าสบายใจเถอะ ข้าจะจัดทหารเฝ้าไว้รอบๆ แท่นสังเวย แต่หากว่าเจ้าไม่อาจอัญเชิญมารเทวะออกมาได้ กล้าหลอกลวงข้าละก็ ข้ารับรองว่าเจ้าจะโดนทะลวงหลังจนปรุโปร่ง”

เฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ และทาสหมาป่าฟังแล้วขนหัวลุก แต่ซีอวิ๋นเซี่ยงและเยว่ชิงหงไม่รู้สึกอะไร

ไม่นานนัก หลงเจี่ยวหนันก็บัญชาให้ลูกน้องสร้างแท่นสังเวยกระดูกขาวในเมืองคลื่นสวรรค์ แท่นสังเวยนี้ตั้งอยู่ในบริเวณจวนเจ้าเมือง หลงเจี่ยวหนันให้ทหารในจวนออกไปเฝ้าอารักขาข้างนอกจวน พวกเขาจึงมิอาจเห็นฉินมู่และคนอื่นๆ ร่ายเวทมนตร์

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นทหารมากกว่าร้อยนายเฝ้าคุ้มกันรอบๆ จวน ทําให้เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลอบหลบหนี

พวกเราทําอย่างไรกันดี”

บนแท่นสังเวย ทุกคนมองไปยังฉินมู่ เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “พวกเราถลําลึกเข้ามาในแดนศัตรู อา…อาจารย์อาฉิน เจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจ!”

ในที่สุดเขาก็ยอมเรียกฉินมู่ว่าอาจารย์อา แม้ว่าอวิ๋นฉื้อและเยว่ชิงหงจะพิศวง แต่พวกเขาก็ไม่หยั่งถาม

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “แน่ล่ะ พวกเราก็จะร่ายเวทมนตร์อัญเชิญปีศาจ เชื้อเชิญมารเทวะมาที่นี่”

อวิ๋นฉื้อกระโดดโหยงด้วยความตกใจและร้องออกมา “พวกเราไม่เคยเรียนเวทมนตร์สํานักมหาบรรพตมาก่อน จะอัญเชิญมารเทวะมาได้อย่างไร”

ข้าเคยเรียน”

ฉินมู่ยกรูปสลักมารเทวะขึ้นมาตั้งไว้บนแท่นสังเวย และปักธงขาวทั้ง 4 ที่ 4 มุมแท่น “ข้าจะเป็นผู้ที่อัญเชิญและเรียกใช้มารเทวะมาเอง สํานักมหาบรรพตต้องใช้คน 13 คนในการร่ายเวทมนตร์นี้ แต่ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถทําได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นกันแม้ว่าจะยุ่งยากสักหน่อย”

อวิ๋นฉื้อกล่าวด้วยความลังเล “ตระกูลพวกเราจะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรหากว่าพวกเราเรียกมารเทวะออกมาทําลายล้างกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์. ..”

ไม่ต้องกังวล การอัญเชิญมารเทวะต้องมีสายสนกลในอยู่แน่ๆ พวกเขาต้องมีวิธีควบคุมมารเทวะมิให้เข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า มิเช่นนั้นผู้ที่อัญเชิญมารเทวะมาก็คงถูกสังหารเช่นกัน

ฉินมู่สายตาวูบไหวและพ่นลมหายใจที่อัดอั้นไว้ “หากว่าเราอัญเชิญมารเทวะมาที่นี่และให้เขาโจมตีเมืองคลื่นสวรรค์แทน ข้าคิดว่าเราสามารถฉวยโอกาสอันโกลาหลนั้นหลบหนีไป…พวกเจ้าคอยเฝ้าคุ้มกันรอบๆ และระมัดระวังการเคลื่อนไหวอื่นๆ ข้าจะร่ายเวทมนตร์ล่ะ”

ทุกคนรีบยืนขึ้นอย่างระวังไวรอบๆ แท่นสังเวย ฉินมู่นํายันต์สมบัติออกมาและเพ่งพิศอักษรรูนบนด้านทั้ง 1,024 ของพื้นผิวยันต์สมบัติ จดจําพวกมันไว้ในใจ จากนั้นเขาก็มองไปยังอักษรรูนบนร่างของรูปสลักมารเทวะ เปรียบเทียบมันไปทีละตัวก่อนจะพึมพําอย่างไม่ได้ศัพท์กับตนเอง แล้วเริ่มร่ายเวทมนตร์

ปราณชีวิตเขาแผ่พุ่งและมีเส้นด้ายปราณชีวิตอุ้มชูยันต์สมบัติทั้ง 13 ยันต์ขึ้นไปบนอากาศ ห้อมล้อมรูปสลักมารเทวะ ภาษาอันลี้ลับปรัมปราเปล่งออกมาจากโพรงจมูกและโพรงปากของเขา พร้อมๆ กับที่ปราณชีวิตของเขาผลักให้ยันต์สมบัติเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ จุดแสงอักษรรูนบนยันต์สมบัติไปทีละตัว…ทีละตัว อักษรรูนเหล่านั้นพลันฉายโชนลงยังรูปสลักมารเทวะ และจุดแสงอักษรรูนที่จารึกไว้รอบๆ รูปสลักดังกล่าว

เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ล้วนงงงัน ภาษาที่ออกมาจากปากฉินมู่นั้นมิใช่ภาษาที่ใช้พูดกันทั่วไป มันคล้ายคลึงกับภาษาที่คนสํานักมหาบรรพตใช้เมื่อพวกเขากําลังอัญเชิญมารเทวะ แต่กลับดูลึกลํ้ากว่า

นี่คือภาษามาร” ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าวด้วยเสียงตํ่า อักษรรูนบนรูปสลักมารเทวะทยอยจุดแสงขึ้นทีละอักขระ การควบคุมยันต์สมบัติ 13 ยันต์พร้อมกันนั้นจะต้องใช้ความทรงจําลํ้าเลิศที่จดจําอักษรรูนมากกว่า 1,000 ตัวรวมทั้งลําดับจัดเรียงของพวกมันด้วย แม้ว่าฉินมู่จะยังไม่เชี่ยวชาญในตําราคํานวณบรมปริศนา แต่ความทรงจําของเขาก็วิวัฒน์ขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาจึงสามารถควบคุมมันได้อย่างสบายๆ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง อักษรรูนมากกว่าครึ่งรูปสลักมารเทวะก็ถูกจุดแสง ในเวลาเดียวกัน เมื่อเขาร่ายภาษามาร ฉินมู่ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีความเชื่อมต่ออันพิสดารกับตัวตนที่อยู่ในโลกมิติมืดอื่นๆ ในห้วงลึกของกาลอวกาศผ่านเทวรูปนี้พร้อมๆ กันนั้น นักพรตเต๋ามากกว่า 10 คนก็แบกรูปสลักมารเทวะเร่งรุดมายังเมืองคลื่นสวรรค์ เมื่อเจ้าหน้าที่หลินติ่งเห็นพวกเขา เขาก็รีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าจากสํานักมหาบรรพตมาก็พอดีเลย ศิษย์น้องหญิงชายของพวกเจ้ากําลังเริ่มพิธีอัญเชิญมารเทวะในเมืองนี้ได้สักพักแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version