ตอนที่ 206 ผู้อัญเชิญมาร
“เป็นคําเตือน? ข้าหรือคือผู้ที่ถูกเตือน?”
หางตาของกู่หลี่หนวนกระตุกยิบๆ และรู้สึกว้าวุ่นใจ เขานําเหรียญสมบูรณ์พูนสุขจํานวนหนึ่งออกมาใส่มือของขันทีก่อนจะปลุกปลอบขวัญตนให้มุ่งหน้าไปยังวังหลวงต่อ แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็พบกับขันทีอัญเชิญราชโองการอีกคนซึ่งกําลังเร่งรีบไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ
“ยินดีด้วย ใต้เท้ากู่!”
กู่ลี่หนวนถามอย่างใจลอย “กงกง ยินดีเรื่องอะไรกัน?”
“ใต้เท้ากู่อาจจะยังไม่รู้ แต่ดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยท่านได้สร้างความชอบใหญ่หลวงในการปราบปรามกบฏ ดังนั้นฝ่าบาทจึงส่งข้าไปปูนบําเหน็จแก่เขา เลื่อนขั้นตําแหน่ง”
กู่ลี่หนวนตะลึงอย่างแรงและร้องออกมา “เลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ กงกงคนเมื่อครู่ก็เพิ่งไปอ่านราชโองการเลื่อนตําแหน่งเขา! ทําไมเขาได้รับการเลื่อนตําแหน่งถึง 2 ครั้งในรอบเดียว”
ขันทีผู้อัญเชิญราชโองการกล่าว “ฝ่าบาทกล่าวว่าการเลื่อนขั้นครั้งแรกนั้นเป็นเพราะคนอื่นที่ไม่ทําหน้าที่ตนเองให้ดี แต่ดุษฎีบัณฑิตได้ทําหน้าที่ที่เขาสมควรทําได้ดี ดังนั้นฝ่าบาทจึงหมายเลื่อนตําแหน่งเขาให้ขึ้นเป็นขุนนางชั้นหกขั้นสูง แต่ในครั้งนี้ ดุษฎีบัณฑิตได้สร้างความชอบใหญ่หลวงอย่างยิ่งในศึกที่แดนใต้ ดังนั้นเขาจึงได้รับการเลื่อนตําแหน่งอีกครั้งเป็นขุนนางชั้นห้าขั้นตํ่า”
กู่ลี่หนวนหยิบเหรียญสมบูรณ์พูนสุขออกมาอีกกําแล้วยัดใส่มือขันทีอย่างลับ ก่อนพึมพํา “ที่แท้ก็เป็นความดีความชอบของเขา ดุษฎีบัณฑิตฉินเป็นดุษฎีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา การที่เขาได้รับการปูนบําเหน็จจากคุณงามความดี ข้าเองก็พลอยรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วย…”
“นั่นถูกต้องแล้ว!” ขันทีอัญเชิญราชโองการยิ้มกว้างแล้ว รีบเร่งฝีเท้าจากไป
กู่ลี่หนวนมุ่งหน้าต่อไปยังวังหลวง โดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดโน่นนี่ไปทั่ว และไม่นานเขาก็พบกับขันทีอัญเชิญราชโองการอีกคน ขันทีผู้นั้นเห็นกู่ลี่หนวนเขาก็ยิ้มแย้ม “ยินดีด้วย ใต้เท้ากู่! ยินดีด้วยจริงๆ!”
กู่ลี่หนวนถามด้วยสีหน้ามืดคลํ้า “กงกง มีเรื่องอะไรต้องยินดีอีกคราวนี้”
“ฝ่าบาทให้ข้าอัญเชิญราชโองการเลื่อนตําแหน่งดุษฎีบัณฑิต!”
ขันทีเฒ่ากล่าวต่อ “ดุษฎีบัณฑิตฉินเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บของราชครู ดังนั้นเขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางชั้นห้าขั้นสูง ตําแหน่งเสนาวัง มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่าครูผู้สอน! ได้รับการเลื่อนตําแหน่งถึง 3 ครั้งในวันเดียวกัน นี่คือเรื่องน่ายินดีอย่างอัศจรรย์ของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!”
กู่ลี่หนวนพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ และล้วงเหรียญสมบูรณ์พูนสุขออกมาอีกกํายัดใส่มือของขันทีเฒ่าผู้นั้นโดยมิให้ใครเห็น เขาฝืนยิ้มแล้วกล่าว “ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติเช่นกัน…”
เมื่อขันทีนั้นเดินจากไป สีหน้ากู่ลี่หนวนก็มืดคลํ้าดําสนิท ฉินมู่เลื่อนตําแหน่ง ส่วนเขาถูกลดตําแหน่ง ถ้าเป็นแบบนี้ไม่นานเขาก็คงจะมีตําแหน่งขุนนางเท่าๆ กับฉินมู่!
“หากว่าเขายังเลื่อนขั้นไปไม่หยุด ข้านี่แหละจะต้องเรียกเขาว่าใต้เท้า”
กู่ลี่หนวนตั้งสติแล้วมุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อถวายรายนามผู้เสียชีวิต
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกําลังอ่านฎีกาและเมื่อกู่ลี่หนวนเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นและรับรายชื่อนั้น หลังจากอ่าน รายชื่อสักพักเขาก็กล่าวอย่างรวดร้าวใจ “บัณฑิตเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถของข้า อนาคตเสาหลักแห่งจักรวรรดิ แค่เพียงเพราะข่าวรั่ว พวกเขาก็ถูกคนชั่วทําร้ายให้ถึงตาย! ข้าอยากฆ่ามันนัก!”
เหงื่อเย็นเยียบซึมหน้าผากกู่ลี่หนวน เขาไม่กล้าปริปากพูดสัก คําเนื่องจากไม่รู้ว่าหากเขาโพล่งอะไรขึ้นมาจักรพรรดิจะพลอยอยากฆ่าเขาไปด้วยไหม
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลุกขึ้นเดินไปเดินมา เขาพลันฟาดฝ่ามือกับโต๊ะและถามด้วยเสียงขื่น “ข้าเพิ่งเผยสถานที่ที่บัณฑิตเหล่านั้นจะออกไปแสวงประสบการณ์ในราชโองการตอนที่บัณฑิตกําลังจะออกไปอยู่แล้ว แล้วพวกเขาถูกซุ่มโจมตีได้อย่างไร กู่ลี่หนวน ขุนนางกู่! บอกข้ามาซิว่าเจ้าคิดเห็นเช่นไร ใครเป็นคนทําข่าวรั่วไหล”
กูลี่หนวนพึมพํากับตนเองอย่างตัดสินใจไม่ได้ครู่หนึ่ง “ดูจากสถานการณ์การต่อสู้ในหลี่โจว ผู้ว่าการมณฑลหลี่โจวได้เข้าบุกยึดชนบทมฤคาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเหล่าครูผู้สอนและบัณฑิตไปถึงหลี่โจว พวกกบฏก็ร่ายเวทมนตร์นำทางวิญญาณอย่างแม่นยํา นี่หมายความว่ากบฏพวกนี้รู้เวลาอันแน่ชัดที่เหล่าบัณฑิตจะมาถึงหลี่โจว ราวกับว่ามีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า พวกเขาน่าจะได้ข่าวว่าพวกบัณฑิตกําลังมาที่นี่เพื่อแสวงประสบการณ์ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาออมกําลังไว้เพียงพอที่จะอัญเชิญมารเทวะและวิญญาณ มากมายแม้ว่าชนบทมฤคาจะถูกยึดครองไปแล้ว นี่หมายความว่า มิใช่ครูผู้สอนหรือบัณฑิตที่ปล่อยข่าวให้รั่วออกไปและ…”
เขากัดฟันแล้วกล่าวต่อ “และนี่ต้องเป็นข้าหรือไม่ก็ขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูงคนอื่นๆ ที่ปล่อยข่าวนี้ คนทรยศอยู่ท่ามกลางหมู่พวกเรา!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเหยียดยิ้มหยัน “ดูเหมือนว่ามีใครท่ามกลางหมู่พวกเราที่อยากให้ข้าย้ายก้นออก และส่งบัลลังก์ให้กับพวกเขา นอกจากเจ้าและข้า พวกที่มาในวันนั้นเพื่อประชุมหารือและรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นหนึ่งขั้นสูง อาจารย์ของรัชทายาท เช่นเดียวกับแม่ทัพแผนสวรรค์ แม่ทัพครองฟ้า และเจ้านคร เจ้าคิดว่าใครในหมู่พวกเขาที่เป็นผู้ทรยศ”
บนหน้าผากของกู่หลี่หนวนผุดเหงื่อเม็ดโป้ง เขากัดฟันและไม่กล่าววาจา
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงปรายตามองเขาและแค่นเสียงเย็นชา “เฮอะ เจ้าไม่กล้าพูดงั้นรึ ดูเหมือนว่าเจ้ามิได้จงรักภักดีต่อข้าสักเท่าไร”
เหงื่อเย็นเยียบโซมหน้าผากกู่ลี่หนวนราวกับตากฝน “ขุนนางของฝ่าบาทผู้นี้ถูกแช่แข็งอยู่ในแดนโบราณวินาศถึง 2 ศตวรรษ ข้าจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับเสนาบดีทั้งหลายในสภาราชสํานัก ดังนั้นข้าจึงมิกล้าออกความคิดเห็น…”
“พูดสิ่งที่เจ้าคิดออกมาเถอะ ข้าจะไม่ถือสาหาความ”
“ข้านั้นเป็นคนหัวช้าและทื่อทึบ กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของข้าถึงกับถูกดุษฎีบัณฑิตต้มตุ๋นไป อันแสดงว่าข้านั้นโง่เขลาเพียงไหน…”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงฉีกยิ้มด้วยความเดือดดาลและชี้หน้าเขา “เลิกพูดอ้อมค้อมได้แล้ว! ดุษฎีบัณฑิตหลอกตุ๋นเอากระบี่เจ้าไป แต่เจ้าก็ไปก้มหัวขอโทษเขาเพื่อขอกระบี่คืนได้นี่ หากว่าเจ้าโง่งั่ง แล้วจะใช้ให้เจ้าเป็นอธิการต่อหาพระแสงอะไรล่ะ ทําไมเจ้าไม่รีบเก็บข้าวของแล้วไสหัวไปซะ! บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ขุนนางคนไหนที่เจ้าสงสัย”
กู่ลี่หนวนกัดฟันกรอดและเงยหน้าขึ้น “พวกครูอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทน่าสงสัยที่สุด!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่อาจระงับโทสะและเปล่งรังสีอํานาจจักรพรรดิออกมา กดดันให้กู่ลี่หนวนต้องก้มหัวลงไป
ทันใดนั้น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็พลันตัวอ่อนยวบลงกับเก้าอี้ และโบกมือของเขา “ขุนนางกู่ เจ้านั้นฉลาดเหลือลํ้าเฉียบแหลมจริงๆ…เจ้าออกไปได้”
กู่หลี่หนวนเหงื่อเย็นโชกไปทั้งตัว และค่อยๆ ถอยหลังออกไป
“กลับมา” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว
กู่หลี่หนวนขนหัวลุกชูชัน เขาระงับความผวาและเดินกลับเข้ามา จักรพรริดเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างแช่มช้า “คราวนี้ราชครูได้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง และข้ายังมิได้ปูนบําเหน็จรางวัลให้แก่เขา เจ้าคิดว่าข้าควรประทานรางวัลอะไรให้เขาดี”
กู่ลี่หนวนก้มศีรษะ “องค์จักรพรรดิจะให้อะไรเขาได้บ้างล่ะ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่ายศีรษะ “ไม่มีเลย”
กู่ลี่หนวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นประทานสาวงามและเงินทองเป็นรางวัลแก่ราชครูเถิด”
“ความคิดของเจ้าก็เหมือนกับของข้า” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจ “ข้าเพียงแต่เกรงว่าเขาจะปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับที่เคยๆ มาตลอด”
กู่ลี่หนวนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “เกิดเรื่องต่างๆ มากมายในคราวนี้ และหากราชครูฉลาดเฉียบแหลมจริงๆ เขาจะต้องรับรางวัลเหล่านี้ไว้อย่างแน่นอน”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้ม “เจ้าก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่งเหมือนกัน ข้ามิได้หมายจะเตือนเจ้า และเจ้านั้นก็ไม่มีความจําเป็นต้องถูกเตือน ออกไปได้ อ้อ อีกอย่าง อย่าไปตอแยกับดุษฎีบัณฑิตมากนัก เจ้าทําอะไรไม่ได้หรอก อิทธิพลอํานาจของเขาเหนือลํ้าเกินกว่าที่เจ้าจะคิดฝัน ทุกครั้งที่เจ้าหาเรื่องเขา ข้าเห็นแล้วก็อายแทน เจ้านั้นเป็นผู้ที่ข้าวางไว้ในตําแหน่งสําคัญ แม้ว่าทุกคนจะไม่เห็นชอบ ดังนั้นข้าไม่อยากตามเก็บกวาดเรื่องเละตุ้มเป๊ะที่เจ้าก่อ”
กู่ลี่หนวนรู้สึกขายหน้า เขาถอยออกไปพลางครุ่นคิดกับตนเอง ข้าตอแยเขาไม่ได้หรือ ข้าทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ ข้าคือตัวเป้งในฝ่ายมารเลยนะ หนึ่งในตวัตนสลักสำคัญของฝ่ายมาร เหตุใดถึงไม่อาจตอแยกับเด็กเปรตที่มีวรยุทธ์เพียงขั้นห้าธาตุ ข้าอยู่มาตั้ง 500 ปีนี่อยู่เปล่าๆ ปลี้ๆ หรือ…”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกลับไปตั้งใจอ่านฎีกาบนโต๊ะ แต่ทันใดนั้นเขาก็วางปากกาสีชาดลง และตกอยู่ในภวังค์เหม่อ “ข้าได้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้นี้ตอนที่ข้าอายุเข้าวัยกลางคนและพี่น้องของข้าหลายคนก็แก่ตายไปแล้วจากการรออันเนิ่นนาน ดูเหมือนว่ารัชทายาทของข้าคงไม่อยากทําเช่นข้า ที่จะนั่งรอสืบสมบัติอยู่บนเก้าอี้รัชทายาทได้อย่างอดทน…”
ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ฉินมู่รับราชโองการ 3 ครั้งติดๆ กันและตําแหน่งขุนนางของเขาก็ถูกเลื่อนระดับขึ้นเป็นเสนาวังชั้นห้าขั้นสูง เสนาวังนั้นเป็นตําแหน่งปูนบําเหน็จและไม่มีอํานาจในมือ ผู้คนที่อยู่ในตําแหน่งนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิในนาม แต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้พเนจรในยุทธจักร
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิก็ยังคงมีความระแวงสงสัย ในเมื่อฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า จักรพรรดิจึงไม่ให้อิทธิพลอํานาจที่แท้จริงแก่เขา เพื่อป้องกันมิให้ทั้งเหล่าขุนนางและสามัญชนถูกวายร้ายจากลัทธิมารฟ้าเข้าแทรกซึมจนหมด
ฉินมู่โยนราชโองการทั้ง 3 เข้าไปในห้องตะวันตก และตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
เขายังฝึกปรือการเปลี่ยนผ่านอีก 4 อย่างในขั้นห้าธาตุ เมื่อเดินทางไปแดนใต้เพื่อสยบทัพกบฏ ราชครูสันตินิรันดร์ก็ได้ให้ข้อชี้แนะแก่พวกเขามากมาย ดังนั้นเมื่อเฉินหว่านอวิ๋น ซีอวิ๋นเซี่ยง และคนอื่นๆ กลับมาจากแดนใต้ พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่เรือนบันทึกสวรรค์โดยพลัน เพื่อสืบค้นวิชาฝึกปรือสําหรับขั้นห้าธาตุ
ซีอวิ๋นเซี่ยงถึงกับมายืมบัตรประจําตัวดุษฎีบัณฑิตจากฉินมู่เพื่อใช้ผ่านทางเข้าไปยังชั้นที่ 3 ของเรือนบันทึกสวรรค์ และหาอ่านวิชาฝึกปรือเหล่านั้น
ฉินมู่สูบเอาและปลดปล่อยพลังดาวแห่งดาวเสาร์ และร่างของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนผ่านแปลงรูปลักษณ์ ขาของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งและยืดยาวเป็นหางงู ด้วยศีรษะมนุษย์และลําตัวงู เขาก็สูงมากกว่า 7 วา ในเวลาเดียวกันประตูอันปิดสนิท 2 บานก็พลันปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา
ระหว่างการเดินทางไปแดนใต้ เขาได้ฝึกปรือเทวาจําแลงของเทพครองดาวพุธสําเร็จแล้ว และยังสําเร็จเทวาจําแลงของเทพครองดาวอังคาร เทพครองดาวพฤหัสบดี และเทพครองดาวศุกร์ มีเพียงแต่ร่างจําแลงของเทพครองดาวเสาร์ที่เขาพบว่ามันยากแก่การฝึกปรือ ไม่ว่าพลังวัตรของเขาจะเข้มข้นปานใด เขาก็ไม่อาจก่อรูปอันสมบูรณ์แบบของเทพครองดาวเสาร์ได้
แต่คราวนี้เมื่อเขาโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ประตูอันปิดสนิทนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้นแต่อักขระที่จารึกอยู่บนนั้นก็ยังคงลางเลือน ทําให้เขายังอ่านไม่ออก
เทพครองดาวเสาร์นั้นพิเศษกว่าเทพครองดาวธาตุองค์อื่นๆ ในธาตุทั้งห้า วิชาแท้จ้าวครองแดนเสาร์นั้นเป็นผู้นําของธาตุทั้งห้า และฝึกปรือได้ยากจนเหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูที่อยู่เบื้องหลังเทพครองดาวเสาร์
ฉินมู่สามารถจําแลงร่างเป็นรูปลักษณ์ของเทพครองดาวเสาร์ แต่ประตูข้างหลังเขานั้นไม่เคยจะก่อรูปขึ้นมาเป็นตัวตน ข้อความที่เขียนจารึกอยู่บนนั้นก็เลอะเลือนมองไม่ออก
จากฟากฟ้าเบื้องบน มีลําแสงสีดินเหลืองส่องลงมาอย่างต่อเนื่องใส่ร่างการเขา พลังดาวของธาตุดินไหลปรี่เข้ามาและช่วยทําให้เทวาจําแลงของเขามีเสถียรภาพ ฉินมู่ค้นพบว่ารูปลักษณ์ของเทพครองดาวเสาร์ยังมีรายละเอียดอื่นในการจําแลง และทันใดก็ปรากฏเงารูปของม้วนคัมภีร์ในมือของเขา
เมื่อเขามองลงไปยังเงารูปม้วนคัมภีร์ ตัวอักษรที่ปรากฏบนนั้นลางเลือนแต่จากเส้นยึกยืออันแปลกประหลาด ข้อเขียนอันปรากฏบนคัมภีร์น่าจะเป็นจารึกแบบโบราณ มันดูเหมือนพระอาทิตย์ พระจันทร์ แมลง ปลา อันผิดแผกจากตัวอักษรในปัจจุบันสมัย
ฉินมู่รํ่าเรียนกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฒ่าหนวกมาเป็นสิบๆ ปี เฒ่าหนวกนั้นมีความรู้ลึกลํ้าในด้านจารึกโบราณ แต่เขาก็ไม่เคยสอนฉินมู่ถึงตัวอักษรแบบนี้
ฉินมู่หันไปมองที่ข้อความอันจารึกอยู่บนรูปเงาประตู แม้ว่ามันจะยังคงลางเลือนอยู่ แต่เขาก็พอเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงระหว่างอักษรบนประตูและบนม้วนคัมภีร์
“พวกนี้เป็นข้อความประเภทไหนกัน?”
ฉินมู่รู้สึกตงิดๆ ว่ามีบางอย่างแปลกๆ หากว่าทุกๆ ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นห้าธาตุมีประตูแบบนี้และม้วนคัมภีร์แบบนี้ในร่างเทวาจําแลงเทพครองดาวเสาร์แล้วล่ะก็ คงมีผู้ศึกษาอักษรบนคัมภีร์ดังกล่าวจนปรุโปร่งและวิเคราะห์ความนัยของมันอย่างพิสดาร แต่ไฉนราชครูไม่เห็นจะกล่าวถึงมันเลย
หรือว่าเทวาจําแลงเทพครองดาวเสาร์ของคนอื่นๆ ไม่มีประตูและม้วนคัมภีร์แบบนี้
ระหว่างที่ฉินมู่กําลังขบคิดอยู่นั่นเอง เสียงมารอันตํ่าลึกก็ดังขึ้นมาในจิตของเขา “เลิกคิดไปเรื่อยเปื่อย พวกนี้เป็นอักษรแดนใต้พิภพ มดปลวกอย่างเจ้าจะรู้จักอักษรแดนใต้พิภพได้อย่างไร”
ฉินมู่ขนหัวลุก และกล่าวอย่างตระหนกตกใจ “ใคร ใครกันที่พูดอยู่ในร่างของข้า”
“เสแสร้ง?” เสียงนั้นหัวเราะ “เจ้าจะแสร้งทําเป็นไม่รู้ต่อหน้าข้าไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อข้าหยิบยืมดวงตาของเจ้าเพื่อมองดูการต่อสู้ของราชครูสันตินิรันดร์ เจ้า…ผู้อัญเชิญมารแห่งตู้เถียน มิใช่จดจําข้าได้ตั้งแต่ตอนนั้นหรอกหรือ”