ตอนที่ 210 ยอมรับว่าพ่ายมิใช่ไร้สาเหตุ
ฉินมู่เชื่อมต่อแขนให้เฒ่าหม่า และขาให้เฒ่าเป๋ จากนั้นวางผู้เฒ่าทั้ง 2 ลงในหม้อยา เขาใส่ยาชุดใหญ่เต็มๆ เพื่อต้มทั้ง 2 คนไว้ และขอให้ฮู่หลิงเอ๋อช่วยรักษาความแรงไฟข้างๆ หม้อต้ม
เขาเดินออกจากห้องและเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมิด เขาจึงเดินต่อไปออกจากลานบ้านและพบว่าไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยข้างนอก พวกเขาน่าจะหลบหนีเภทภัยและเหลือแต่ราชามารตู้เถียนที่ยังคงยืนอยู่ในถนนกลางบัณฑิตนิเวศน์ไม่อาจขยับเขยื้อน
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเปิดช่องตรงท้องเทวรูป ข้างในนั้นมีฟันเฟืองอันละเอียดประณีตหลายร้อยฟันเฟือง เขายื่นมือเข้าไปเพื่อหมุนเฟืองหนึ่งสองสามที ราชามารตู้เถียนพลันรู้สึกได้ว่าขาของเขาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง และรีบวิ่งหนีไปทันที แต่เพียงสามสี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงแกรกอีกครั้งจากทั่วทั้งร่าง และข้อต่อเขาก็ติดขัดอีกหน
“มังกรใหญ่ ลากเขากลับมาในลานบ้าน” ฉินมู่บอกกิเลนมังกรข้างนอกนั่น
กิเลนมังกรกวัดแกว่งหางไปมา และย้ายพุงอันอุ้ยอ้ายของตนไปข้างหน้า งับเข้าขาข้างหนึ่งของราชามารตู้เถียน จากนั้นก็ลากเขามาตามพื้นแล้วโยนไว้ที่มุมหนึ่งของลานบ้านเสียงดังโคล้งเคล้ง
“ไอ้หลานเต๋า แน่จริงก็มาสู้กับข้าสิ!” ราชามารตู้เถียนด่าทอไม่หยุดปาก “เจ้ากล้าหาญตรงไหนที่ยึดข้าเอาไว้อย่างนี้”
ฉินมู่ทําหูทวนลมกับเสียงร้องของเขาและผสมสมุนไพรตรงหน้าต่อ ประกายสายฟ้าพลันปรากฏตัวร่างเทวรูปเมื่อราชามารตู้เถียนพยายามจะบินหนีไป แต่ทันใดนั้นอักษรรูนจํานวนมากก็พลันเปล่งแสงขึ้นมา พวกมันเจิดจ้าอย่างยิ่งและผสานผสมพลังสายฟ้าลงไปในเทวรูป
ราชามารตู้เถียนสบถหยาบๆ คายๆ อีกครั้ง เทวรูปนี้ถูกจารึกไว้ด้วยอักษรรูนผนึกของวังทองโหรวหลัน ฉินมู่เรียนรู้มันจากคลังสมบัติที่นั่นและลอบจัดวางมันไว้ในเทวรูประหว่างที่หลอมสร้างมัน
ฉินมู่กังวลว่าราชามารจะยังคงหลบหนีไปได้หลังจากที่เข้าสถิตในเทวรูปแล้ว เขาจึงใส่อักษรรูนผนึกหลากหลายรูปแบบแถมเข้าไปในนั้น
ฉินมู่ผสมสมุนไพรเสร็จสิ้นและมองไปยังราชามารตู้เถียนที่มุมลานบ้านด้วยสายตาจริงจัง “เจ้าสอนทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับภาษาแดนใต้พิภพให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้า”
“ถ้าข้าเชื่อเจ้าอีก ข้าก็เป็นไอ้งั่ง!” ราชามารตู้เถียนย้อนอย่างเดือดดาล “อย่าคิดฝันว่าจะหลอกข้าอีกได้!”
ฉินมู่เผยสีหน้าสัตย์ซื่อและเผยยิ้มจริงใจ “พวกเราสามารถลงนามในสัตยาบันภูติบดีอีกได้นะ เจ้าจะได้วางใจ”
“วางใจพ่อเจ้าสิ!”
“อ้าวๆ ทําไมราชามารผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าถึงพูดจาหยาบคายแบบนี้”
“หยาบคายพ่อเจ้าสิ! อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อคําพูดเจ้าอีก หากว่าข้าเชื่อเจ้า ข้าก็เป็นหลานเต่า!”
…
เฒ่าเป๋และเฒ่าหม่าเอนกายอยู่ในหม้อยาอย่างสําราญอารมณ์ ระหว่างที่นํ้าต้มยาเดือดปุดๆ เป็นฟอง
“จิ้งจอกน้อย เร่งไฟหน่อย” เฒ่าเป๋หรี่ตาและมองดูสร้อยทองเส้นใหญ่ของเขาที่ลอยอยู่บน
ผิวนํ้า จากนั้นเขาจึงเหลียวคอไปดูราชามารตู้เถียนที่กําลังประท้วงก่อนจะหัวเราะยกใหญ่ “เจ้าเด็กดื้อมู่เอ๋อนี่เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ข้าคิดว่าข้ากับเจ้าจะต้องลงมือด้วยตนเองเพื่อกําจัดราชามารที่น่ารําคาญตนนี้เสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะจัดการมันได้ด้วยตนเอง ตอนนี้ข้าชักจะกังวลนิดหน่อย แต่ไม่ใช่กังวลเขา แต่กังวลแทนผู้คนที่เป็นศัตรูกับเขา มาคิดๆ ดูแล้ว ใครกันนะที่เขาเรียนรู้ตัวอย่างร้ายๆ นี่มา กลอกกลิ้งมากเล่ห์อะไรอย่างนี้”
เฒ่าหม่าจ้องหน้าเฒ่าเป๋ สร้องทองเส้นใหญ่ของเขาก็ลอยอยู่บนนํ้าเช่นกัน ทองที่ชุบเอาไว้แทบจะลอกออกจากการต้ม
เฒ่าเป๋ฉงนฉงาย “ในหมู่บ้านเรามีแต่ผู้คนดีๆ มีคุณธรรม เจ้าเด็กนี่ไปเรียนรู้ตัวอย่างแย่ๆ มาจากไหนนะ หรือว่าเขาเริ่มเหลวแหลกหลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้าน?”
เฒ่าหม่ายังคงจ้องหน้าเขา
เฒ่าเป๋ยิ้ม “เจ้าจะมองหน้าข้าให้ได้อะไรขึ้นมา มีอะไรติดหน้าข้าอยู่งั้นรึ จ้องข้าแบบนี้ข้าขนหัวลุกไปหมดแล้ว เฒ่าหม่า หรือว่าในอดีตเจ้าเคยเป็นตํารวจ? ทุกครั้งที่เจ้ามองมา ข้ารู้สึกขนลุกซู่ซ่า”
เฒ่าหม่าละสายตาไปและกล่าวด้วยนํ้าเสียงไร้อารมณ์ “ข้าเคยเป็นตํารวจอยู่หลายสิบปี และภายหลังก็กินตําแหน่งขุนนางในศาลยุติธรรม หลังจากข้าคลี่คลายคดีใหญ่และกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง วัดใหญ่ฟ้าคํารามก็มาหาข้าและข้าก็เลยเลิกเป็นตํารวจ”
“มิน่าล่ะ ข้าถึงรู้สึกกระสับกระส่ายทุกครั้งเมื่อเจ้ามองข้า พวกหลวงจีนวัดใหญ่ฟ้าคํารามนี่ยุ่มย่ามชีวิตคนอื่นเสียจริง ถึงกับตามตัวเจ้าอีกแม้ว่าเจ้าจะกลับสู่ชีวิตฆราวาสแล้ว”
ทั้งสองคนนั้นถูกต้มอยู่ตลอดทั้งคืนและระหว่างกระบวนการนั้น ฉินมู่เปลี่ยนตัวยาสามสี่ครั้ง เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋ก็ออกมาจากหม้อและอาบนํ้าแต่งตัว ฉินมู่เตรียมอาหารเช้าไว้รอท่าแล้ว เมื่อพวกเขานั่งลงรับประทานอาหาร ฮู่หลิงเอ๋อก็วิ่งเข้ามาช่วยฉินมู่ล้างถ้วยชาม ส่วนเฒ่าเป๋ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “มู่เอ๋อ เฒ่าหม่าและข้าคงไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว พวกเรากําลังจะกลับละ”
ฉินมู่รีบเช็ดมือให้แห้งแล้วกล่าว “ข้าจะไปส่งท่านปู่ทั้ง 2”
เฒ่าหม่าโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอกเฒ่าเป๋และข้าวางใจเมื่อเห็นเจ้าอยู่ดีกินดี พวกเราล้วนแต่ชราแล้ว ส่วนเจ้านั้นก็สามารถดูแลตนเองได้ดี”
เฒ่าเป๋ยังคงพิงอยู่บนไม้คํ้ายันของตนและมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าหม่าจะมาซาบซึ้งอีกแล้ว จริงสิ มาส่งพวกเรากลับด้วย หากว่าเจ้าไม่ไปส่ง เขาก็จะเศร้าไปอีกสองถึงสามวันเลยทีเดียว”
ฉินมู่ติดตามพวกเขาและส่งไปตลอดทางลงภูเขา “ท่านปู่หม่า ท่านปู่เป๋ แขนและขาของท่านเพิ่งเชื่อมต่อกลับไป ดังนั้นท่านไม่อาจใช้กําลังผ่านแขนขาได้มากนัก พวกท่านจะต้องถนอมมันอีกปีสองปี ฝึกใช้มันบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่มีอันตรายซ่อนเร้นหลงเหลืออยู่”
เฒ่าหม่าพยักหน้า
เฒ่าเป๋ถอนหายใจ “ยี่สิบสามสิบปีมานี้ ข้าชินแล้วกับการมีขาแค่ข้างเดียว ตอนนี้ข้ากลายเป็นไม่ค่อยคุ้นชินที่มีขางอกขึ้นมาอีกข้าง”
เฒ่าหม่ารู้สึกเช่นเดียวกัน “หลังจากพิการมาครึ่งค่อนชีวิต ข้ารู้สึกมาตลอดว่าข้าไม่จําเป็นต้องใช้แขนนี้ที่งอกกลับคืนมา”
ฉินมู่ส่งเขาออกไปจากประตูภูเขา เฒ่าเป๋ก็หันกลับมาส่งยิ้ม “กลับไปเถอะ เจ้าไม่ต้องส่งพวกเราไกลกว่านี้แล้ว”
เฒ่าหม่าโบกมือ “อย่าลืมกลับมาบ้านในวันปีใหม่ด้วยล่ะ”
“ข้าจะกลับไปแน่ๆ!” ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งเครียดและส่ง พวกเขาจากไป
เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋เดินออกจากเมืองหลวง เฒ่าเป๋ถอนใจอย่างสะทกสะท้อน “ทารกน้อยที่พวกเราเก็บได้ในคราวนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วในที่สุด แต่ตอนนั้นเราก็เกือบจะส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยง”
เฒ่าหม่าผงกหัว “เกือบไปแล้วจริงๆ โชคดีที่เจ้าขโมยเขากลับมา”
“ด้วยการสอนสั่งของพวกเรา เด็กร้ายกาจนี้ก็ไม่ใจอ่อนเกินไปนัก ข้านั้นคอยแต่กังวลว่าเขาจะถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบข้างนอก แต่ตอนนี้ข้าสามารถกลับหมู่บ้านไปได้โดยวางใจ…”
เมื่อเฒ่าเป๋กล่าว เขาก็พลันชะงักเท้า เฒ่าหม่าก็หยุดยั้งลงเช่นกัน สองผู้เฒ่ามองไปยังแม่นํ้าโคลนเบื้องหน้าพวกเขา บนผิวแม่นํ้า ชายกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนนั้น ไม่ว่ากระแสนํ้าใต้เท้าเขาจะเชี่ยวกรากปานใด เขาก็ไม่ขยับไปจากที่เดิมแม้แต่นิดเดียว
เฒ่าเป๋เลิกคิ้วและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ราชครู อาการบาดเจ็บเจ้าหายดีแล้วหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์พ์ยักหน้า “อาการบาดเจ็บข้าหายแล้ว แล้วพวกท่านทั้ง 2 ล่ะ?”
เฒ่าหม่าบิดไหล่ไปมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเรายังคงพอสู้รบกับผู้คนได้”
เฒ่าเป๋เขย่าขาของเขาแล้วถอนใจ “มู่เอ๋อบอกข้ามิให้ใช้กําลังมากเกินไปนัก แต่พวกเราจําเป็นต้องสู้ ข้ายังสามารถใช้ขาข้างหนึ่งได้ ราชครูเจ้านั้นเก็บสีหน้าอาการได้เก่งจริงๆ ในวันนั้นเจ้ารู้ว่าเป็นพวกเราที่อยู่ในห้อง และรู้ว่าข้าคือคนที่ขโมยของของเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงเลือกที่จะทําเป็นไม่รู้แล้วจากไป อดกลั้นเอาไว้จนถึงวันนี้ นับว่าไม่ง่ายดายเลย”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ในตอนนั้นอาการบาดเจ็บข้ายังไม่หายดี ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอย ผู้อาวุโสทั้ง 2 ท่านมิใช่คนชั่วร้าย แม้ว่าเมื่อท่านออกโจรกรรมไปทั่ว แต่ก็เพื่อใช้บรรเทาทุพภิกขภัย ข้ามิอยากลงมือกับท่าน ตราบเท่าที่ท่านส่งห่วงหยกจักรพรรดิมา ข้าก็จะปล่อยท่านไป พวกเราไม่จําเป็นต้องทําลายความสัมพันธ์อันดี”
“ห่วงหยกจักรพรรดิ?” เฒ่าเป๋และเฒ่าหม่าหันไปมองหน้ากันแล้วเผยอยิ้ม “ข้าได้ศึกษาของเล่นชิ้นนั้นที่เรียกว่าห่วงหยกจักรพรรดิมาตลอด 20 กว่าปี แต่ไม่มีมรรคผลใดๆ ดังนั้นข้าจะคืนให้เจ้าก็ไม่มีปัญหา หากแต่ว่าข้าได้กํานัลมันให้แก่ผู้อื่นแล้วน่ะสิ”
“กํานัลให้แก่ผู้อื่น?”
เหนือศีรษะราชครูสันตินิรันดร์พลันปรากฏหมู่ดาว ดวงดาวเหล่านั้นก่อรูปเป็นมหานทีดวงดาวอันเจิดจรัส เห็นได้ชัดว่าจิตใจภายในของเขาไม่สงบอีกต่อไป “ใครกันที่ท่านกํานัลให้เขา”
“เสนาวังคนหนึ่งของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เจ้า” เฒ่าเป๋หัวเราะ คิกคักแล้วจากไปพร้อมกับเฒ่าหม่า
“เสนาวัง?” ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปครู่หนึ่งและมองตามแผ่นหลังของคน 2 คนนั้น เขามิได้ลงมือจู่โจมแต่กล่าวอย่างแผ่วเบา “คนผู้นั้นได้รับห่วงหยกจักรพรรดิเป็นกํานัล? เขากล้ารับมันไว้ด้วยหรือ หรือว่าเขาวางแผนจะก่อกบฏ? ห่วงหยกจักรพรรดิเป็นสุดยอดสมบัติที่เทพเจ้าประทานให้กับปฐมจักรพรรดิ และมันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอํานาจจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้น รํ่าลือกันว่าในนั้นมีความลับซ่อนเอาไว้…ข้าควรตามไปเรียกคืนจากคนผู้นั้นไหม”
เขายืนอยู่ที่ผิวแม่นํ้าและพึมพํากับตนเองอยู่สักพักก่อนที่จะส่ายศีรษะและหันกายกลับไป “อํานาจจักรพรรดิมิใช่สิ่งที่ถูกกําหนดโดยวัตถุ ต่อให้วัตถุนั้นเป็นห่วงหยกจักรพรรดิก็เถอะ อํานาจจักรพรรดิมาจากการสนับสนุนของปวงชนและมิได้ข้องเกี่ยวอะไรกับห่วงหยกจักรพรรดิ”
ในบัณฑิตนิเวศน์ ฉินมู่เทกากยาทั้งหลายทิ้งไป และขัดล้างหม้อเคี่ยวยาและเตาไฟหลอมยา หลังจากขัดถูพวกมันสี่ห้าทีจนไม่หลงเหลือรอยเปื้อน เขาก็เอาไปวางตากแดดไว้ให้มันแห้ง
ฮู่หลิงเอ๋อช่วยเขาขัดล้างสิ่งต่างๆ และพลันเหลือบไปเห็นห่วงหยกหนึ่งบนโต๊ะและอุทานด้วยความแตกตื่น “คุณชาย ผู้เฒ่าทั้ง 2 ทิ้งของเอาไว้แน่ะ!”
ฉินมู่ขยับเขาไปดูและเห็นรอยจารึกบนห่วงหยกนั้นอันดูคุ้นตา “นี่มัน…ห่วงหยกจักรพรรดิของท่านปู่เป๋ ท่านปู่เป๋ต้องทิ้งมันไว้ที่นี่แน่ เมื่อข้าออกไปในความมืดพร้อมๆ กับผู้ใหญ่บ้าน ท่านปู่เป๋ได้ห้อยห่วงหยกนี้ไว้บนคอขอข้า แต่ข้าไม่ได้ใช้มัน ทําไมท่านปู่เป๋ถึงทิ้งมันไว้ที่นี่ ปกติแล้วมีแต่เขาที่จะหยิบฉวยข้าวของคนอื่น ไม่เคยทิ้งของตัวเองเอาไว้…”
เขาส่ายหัวแล้วผูกห่วงหยกจักรพรรดิเข้ากับจี้หยกของตน พลางครุ่นคิดในใจ “ข้าค่อยคืนให้เขาตอนที่กลับหมู่บ้าน”
จากนั้น เขาก็ลากราชามารตู้เถียนออกมาและเปิดช่องท้องของเทวรูป เขาจัดรูปแบบของฟันเฟืองภายในเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “ราชามาร ตอนนี้เจ้าขยับได้แล้ว”
ราชามารตู้เถียนยิ้มหยัน “เจ้าเล่นตลกกับข้าอีกล่ะสิ ข้าไม่ขยับ เด็กร้ายกาจ รอร่างจริงของข้าจุติมาก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตเหมือนอยู่ในนรก!”
ฮู่หลิงเอ๋อยืนขึ้นและเท้าอุ้งเท้านางไว้ที่สะเอว “คุณชายของข้ามีวิธีเป็นร้อยที่จะทําให้เจ้าตกนรกทั้งเป็น!”
ฉินมู่กล่าวอย่างมีความนัย “หลิงเอ๋อ นั่นน้อยไปไหม 100 นี่จะนับว่าพอได้อย่างไร”
ราชามารตู้เถียนหัวเราะในคอ “เด็กเปรต จะวางท่าเขื่องโขอย่างไรก็ตามใจเจ้า หากว่าข้ากลัวกับเรื่องแค่นี้ คงนับว่าที่ข้าฝึกปรือมาหลายหมื่นปีนั้นเสียเปล่า”
ฉินมู่แนะนําเขา “เราต้องทําแบบนั้นกันด้วยหรือ พวกเราล้วนมาจากฝ่ายมาร ในเมื่อข้าก็เป็นฝ่ายมารเหมือนกัน เจ้าก็แค่สอนภาษาแดนใต้พิภพให้ข้า แล้วข้าก็จะปล่อยเจ้าไป นี่ไม่สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายหรือ”
“ถุย!” ราชามารตู้เถียนถ่มนํ้าลาย
ฉินมู่ฉีกยิ้มเย้ย “ข้าจะส่งเจ้าไปโถงหยางพิสุทธิ์ให้หลวงจีนฝ่าชิงสวดพระสูตรให้เจ้าฟังทุกๆ วัน หลวงจีนฝ่าชิงชมชอบการชําระมารให้กลับใจ เขาจะต้องยินดีเป็นล้นพ้นแน่ๆ”
ราชามารตู้เถียนหัวเราะหยัน “ฮี่ๆ ข้าคือมารที่สําเร็จเป็นเทพ จะชําระให้ข้ากลับใจได้ด้วยของแค่นั้น? ให้หลวงจีนฝ่าชิงมาสิ แล้วคอยดูว่าเขาจะชําระข้าหรือว่าข้าจะเปลี่ยนเขาให้เป็นมารแทน!”
ฉินมู่ลังเล ราชามารตู้เถียนนั้นเปี่ยมด้วยกลิ่นอายปีศาจ หากว่าหลวงจีนฝ่าชิงมาชําระใจเขา หลวงจีนอาจจะกลายเป็นมารแทน
“คุณชาย แล้วทําไมเขาถึงไม่เปลี่ยนพวกเราให้เป็นมารซะล่ะ” ฮู่หลิงเอ๋องุนงง
ราชามารตู้เถียนตะโกนด้วยความแค้นอัดอก “เจ้าปีศาจ จิ้งจอกน้อย พวกเจ้ายังต้องให้ข้าเปลี่ยนเป็นมารอีกรึ! พวกเจ้ามันเป็นมารร้ายมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว! ในคราวนี้ข้ายอมรับว่าที่พ่าย มิใช่ไร้สาเหตุ รีบจบๆ ชีวิตข้าไปเสีย!”
ฉินมู่ส่ายหน้าและกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้าไม่ใช่คนใจทมิฬอย่างนั้น หลิงเอ๋อ ให้เขาติดตามเจ้าล่ะกัน ข้าจะสอนวิธีควบคุมกลไกหุ่นพยนต์ให้กับเจ้า”