ตอนที่ 209 ประตูพสุธากําเนิด
ผู้เฒ่าฟู่เห็นเช่นนั้นจึงกล่าว “เจ้ามีอาคันตุกะ ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้ายังคงต้องไปแวะคืนเงินเหล่านี้กับอีกหลายบ้าน 2 บ้านในนั้นถูกยกเค้าจนเกลี้ยงหมดจด และหากข้าไม่คืนเงินให้พวกเขา พวกเขาก็อาจจะอดตายวันนี้เลยก็ได้”
เฒ่าเป๋และเฒ่าหม่าเดินเข้ามา เฒ่าเป๋มีสีหน้าอิ่มเอิบผ่องใส ขณะที่เฒ่าหม่ามีสีหน้าเรียบนิ่งไม่หวั่นไหวต่อทรัพย์ศฤงคาร
ฉินมู่เชิญพวกเขาเข้ามาแล้วกล่าว “หลายวันมานี้ท่านปู่เป๋กับท่านปู่หม่าไปที่ใด”
เฒ่าหม่ากล่าว “เฒ่าเป๋ตามข้าไปที่หลี่โจว ช่วยบริจาคข้าวของบรรเทาภัยข้าวยากหมากแพง”
เฒ่าเป๋กล่าว “ที่หลี่โจวนั้นพวกกบฏสร้างความวุ่นวายและทําลายล้าง ทําให้ผู้คนอดอยากหิวโหยไปทั่ว เฒ่าหม่ากับข้าเก็บตกเงินทองมาเล็กน้อย จึงเอาเงินพวกนั้นไปช่วยบรรเทาทุพภิกขภัยที่นั่น ถึงจะเห็นว่าพวกเราใส่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา แต่นี่ของปลอมทั้งนั้น! สร้อยทองนี่จริงๆ เป็นม้ แผ่นทองและจี้หยกก็ ล้วนแต่เป็นของปลอม ของจริงถูกเฒ่าหม่าเอาไปจํานําหมดแล้ว เพื่อใช้ซื้อหาข้าวสารและเส้นหมี่ส่งไปหลี่โจว สาวกลัทธิมารฟ้าของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วยเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือทุกๆ คน ดังนั้นเราจึงส่งเงินสําหรับซื้อหาอาหารให้พวกเขาด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น หมอหลวงโหย่วนับว่าได้สร้างบุญกุศล”
เมื่อเขาเอ่ยเรื่องอัญเชิญมาให้ 2 ผู้เฒ่ารับรู้ เฒ่าเป๋ก็ถามด้วยความสนอกสนใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ เจ้าไม่ได้ทําให้ข้าเสียชื่อและโดนราชามารต้มตุ๋นแทนใช่ไหม เจ้าน่าจะให้เฒ่าหม่าจัดการมัน หม่าหวางเฉิงมี 3 ตา และเขาเก่งกาจที่สุดในเรื่องปราบมาร กําราบปีศาจ”
ที่หว่างคิ้วของเฒ่าหม่าพลันแยกออกและเผยลูกกลมเนื้อสีขาว มันกลอกหมุนไปรอบหนึ่งและเผยดวงตาอันเปล่งแสงพุทธธรรมเจิดจ้าไปยังใจกลางหว่างคิ้วของฉินมู่!
เสียงกรีดร้องพลันดังมาจากที่นั่นและมีเสียงตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “หากว่าเจ้าป่นข้าเป็นเถ้าธุลี เจ้าก็จะตายเหมือนกัน!”
ฉินมู่กล่าวทันที “เฒ่าหม่า ข้ากับเขาทําคําสาบานต่อภูติบดี พวกเรามีสัตยาบันภูติบดี!”
“สัตยาบันภูติบดี?”
เฒ่าเป๋และเฒ่าหม่าสะท้านใจอย่างรุนแรง เฒ่าหม่ารีบปิดดวงตาที่ 3 ของเขาทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มู่เอ๋อ เจ้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตยาบันภูติบดีนั้นร้ายกาจเพียงใด เจ้ากล้าให้คําสาบานเช่นนี้กับผู้อื่นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เจ้าทําสัตยาบันด้วยมิใช่มนุษย์ แต่เป็นถึงมารเทวะจากโลกอื่น!”
เฒ่าเป๋ส่ายหน้า “มุทะลุอะไรอย่างนี้! เจ้าล้อเล่นกับชีวิตตนเอง! ทําไมเจ้าถึงต้องทําสัตยาบันภูติบดีกับมัน เจ้าแค่บอกพวกเราสักคํา แล้วพวกเราก็จะกําจัดมันให้!”
ฉินมู่กล่าว “ข้าอยากเรียนภาษาแดนใต้พิภพ”
“ก็ไม่เห็นจําเป็นจะต้องทําสัตยาบันภูติบดีเลยนี่ น่าจะส่งมันให้กับคนแล่เนื้อ ให้คนแล่เนื้อต้อนรับขับสู้มันเป็นอย่างดี จนกว่ามันจะยอมคายทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากปากภายในไม่กี่วัน” เฒ่าเป๋ส่ายหน้า “คนแล่เนื้อชอบเล่นสนุกกับเทพและมาร เขาสามารถทําให้พวกมันปรารถนาความตายภายในสี่ห้าวัน ให้คนแล่เนื้อจัดการสิ หากว่ามันไม่ตาย ข้าจะสอนเจ้าเอง!”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าแดงเรื่อ “สัตยาบันภูติบดีได้ถูกทําขึ้นมาแล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ข้าจะไปเตรียมอัญเชิญมารพวกนั้นมาเดี๋ยวนี้ และคงต้องรบกวนท่านปู่ทั้ง 2 ยื่นมือช่วยเหลือ”
ฉินมู่ไปยังคลังทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เพื่อซื้อหากระดูกจํานวนหนึ่ง เขานํายันต์สมบัติออกมาและเริ่มต้นอัญเชิญมาร
มหาวิทยาลัยจักรวรรดิสอนวิชาและเวทมนตร์ทุกประเภทจากทั่วโลกหล้า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเที่ยงธรรม ฝ่ายมาร หรือฝ่ายพุทธ บางเวทมนตร์จําเป็นต้องใช้กระดูกในการฝึกปรือ ดังนั้นมันจึงมีเก็บไว้ในคลังทรัพย์สิน
การอัญเชิญเป็นไปโดยราบรื่น ไม่นานอักษรรูนบนรูปสลักมารเทวะก็ฉายโชน คราวนี้ไม่มีปรากฏการณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดินเหมือนที่เมืองคลื่นสวรรค์ แสดงให้เห็นว่ามารเทวะที่ถูกอัญเชิญมาคราวนี้มิได้แข็งแกร่งเท่ากับราชามารตู้เถียน
บนท้องฟ้าเหนือมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ สภาพอากาศพลันแปรเปลี่ยนเมื่อพลังเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ไพศาลทะลวงท้องฟ้าและจุติลงมา มันเหมือนกับเสาดําทะมึนที่ทิ่มแทงลงมาในบัณฑิตนิเวศน์!
จังหวะนั้น ครูผู้สอนและบัณฑิตจํานวนนับไม่ถ้วนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิล้วนแต่แตกตื่นตกใจ แม้แต่อธิการบดีก็มิแตกต่างไป ยอดยุทธ์ทั้งหลายในเมืองหลวงล้วนเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความกระวนกระวาย
ในเวลาเดียวกันนั้น ในเรือนพักของฉินมู่ มารที่เขาอัญเชิญมานั้นกําลังอยู่ในระหว่างเดินทางข้ามมิติ เสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะดังมาจากรูปสลักมารเทวะไม้ มันก็ขยายใหญ่ขึ้นและสูงขึ้น ฉินมู่ได้ยินเสียงมารร้ายดังมาฟ่อๆ “โลกมดปลวกอันตํ่าต้อยแห่งนี้ เตรียมตัวรับเพลิงโทสะของมารเทวะไคเหอแห่งตู้เถียน!”
ในตอนนั้นเอง รัศมีพุทธธรรมก็เปล่งมาอย่างเจิดจ้าจากท้องฟ้าเบื้องบนมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พุทธรูปองค์ใหญ่ปางสมาธิพลันปรากฏบนฟากฟ้า และควํ่าฝ่ามือกดลงมา สร้างเสียงแตกเปรี๊ยะๆ ไม่ทันที่สํานึกรู้และพลังเวทมนตร์ของมารเทวะไคเหอจะได้จุติลงมา เขาก็ถูกทําลายย่อยยับไปพร้อมกับเทวรูปไม้นั้น
ครูผู้สอนและบัณฑิตเกือบทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิตื่นตะลึงอีกครั้ง และเมื่อยอดฝีมือกับองครักษ์พิทักษ์เมืองหลวงเห็นเข้า พวกเขาก็สงบใจลง “สมกับเป็นมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ไม่สิ้นไร้ยอดฝีมือ ระดับการฝึกปรือวิชาพุทธขั้นนี้หาได้ยากนักแม้กระทั่งในวัดใหญ่ฟ้าคํารามเอง! มหาวิทยาลัยจักรวรรดิมียอดฝีมือระดับนี้ไม่อาจดูแคลนได้เลยจริงๆ!”
กู่ลี่หนวนนําครูผู้สอนแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจํานวนหนึ่ง เร่งรุดไปยังสถานที่เกิดเหตุ ฉินมู่โผล่หัวออกมาจากเรือนพักและแย้มยิ้ม “ทุกคนมาพอดีเลย เมื่อกี้มีมารเทวะโผล่หัวขึ้นมา แต่เขาถูกซัดจนดับดิ้นด้วยฝีมือผู้เฒ่าที่บ้านข้า”
กู่ลี่หนวนใจเต้นโครมคราม และเขาส่งยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มไป “ใต้เท้าฉินโปรดระวัง อย่าทําลายบัณฑิตนิเวศน์ของพวกเรา เอาล่ะทุกๆ คนแยกย้ายๆ ด้วยผู้เฒ่าที่บ้านของใต้เท้าฉินอยู่ที่นี่ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิปลอดภัยไร้ปัญหาแน่นอน”
ครูผู้สอนทั้งหลายมองหน้ากันและกันด้วยความงงงัน กู่ลี่หนวนนั้นไม่ถูกกับฉินมู่มาโดยตลอด ทําไมคราวนี้เขาถึงปล่อยไปง่ายๆ เสียล่ะ
“เหตุการณ์นี้เห็นชัดๆ อยู่ว่าเป็นใต้เท้าฉินที่อัญเชิญมารออกมา ทําไมกู่ลี่หนวนไม่หาเรื่องเขาล่ะ”
ทุกคนฉงนฉงาย “อัญเชิญมารกลางเมืองหลวงมีโทษถึงตาย! ทําไมอธิการถึงปล่อยไปอย่างนี้”
กู่ลี่หนวนรีบจากไปก่อน เหงื่อเย็นเยียบผุดโผล่ที่หน้าผากเขา “ผู้เฒ่าที่บ้านเขาอยู่ที่นี่ ใช่คนตาบอดที่พลิกแม่นํ้า หรือคนขาเดียวที่ขโมยฝักกระบี่ข้า หรือว่าจะเป็นชายชราดุร้ายที่มีร่างเพียงครึ่งท่อน? มิน่าล่ะ ฝ่าบาทถึงบอกว่าข้ามิอาจตอแยเขา ข้าตอแยเขาไม่ได้จริงๆ! พวกวายร้ายปีศาจเฒ่าพวกนี้ถึงกลับกล้าออกมาจากแดนโบราณวินาศ เมืองหลวงคงไม่สงบสุขอีกต่อไป มารร้ายปีศาจชั่วที่ไหนก็มาเพ่นพ่านที่นี่ได้แล้ว…”
ฉินมู่ปิดประตู ครูผู้สอนทั้งหลายก็แตกตื่น พวกเขารีบเรียกบัณฑิตคนอื่นๆ ออกจากเรือนพักของแต่ละคนและกล่าว “ที่นี่อันตรายร้ายกาจ อย่าอยู่ในบัณฑิตนิเวศน์ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตายโดยไม่รู้ตัว บัณฑิตทั้งหลายออกไปหาที่ซ่อนข้างนอกสัก 2 วันแล้วค่อยกลับมาตอนที่เรื่องสงบแล้ว!”
บัณฑิตทั้งหลายที่เหม่องงหลังจากที่เห็นมารเทวะและพุทธองค์ซึ่งเพิ่งปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ และรู้ว่าบัณฑิตนิเวศน์ไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงจากไปในทันที
“ทําไมเจ้าไม่อัญเชิญมารเทวะตนอื่นๆ อีกล่ะ” เสียงของราชามารตู้เถียนถามในจิตของฉินมู่ ซักไซ้เขา
ฉินมู่ส่ายศีรษะ “ข้าได้กระทําตามคําสาบานแล้วและอัญเชิญบริวารของเจ้ามาที่นี่ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะสอนภาษาแดนใต้พิภพให้แก่ข้า”
ราชามารตู้เถียนอึ้งไปครู่หนึ่ง “แต่ยังมีรูปสลักเหลืออีกตั้ง 4 อัน…”
“ราชามาร คําสาบานของเราเพิ่งเสร็จไปครึ่ง อัญเชิญหนึ่งก็ถือว่าได้อัญเชิญแล้ว เหมือนกับอัญเชิญ 5 ก็คือได้อัญเชิญแล้วเหมือนกัน” ฉินมู่กล่าวเสริม “หากว่าเจ้าไม่ทําตามคําสาบาน ภูติบดีก็จะเอาตัวเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ!”
ราชามารตู้เถียนโกรธเกรี้ยวจนหัวเราะออกมาอย่างรุนแรง “กลิ้งกลอกอะไรอย่างนี้ รอให้ข้าตกหลุมพรางที่จุดนี้ ดีมาก ดีจริงๆ โชคดีที่ข้าก็มีไพ่ตายเหลืออยู่ ข้าจะสอนภาษาแดนใต้พิภพเจ้า แต่เพียงแค่ประโยคเดียว ข้าไม่ได้ระบุนี่ว่าจะสอนภาษาแดนใต้พิภพทั้งหมดเมื่อข้ากล่าวคําสาบาน”
ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องอย่างตะลึง ราชามารตู้เถียนกล่าวอย่างภูมิใจ “ข้าจะบอกเจ้าแค่ถ้อยคําที่อยู่บนประตูนี่ ส่วนถ้อยคําบนม้วนคัมภีร์น่ะหรือ ฝันไปเถอะว่าจะได้เรียนมัน หากว่าเจ้าอยากจะเรียนภาษาแดนใต้พิภพทั้งหมด เจ้าก็ลงไปที่แดนใต้พิภพแล้วถามหาเองสิ!”
ช่วงหลายวันมานี้ ฉินมู่ได้เปลี่ยนร่างเป็นเทวาจําแลงเทพครองดาวเสาร์ และถ้อยคําบนเงารูปของประตูก็ค่อนๆ ชัดเจนขึ้น คําต่างๆ บนประตูได้เผยตัวออกมา และสามารถมองเห็นได้ชัด แต่ถ้อยคําบนคัมภีร์นั้นยังคงลางเลือน
เขาหยั่งเชิง “หากว่าข้าอัญเชิญมารลงรูปสลักอีก 4 อันเช่นกัน เจ้าจะสอนภาษาแดนใต้พิภพที่อยู่บนม้วนคัมภีร์เช่นกันไหม”
“ไม่!” ราชามารตู้เถียนตอบอย่างเด็ดขาด
ฉินมู่ทอดถอนใจแล้วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้น ก็สอนประโยคบนประตูให้ข้า”
ราชามารตู้เถียนเปล่งเสียงแปลกพิกลอันดูเหมือนว่าเปล่งออกมาจากดวงวิญญาณ เสียงแปลกๆ เหล่านั้นดูเหมือนส่งออกมา วงวิญญาณนั้นพันล้านที่ถูกบิดรัดเข้าด้วยกันและเมื่อฉินมู่ลองเปล่งเสียงดูบ้าง เขาก็ตระหนักว่าภาษาประหลาดนี้มิอาจเปล่งออกมาจากปากของมนุษย์ เขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกใจอย่างช่วย ไม่ได้
ราชามารตู้เถียนหัวเราะเยาะ “ภาษาบางภาษาไม่ใช่สิ่งที่มดปลวกอย่างพวกเจ้าจะเรียนรู้ได้ พวกเจ้าเปล่งเสียงออกจากคอ ขณะที่ภาษาแดนใต้พิภพมิได้ถูกเปล่งออกจากคอ…”
เขาพูดยังไม่ทันขาดคํา ฉินมู่ก็พลันเปล่งเสียงอันมิได้ถูกเปล่งออกมาจากคอ เสียงนั้นมาจากดวงวิญญาณของเขา และมันฟังคล้ายคลึงกับเสียงที่ราชามารตู้เถียนเปล่งออกมาเมื่อครู่เป็นอย่างยิ่ง!
ราชามารตู้เถียนอึ้งไปเล็กน้อย และดูระวังระไวมากขึ้นทันที “เด็กปีศาจน้อยนี่ฉลาดเหลือเกิน ถึงกับรู้เองได้ว่ามันเป็นเสียงที่ถูกเปล่งออกมาจากดวงวิญญาณ และมิใช่เสียงที่เปล่งออกมาจากคอ หากว่าเขายังคงเติบโตก้าวหน้าต่อไป ข้าเองก็อาจจะไม่สามารถกําราบเขาได้…ข้าปลิดชีวิตไอ้เด็กปีศาจแสนกลนี่เสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า!”
ฉินมู่ทดลองเปล่งเสียงอันออกมาจากดวงวิญญาณ และผ่านไปสักครู่หนึ่ง เขาก็สามารถเรียนรู้ประโยคนั้นได้อย่างสมบูรณ์ “ประโยคนี้มีความหมายว่าอย่างไรหรือ”
ราชามารตู้เถียนนิ่งไป และฉินมู่กําลังจะถามอีกรอบ ราชามารก็ตอบมาเสียก่อน “ประโยคนี้แปลว่าประตูพสุธากําเนิด”
ฉินมู่ตะลึงเล็กน้อย “ประตูพสุธากําเนิด? เจ้าไม่ได้โกหกข้าแน่นะ?”
ราชามารตู้เถียงสําลักหัวเราะ “โกหกเจ้า? ทําไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วย มันแปลว่าประตุพสุธากําเนิดจริงแท้แน่นอน”
ฉินมู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จู่ๆ ราชามารตู้เถียนก็ใจกว้างเปิดเผย มันต้องมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับประโยคนี้เป็นแน่
สายตาของฉินมู่ไหววูบ และเขาแย้มยิ้ม “ราชามารตู้เถียน เจ้าสามารถออกมาจากร่างข้าได้แล้วตอนนี้ ข้าได้ใช้เหล็กผลึกเหมันต์หลอมสร้างเทวรูปหุ่นพยนต์ให้แก่เจ้า เมื่อเจ้าเข้าไปสิงสถิตในนั้น เจ้าก็จะทําอะไรก็ได้ที่อยากทํา อยากจะอัญเชิญมารมาเท่าไรก็แล้วแต่ใจปรารถนา”
ราชามารตู้เถียนแย้มยิ้ม “เจ้าหมายจะหลอกให้ข้าออกจากร่างเจ้า เพื่อให้หลวงจีนเฒ่าแขนเดียวนั่นสังหารข้าสินะ? ข้าไม่โง่ขนาดนั้นหรอก”
ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าวแก่เฒ่าหม่าและเม่าเป๋ “ท่านปู่ทั้ง 2 ข้าจะช่วยท่านเชื่อมต่ออวัยวะเข้าไปใหม่ในตอนนี้”
เฒ่าหม่ากล่าว “เมื่อเจ้าช่วยพวกเราเชื่อมต่ออวัยวะ มารเทวะตนนี้ก็จะฉวยโอกาสหลบหนีไปเป็นแน่ ทําไมเจ้าไม่ป่นมันให้เป็นผุยผงเสียแต่ตอนนี้ล่ะ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ามิอาจผิดคําพูด ข้าได้สัญญาไว้ว่าจะสร้างเทวรูปหุ่นพยนต์ให้เขาเข้าสิงสถิต ดังนั้นข้าไม่อาจกลืนนํ้าลายตนเอง”
เฒ่าหม่าจึงไม่กล่าวอะไรอีก ฉินมู่นําเตียงออกมาให้เฒ่าหม่าเอนกายนอน จากนั้นเขาจึงนําแขนของเฒ่าหม่าออกมาจากหม้อเคี่ยวยา และช่วยกลับไปใส่ร่างของเขา
เขาวุ่นวายอยู่กับการเชื่อมต่ออวัยวะ และทันใดนั้นก็มีประกายไฟฟ้าพุ่งวาบออกจากใจกลางหว่างคิ้วของเขาลงไปตกบนเทวรูป 4 เศียร 8 กรนั้น
เฒ่าเป๋เลิกคิ้วและยิ้มแฉ่งให้แก่เขา “ราชามารที่น่ารําคาญตนนี้ ข้าให้โอกาสเจ้าวิ่งหนีไป 800 ลี้ก่อนได้เลย”
ราชามารตู้เถียนเข้าควบคุมเทวรูปและพบว่าเขาสามารถขยับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เขาจึงวิ่งตะบึงออกไปทันที
แต่พอเขาวิ่งออกไปจากลานบ้านของฉินมู่นั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงแกรกหลังจากที่ก้าวเท้าออกไปได้ 10 กว่าก้าว และ 2 ข้อต่อที่ขาของเขาพลันติดขัด
เสียงแกรกๆ ดังมาจากข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างของเขา อันมีเสียงเหมือนกับกุญแจจํานวนมากยึดติดกันอย่างแน่นสนิท แขนทั้ง 8 ของราชามารตู้เถียนชูขึ้นสูงในอากาศ ขาของเขาข้างหนึ่งถูกยึดให้ชูขึ้นฟ้าเอาลงไม่ได้ ทั้งร่างของเขาแข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อน
“ไอ้ลูกเต่าหลานเต่า เจ้าหลอกข้า!” เสียงอันว้าวุ่นและโมโหจนแทบหายใจไม่ออกดังมาจากเทวรูปนั้น ด่าทอมา
ฮู่หลิงเอ๋อโผล่หัวออกมาจากลานบ้านฉินมู่และเหลือบแล เทวรูปมารที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่แวบหนึ่ง “ไม่ใช่คุณชายบอกเจ้าแล้วงั้นหรือ เขาจะสร้างเทวรูปหุ่นพยนต์ให้เจ้า เจ้าเห็นไหมล่ะ เจ้าโดนกลไกในหุ่นพยนต์หลอกเอาแทนต่างหาก? จริงสิ เจ้าคิดว่าจริงๆ แล้วคุณชายคือจิ้งจอกตัวผู้ที่ฝึกปรือจนสําเร็จเป็นผู้วิเศษหรือเปล่า ข้าคิดว่าเขาก็คล้ายๆ นะ…”