ตอนที่ 215 สังหารในตลาดคํ่าคืน
เจ้านครเว่ยเห็นฉินมู่คืนร่างมนุษย์และรู้สึกพิศวงสงสัย เขามองไปทางเคหาสน์ราชครูและคิดในใจ ราชครู เจ้าคนเย็นชานั่นก็ดูเหมือนจะเคยฝึกวิชาที่คล้ายๆ กันนี้ ข้าจำได้ว่าเขาเคยแสดงร่าง
แบบนี้มาก่อน…แปลกจริง ราชครูเจ้าเด็กเฒ่านี่ ไม่เห็นจะออกมาดูความุ่นนุ่วายเลย หรือว่าเขาโดนบรรดานางกำนัลทงั้หลายที่จักรพรรดิประทานให้สูบพลังหยางจนแห้ง?
“ผานกงสั่วเป็นศิษย์วังทองโหรวหลันจริงๆ หรือ” ซุ่นหนันถัวลังเลเล็กน้อย วังทองโหรวหลันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งนอกกําแพงใหญ่และผู้คนในนั้นเรียกตนเองว่าหมอผี
พวกเขาฝึกวิชาชั่วร้ายและใช้วิญญาณในการฝึกวิทยายุทธ์ รื้อสร้างร่างของตนใหม่เป็นรูปลักษณ์อันมนุษย์ก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง
สิ่งที่ฉินมู่ช่วงใช้เมื่อครู่คือเทวาจําแลง ในบรรดาผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ถึงขั้นห้าธาตุ มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถ
ฝึกปรือเทวาจําแลงได้ ราชครูสันตินิรันดร์ ปีศาจอัจฉริยะนี้ ยังอุตส่าห์มาบ่นว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิไม่สอนความรู้อันลึกลํ้า แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากสอนแต่เป็นเพราะว่ามีไม่กี่คนในเหล่าครูผู้สอนที่สามารถฝึกฝนร่างเทวาจําแลงในขั้นห้าธาตุสําเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น เทวาจําแลงของฉินมู่นั้นก็วิเศษกว่าธรรมดาอีกด้วย แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ยังคงตกตะลึงเมื่อเห็นว่าทั้งกายเนื้อและปราณ ชีวิตของเขาจําแลงเป็นเทพครองดาวได้ ทั้งยังมีสัญญาณว่าจิตและดวงวิญญาณของเขาก็กําลังจะจําแลงตามไปด้วย นี่ทําให้รัศมีของเขาที่แผ่ออกมาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
อย่างเช่น ดวงตาวัวที่งอกเงยอยู่กลางหน้าผากฉินมู่เมื่อเขาใช้ร่างเทพไฟเมื่อครู่ ริ้วเส้นอัคคีพุ่งออกจากดวงตานั้นและฟันคอหลวงจีนหยวนเยว่ขาดไป นี่คือทักษะเทวะอันก่อขึ้นมาจากการจําแลงไปของกายเนื้อ ปราณชีวิต ดวงวิญญาณและจิตอันเข้าใกล้เขตแดนเทวะ
หากแม้ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในขั้นห้าธาตุฝึกฝนเทวาจําแลงขึ้นมาจนได้ พวกเขาก็ยังคงแตกต่างจากเทวาจําแลงฉินมู่ คนเหล่านั้นมิอาจขับเคลื่อนกระบวนท่าอย่างที่ฉินมู่ทํา
หากว่าแม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่เข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่ซุ่นหนันถัว รัชทายาท และคนอื่นๆ รอบๆ ไม่อาจจดจําได้ว่ามันคืออะไร พวกเขาคิดง่ายๆ ว่ามันคือปีศาจจําแลงของวังทองโหรวหลันและอุทานด้วยความทึ่งในฤทธิ์เดชอันร้ายกาจของคัมภีร์หมอผีอาวุโสโหรวหลัน
“ใต้เท้าซุ่น ศิษย์ของท่านถูกสังหารไปตั้งมากเจ้าไม่ออกไปท้าสู้เขาด้วยตนเองบ้างหรือ” เจ้านครเว่ยกล่าวพลางส่ายหัว “เจ้าน่าจะออกไปท้าสู้ด้วยตนเองและกําราบคนเถื่อนนี้เสีย นั่นแหละถึงจะสามารถรักษาชื่อเสียงของวัดหนันถัวของเจ้าได้! เหล่าศิษย์วัดหนันถัวของเจ้านั้นมีแต่ไม่ได้เรื่อง คนตะกี้ก็เพิ่งใช้ทักษะเทวะของขั้นหกทิศแต่ก็ยังถูกตัดหัวด้วยนํ้ามือของคู่ต่อสู้ในขั้นห้าธาตุ นี่มันน่าอับอายจริงๆ”
ซุ่นหนันถัวสายตาวูบไหว แต่เขาก็เมินเฉยเสีย เขารู้ว่าปากกว้างๆ ของเจ้านครเว่ยสามารถกลืนท้องฟ้าได้ทั้งผืน ดังนั้นหากว่าเขาตอบกลับไป อีกฝ่ายก็ต้องมีวิธีชักแม่นํ้าทั้งหน้ามาบีบให้เขาออกไปท้าสู้กับฉินมู่จนได้
แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เขามิอาจทําได้เด็ดขาด เขาไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถเอาชนะคนเถื่อนนั้นในขั้นวรยุทธ์เดียวกันแม้ว่าเขาจะได้ฝึกฝนทั้งหนึ่งพันมุทราในวิชาสมาธิสมบัติวิญญาณไม่ไหวติงถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ดูท่าว่ายากนักที่วิชาสมาธิสมบัติวิญญาณไม่ไหวติงจะเอาชนะคนเถื่อนนี้ได้
และหากเขาขับเคลื่อนวรยุทธ์ขั้นหกทิศของเขา ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาเจ้านครเว่ยไปได้ และหากว่าหมอนั่นเริ่มปากโป้งออกมา นั่นก็จะยิ่งน่าอับอายเข้าไปใหญ่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้เจ้านครเว่ยจะต้องเอาไปป่าวประกาศเป็นแน่
รัชทายาทสันตินิรันดร์กล่าวด้วยเสียงเบา “บรมราชครู ข้ามีนักสู้ฝีมือดีอยู่หลายคน บางทีพวกเขาอาจจะช่วยเจ้าปราบคนเถื่อนนี้ได้…”
ซุ่นหนันถัวส่ายหัว “ข้ากําลังคิดว่าผู้พิทักษ์ของคนเถื่อนนี้อยู่ที่ไหน”
“ผู้พิทักษ์?” รัชทายาทสันตินิรันดร์ต์ะลึงเล็กน้อย
ซุ่นหนันถัวมองไปรอบๆ แล้วกล่าว “องค์รัชทายาทอาจจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ทุกๆ คนที่ไปขวางประตูต้องมีผู้พิทักษ์อยู่ด้วย นี่เพื่อป้องกันพวกเขาถูกลอบสังหาร ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสํานักเต๋าไปขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ตันหยางจื่อเป็นผู้พิทักษ์ของเต๋าจื่อ เมื่อวัดใหญ่ฟ้าคํารามไปขวางประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงได้ทําหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของโฝจื่อโฝซิ่น และการที่คนเถื่อนนี้กล้าดีอย่างสุดๆ ย่อมต้องมีผู้พิทักษ์จากวังทองโหรวหลันอยู่ใกล้ๆ บุคคลผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิเป็นแน่! ต่อเมื่อพวกเราหาตัวเขาพบและเอาชนะเขาได้ เราจึงจะสามารถกู้หน้าของวัดหนันถัวกลับมา”
เขารู้ว่าจากนิสัยใจคอของเขาที่ชิงชังคนชั่วประดุจศัตรูคู่อาฆาตได้ล่วงเกินเหล่าขุนนางจํานวนมากทุกๆ วัน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่ศิษย์วัดหนันถัวก่อเรื่องฉาวโฉ่ไปทั่ว ผู้คนมากหลายในเมืองจึงรออย่างกระเหี้ยนกระหือรือว่าเขาจะทําอะไรโง่ๆ เมื่อไหร่
หากว่าเขาอยากจะสยบเรื่องนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการตามหาผู้พิทักษ์ของคนที่มาหาเรื่อง และสังหารเขาอย่างโอ่อ่าผ่าเผย ส่วนเด็กหนุ่มนี่จะเป็นหรือตายเขาไม่ได้ใส่ใจ
ทันใดนั้น ซุ่นหนันถัวก็ก้าวไปยังเด็กหนุ่มนั้นและเหล่าหลวงจีนแห่งวัดหนันถัวพลันรู้สึกประหลาดใจแกมยินดี พวกเขาหลีกสร้างทางเดินให้
ฉินมู่ยืนอยู่นอกวังข้างหนันถัว ร่างไร้วิญญาณรอบกายของเขาถูกลากออกไปที่อื่นหมดแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ มีหลวงจีนมากกว่า 10 รูปที่ตกตายในนํ้ามือของเขา และบรรดาหลวงจีนวัดหนันถัวก็ถลึงตาจ้องเขาด้วยความเดือดดาล แต่พวกนั้นก็ไม่กล้าลงมือ
เมื่อเขาพบว่าซุ่นหนันถัวก้าวเข้ามาด้วยตนเอง เขาก็รู้สึกลุ้นขึ้นมาในใจ
ซุ่นหนันถัวเงยศีรษะขึ้นและมองไปเจดีย์พันธงด้วยสายตาวูบไหว “เจ้าไปกินดีเสือดีหมีมาจากไหนถึงกล้าเอาสมบัติสืบทอดของวัดหนันถัวข้า อันวังทองโหรวหลันขโมยไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน มาขวางประตูวัดหนันถัวอีกครั้ง”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้ามาที่นี่คราวนี้เพื่อขายสมบัติชิ้นนี้แก่ผู้มีวาสนา มิใช่มาขวางประตูวัดหนันถัวของเจ้า หากว่าคนอื่นใดหมายจะได้เจดีย์พันธงนี้ไว้ในครอบครอง พวกเขาก็สามารถเข้ามาท้าสู้กับข้าได้เช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีวาสนาผูกพัน ก็ไม่มีปัญหาหากข้าจะยกให้กับพวกเขา ไต้ซือผู้นี้ หากว่าเจ้ามี ความสามารถ เจ้าก็เอาชนะข้าสิแล้วนําเจดีย์พันธงไป หากว่าเจ้าไร้ความสามารถ ก็อย่ารบกวนธุระของข้า”
รัชทายาทสันตินิรันดร์ก้าวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้ากล่าวว่าหมายจะขายสมบัตินี้ หากว่าเจ้าจะขายมัน ก็ย่อมต้องมีราคาซื้อขาย ข้าจะขอทราบได้หรือไม่ว่าเจ้าจะขายมันเท่าใด”
ฉินมู่เหลือบมองเขาแล้วกล่าว “แน่นอนว่าต้องมีราคา”
สีหน้าของหลวงจีนวัดหนันถัวแข็งทื่อ และในจิตใจก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง หากว่าเขารู้ว่าสามารถซื้อมันมาได้ ไฉนพวกเขาถึงต้องมาสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับคนเถื่อนนี้ด้วยเล่า
รัชทายาทสันตินิรันดร์ใจฟูฟ่องขึ้นมาทันใดและถามด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ราคานั้นคืออะไรล่ะ บอกข้ามาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ข้ามิอาจซื้อหาได้”
ฉินมู่สีหน้าอ่อนโยนลงทันที “ราคานั้นมิได้แพงนักหนา เพียงเรือเหาะ 100 ลําพร้อมกับมีนักปรุงยาและเด็กผู้ช่วยยาในเรือเหาะครบทุกลํา และข้ายังต้องการรถเมฆาทะลวงเมืองอีก 200 คัน ไม่จําเป็นต้องแถมยักษ์เกราะทองมาด้วย ในเมื่อนอกกําแพงใหญ่ของเรามีบุรุษที่แข็งแกร่งมากมาย”
รัชทายาทสันตินิรันดร์สีหน้ามืดคลํ้าขึ้นมา “เจ้ากําลังเล่นตลกกับข้ารึ?”
เรือเหาะและรถเมฆาทะลวงเมือง เป็นอาวุธสงครามยุทโธปกรณ์ชิ้นสําคัญของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พวกมันถูกคิดค้นขึ้นมาโดยราชครูสันตินิรันดร์และยอดยุทธ์อีกหลายคน รถเมฆาทะลวงเมืองเป็นอาวุธสําคัญในการจู่โจมเมือง ดังนั้นหากว่าเรือเหาะกับรถเมฆาทะลวงเมืองถูกขายให้กับแดนนอกกําแพงใหญ่ นี่จะนับว่าเป็นการก่อกบฏ แม้ว่าเขาจะเป็นถึงรัชทายาท จักรพรรดิก็จะยังตัดหัวเขาอยู่ดี!
ฉินมู่กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “หากว่ารัชทายาทมิอาจจ่ายราคานี้ได้ ก็อย่ามาเกะกะหน้าร้านข้า”
รัชทายาทสันตินิรันดร์สีหน้ามืดดํากว่าเดิม
“ข้าจะยกสมบัติชิ้นนี้ให้แก่ผู้มีวาสนา” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้ที่คิดว่าสามารถเอาชนะตัวข้าน้อยนี้สามารถเข้ามาทดลองได้ ข้าน้อยจะรั้งรออยู่ที่นี่ 3 วัน หากว่าภายใน 3 วันนี้ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้กับข้าน้อยได้ ข้าน้อยก็จะกลับไปยังกําแพงใหญ่!”
“3 วัน?”
ซุ่นหนันถัวมองไปรอบๆ และยังคงมิอาจหาตัวผู้พิทักษ์ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดได้ จากนั้นเขาจึงครุ่นคิดในใจ ภายในเวลา 3 วัน ข้าจะต้องขุดออกมาให้ได้ว่าเขาซ่อนอยู่ที่ไหน
หลวงจีนแห่งวัดหนันถัวไม่ก้าวเข้ามาท้าสู้อีก ดังนั้นฉินมู่จึงนั่งลงที่ถนนและรอ
ผู้คนที่มาชมดูความวุ่นวายก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป อ๋อง เจ้านคร และเสนาบดีแทบทุกคนทิ้งไว้แต่เพียงบ่าวไพร่ของตนให้คอยเฝ้าดู เจ้านครเว่ยพาเว่ยหยงไปที่เคหาสน์ราชครูและเคาะประตู ผู้เฒ่าฟู่เดินออกมาพร้อมรอยยิ้มและถามไถ่ “เจ้านคร มีเรื่องอันใดหรือ”
“ราชครูอยู่ที่ไหน”
“นายผู้เฒ่าพาฮูหยินออกไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์”
เจ้านครเว่ยกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และตะกุกตะกัก “ฮู…ฮูหยิน ฮูหยินอะไรนะ”
“เจ้านครเว่ยอาจจะไม่ทราบ แต่หลังจากที่จักรพรรดิปูนบําเหน็จแก่นายผู้เฒ่าด้วยร้อยนางกํานัล นายผู้เฒ่าก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง วันถัดมาเขาสนิทสนมกับหญิงนางหนึ่งในนั้นและจัดงานแต่งงานในวันเดียวกันเพื่อแลกเปลี่ยนจอกมงคลซึ่งกันและกัน หลังจากตื่นขึ้นมา นายผู้เฒ่าก็จากไปพร้อมกับฮูหยิน ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้อยู่ในเมืองหลวง”
เจ้านครเว่ยตัวสั่นเทิ้มอย่างแรง สีหน้าแปลกพิกลเกลื่อนหน้า เขาเขาตะกุกตะกักอีกครา “ราชครูแต่งงานแล้ว เขาแต่งงานแล้วจริงๆ…เจ้าหมอนี่ ข้าคิดว่าเขาไร้อารมณ์เสียอีก…ข้าจะไปคิดได้อย่างไรว่าเขาจะแต่งงาน…ไอ้บ้านี่ เขาถึงกับไม่บอกข้า!”
ผู้เฒ่าฟู่แย้มยิ้ม “นายผู้เฒ่ากล่าวว่าทําทุกอย่างให้เรียบง่าย กระทั่งองค์จักรพรรดิเขาก็ไม่บอกกล่าว”
เจ้านครเว่ยระบายลมหายใจแผ่วเบา “นั่นสินะ พวกเขานั้นยากจนสุดๆ และข้าก็ว่าขนาดจัดงานเลี้ยงใหญ่ก็คงไม่ไหว ข้าจะให้บ่าวไพร่มาส่งซองแดงและกล่องของขวัญจํานวนหนึ่งมาที่นี่ แล้วราชครูบอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”
ผู้เฒ่าฟู่ส่ายหน้า
เจ้านครเว่ยถอนหายใจแล้วพึมพํากับตนเอง “เจ้าคนเถื่อนนี่มีพิรุธ แต่ในเมื่อเขาจะยังอยู่ที่นี่ถึง 3 วัน ก็ไม่จําเป็นต้องรีบร้อนอะไร ข้าจะรอให้ราชครูกลับมาเสียก่อน”
ยามคํ่ามาถึง และโคมบุปผาจํานวนมากก็ถูกจุดทั่วทุกหัวระแหงของเมืองหลวง ตลาดคํ่าคืนเริ่มเปิดขาย และท้องถนนก็เริ่มคลาคลํ่าไปด้วยผู้คนที่ทํากิจกรรมต่างๆ กัน เจ้านครเว่ยให้เว่ยหยงสอบถามรอบๆ และเว่ยหยงก็กลับมาบอก “เพราะว่านี่ใกล้ปีใหม่ อีกไม่ถึงเดือน พ่อค้าส่วนใหญ่ในเมืองจึงออกมาขายสินค้าสําหรับเทศกาลปีใหม่”
“อย่างนี้นี่เอง พวกเราสองพ่อลูกเดินชมดูกันเถอะ”
หนึ่งเฒ่าหนึ่งหนุ่มเดินไปรอบๆ ตลาดคํ่าคืนและเห็นบรรดาสาวน้อยจากตระกูลใหญ่เดินออกมาจากห้องหอของพวกนาง พวกนางแต่งตัวสะสวยและถือพัดงามวิจิตร ขณะที่ดรุณีเหล่านั้นชื่นชมโคมบุปผา พวกนางก็จะปิดบังใบหน้าด้วยพัดเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มมองมา แต่อันที่จริงพวกนางก็จะลอบสํารวจตรวจตาหนุ่มๆ พวกนั้นจากหลังพัด
เว่ยหยงมาจากตระกูลเว่ยดั้งเดิม และไม่มีความสัมพันธ์กับเจ้านครเว่ยมากนัก ต่อเมื่อเขาสร้างชื่อให้ตนเองในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาจึงเข้ามาในสายตาของอีกฝ่าย เมื่อพวกเขาเดินไปรอบๆ เจ้านครเว่ยก็ให้คําชี้แนะเขาในวิธีการฝึกปรือไปด้วย
ระหว่างที่พูดคุยสนทนากันอยู่นั่นเอง พวกเขาก็เดินผ่านวังข้างหนันถัว และเจ้านครเว่ยก็ตกตะลึงเมื่อมองไม่เห็นผานกงสั่วอยู่ข้างนอกวังข้าง
เขาเห็นก็แต่หลวงจีนหลายคนออกมาจากวังข้างหนันถัว และคนที่อยู่ใจกลางกลุ่มหลวงจีนคือซุ่นหนันถัว นอกจากเขาแล้วก็ยังมีผู้พิทักษ์และเจ้าอาวาสของวังข้าง หลวงจีนคนหนึ่งรีบกล่าว “ท่านเจ้าอาวาส คนเถื่อนนั่นลอบหลบหนีไปในตลาดคํ่าคืน! ข้าได้ส่งศิษย์พี่ศิษย์น้องจํานวนหนึ่งติดตามเขาไปแล้ว!”
“เจ้าเล่ห์นัก คนเถื่อนผู้นี้ตบตาพวกเราว่าจะอยู่ที่นี่ 3 วัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่คาดคิดว่ามันจะหลบไปในคืนเดียวกันนี้!”
“ศิษย์พี่ทั้งหลายที่ตามมันไปจะไม่ปล่อยให้มันหลบหนีไปได้แน่ๆ!”
ซุ่นหนันถัวเผยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาบอกหลวงจีนเหล่านั้นให้ตามเขามา และรีบรุดไปพลางกล่าวด้วยเสียงตํ่าลึก “พวกเราจะลงมือทันทีที่ออกนอกเมือง”
เจ้านครเว่ยตาลุกวาว และเขาก้าวออกไปพร้อมเว่ยหยงพลางแย้มยิ้ม “ซุ่นหนันถัว เจ้าหมอนี่ชอบวางท่าศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ไม่คิดเลยว่าจะเจ้าเล่ห์และอํามหิตเยี่ยงนี้ หากว่าเขาสังหารคนเถื่อนนั่นภายในเมืองหลวง ผู้คนก็จะติเตียนเขา แต่หากว่าเขาลงมือที่นอกเมืองและทําลายซากศพเสีย ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ พวกเราตามพวกเขาไปกัน ไปชมดูพวกหลวงจีนฆ่าคนวางเพลิง!”
เว่ยหยงตามเขาไป และเช่นนั้นหนึ่งหนุ่มและหนึ่งแก่ก็รีบรุดตามยอดฝีมือแห่งวัดหนันถัวออกไปนอกเมืองหลวง มีหลวงจีนเบียดเสียดออกมาจากฝูงชนเป็นครั้งคราวเพื่อรายงานร่องรอยของผานกงสั่วแก่ซุ่นหนันถัว และในไม่ช้าพวกเขาก็ออกมานอกเขตเมือง
ที่นอกเมืองหลวงนี้ก็มีตลาดคํ่าคืนเช่นกันและมีโคมไฟจุดสว่างสดใสเต็มไปหมด ตลาดคํ่าคืนดังกล่าวตั้งแผงกันยาวเหยียดเป็น 10 ลี้ และมีผู้คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน ทําให้ที่นี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ
เจ้านครเว่ยพาเว่ยหยงตามหลวงจีนวัดหนันถัวไปติดๆ พวกเขาเดินออกไปหลายลี้โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังคงมีตลาดคํ่าคืนอยู่ที่นี่เช่นกัน ไม่เพียงแต่มีตลาดคํ่าคืน ยังมีหมู่บ้านและประตูไม้กว้างใหญ่ที่กว้างหกเจ็ดวา ป้ายไม้สีแดงแขวนห้อยอยู่เหนือประตูไม้นั้น
เจ้านครเว่ยเงยหน้าขึ้นไปมองและอ่านป้ายไม้แดงนั้น บนป้ายเขียนไว้หนึ่งวลี…การสั่งสอนของครูบาศักดิ์สิทธิ์
หางตาของเจ้านครเว่ยกระตุก และเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซุ่นหนันถัวเดินเข้าไปในหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ในหมู่บ้านจุดโคมไฟไว้สว่างไสว มีกระทะเหล็กวางอยู่บนยอดเสา ในกระทะมีนํ้ามันเชื้อเพลิงที่จุดไฟเอาไว้ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะจากเปลวไฟอันร้อนแรงในนั้น
ในหมู่บ้านนี้มีแผงขายสิ่งต่างๆ ทุกสาขาอาชีพ มีแม้กระทั่งร้านขายเนื้อที่กําลังแล่หมูและแพะ เสียงของการเจรจาซื้อขายเต็มไปทั่วหมู่บ้านอันคับคั่งแห่งนี้ และทําให้มันดูเหมือนตลาดคํ่าคืนธรรมดาๆ
“มีอะไรหรือเจ้านคร” เว่ยหยงฉงน
“การสั่งสอนของครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยเห็นวลีนี้มาก่อน” ด้วยสีหน้าอันมืดคลํ้าเจ้านครเว่ยกล่าว “เมื่อจ้าวลัทธิคนก่อนแห่งลัทธิมารฟ้า หลี่เทียนซิ่ง ออกเดินทางไกลและกลับมายังวังข้าง เขาได้แขวนห้อยวลีนี้ไว้ข้างประตูของเขา ลัทธิมารฟ้าเรียกจ้าวลัทธิของพวกเขาว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าครูบา ศักดิ์สิทธิ์มาสั่งสอนพวกเขา…ผู้คนในตลาดคํ่าคืนแห่งนี้ มาจากลัทธิมารฟ้า…”
เจ้านครเว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเดินเข้าไป ทันใดนั้นผู้เฒ่าชายและหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านคร ช้าก่อน”
เจ้านครเว่ยกําลังจะกล่าวอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องสะท้านฟ้าดังออกมา เขารีบชะโงกมองดูและเห็นเหล่าพ่อค้าเร่ บัณฑิต และโฉมงามทั้งหลายที่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ พลันลงมืออํามหิตพร้อมกันในพริบตา!
หลวงจีนทั้งหมดจากวัดหนันถัวถูกปลิดชีวิตโดยบรรดาพ่อค้าเร่และคนผ่านทางใกล้ๆ พวกเขา หัวของพวกหลวงจีนกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ และเลือดก็ย้อมฟ้าจนแดงฉาน
เมื่อผู้คนเหล่านั้นลอบสังหารสําเร็จ พวกเขาก็ถอยกลับเข้าไปในบ้านเรือนที่อยู่ข้างๆ
ในชั่วพริบตา หลวงจีนทั้งหมดของวัดหนันถัวก็เหลือแต่ร่างไร้ศีรษะ!
ซุ่นหนันถัวกู่ร้อง และร่างของพุทธองค์พันกรก็ปรากฏ มันสูงกว่า 150 วา และมีรังสีพุทธธรรมแผ่ไพศาล พุทธรูปนี้ถือสมบัติวิเศษหนึ่งพันชิ้นและดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
ในจังหวะนั้นเอง 20 ผู้เฒ่าก็พุ่งมาจากทุกทิศทาง และกระโจนใส่ซุ่นหนันถัว ด้วยเสียงปังดังสนั่น พุทธองค์พันกรก็ถูกทําลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เจ้านครเว่ยถูกทิ้งให้ยืนตะลึงแล และในชั่วแวบต่อมา ตลาดคํ่าคืนก็กลับมาคับคั่งจอแจเช่นเดิม มีคนที่ลากซากศพเหล่านั้นออกไป และอีกสามสี่คนที่ไปตักนํ้าในแม่นํ้าออกมาล้างพื้น
‘การสั่งสอนของครูบาศักดิ์สิทธิ์’ เจ้านครเว่ยพลันระลึกถึงวลีนี้ และตัวสั่นเทา เขากล่าวทันที “รีบไปกัน อย่าอยู่รอจนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจ้าวลัทธิมาร…”
ทันใดนั้น เว่ยหยงก็โบกมือไปทางหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้ม “พี่ฉิน พี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”