ตอนที่ 229 ยุคที่ 5
ราชครูสันตินิรันดร์และภรรยาของเขามายังนครหยกน้อยบนท้องฟ้าได้มากกว่า 10 วันแล้ว นครบนท้องฟ้านี้ราวกับแดนสวรรค์ ด้วยทิวทัศน์อันหาได้ยากในโลกปุถุชน
“ราชครูคุ้นเคยกับที่นี่หรือยัง” ผู้เฒ่าชุดขาวเดินเข้ามาและถามพร้อมรอยยิ้ม
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “นครหยกน้อยนับว่าสมชื่อเลื่องลือ ทิวทัศน์ที่นี่เหนือลํ้าเกินธรรมดา ทําให้ข้าเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนักจนลืมบ้านช่อง แม้ว่าสถานที่นี้จะดีเยี่ยม แต่มันห่างไกลจากโลกมนุษย์ ความทะเยอทะยานของข้ามิได้อยู่ที่นี่ และข้าก็ยังคงต้องจากไปอยู่ดี ขอผู้สันโดษชิงโหยวโปรดอภัย”
ผู้สันโดษเฒ่าชิงโหยวแย้มยิ้ม “ราชครูไม่ต้องรีบร้อน ผู้สันโดษนี้ได้เชื้อเชิญราชครูให้มาเป็นอาคันตุกะ แต่กระนั้นข้าก็ยังมิได้บอกเล่าถึงความเป็นมาของนครหยกน้อย”
ราชครูสันตินิรันดร์ก์ล่าวด้วยความใคร่รู้ “ข้าล้างหูรอรับฟัง”
ผู้สันโดษชิงโหยวนําทางไป และพาราชครูกับภรรยาของเขาขึ้นสะพานสายรุ้ง สิ่งก่อสร้างนี้ถูกแกะสลักขึ้นมาจากหยกเจ็ดสี อันพาดผ่านท้องฟ้า ดังนั้นเมื่อยืนอยู่บนสะพานก็ไม่ต่างอะไรกับบนรุ้งกินนํ้า ที่ใจกลางของสะพาน ทิวทัศน์ที่พวกเขามองเห็นจากข้างบนย่อมแตกต่างไปจากข้างล่าง พวกเขาสามารถมองเห็นภูเขาต่างๆ แห่งนครหยกน้อยที่ถูกจัดเรียงกันเป็นพยุหะธรรมชาติบนท้องฟ้า และปราสาทราชวังทั้งหลายบนภูเขาก็เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเซียน
“ความเป็นมาของนครหยกน้อยนั้นบรรพกาลเสียยิ่งที่ราชครูจะคาดคิด” ผู้สันโดษชิงโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประวัติศาสตร์ที่นี่สามารถสืบย้อนไปได้จนถึงยุคจักรพรรดิก่อตั้ง”
“จักรพรรดิก่อตั้ง?” ราชครูสันตินิรันดร์นั้นไม่เคยได้ยินนามจักรพรรดิก่อตั้งมาก่อน เขาจึงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ประเทศไหนกันที่มียุคจักรพรรดิก่อตั้ง จักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ใดที่มีนามว่าจักรพรรดิก่อตั้ง”
“จักรพรรดิก่อตั้งมิได้มาจากสันตินิรันดร์ เขามาจากดินแดนที่เรียกว่าจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้ง” ผู้สันโดษชิงโหยวกล่าว “ราชครูควรทราบว่าจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งคือแดนโบราณวินาศในปัจจุบันกาลนี้”
ราชครูสันตินิรันดร์ร่างสั่นสะท้านและระบายลมหายใจขาดเป็นห้วงออกมา “แดนโบราณวินาศ”
ผู้สันโดษชิงโหยวพาพวกเขาข้ามสะพานไปยังภูเขาเซียนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า “ยุคจักรพรรดิก่อตั้งเป็นสิ่งที่ลัทธิเต๋าเรียกขาน ขณะที่ลัทธิพุทธเรียกว่ายุคแห่งความว่างเปล่า เกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป, และความว่างเปล่า ดังนั้นยุคแห่งความว่างเปล่าจึงเป็นยุคที่ 4 และบัดนี้เมื่อสันตินิรันดร์กำลังรุ่งเรืองขึ้นมา พวกเรานครหยกน้อยจึงเรียกยุคปัจจุบันนี้ว่ายุคสันตินิรันดร์ ระหว่างยุคจักรพรรดิก่อตั้ง แดนโบราณวินาศนั้นรุ่งเรืองถึงขีดสุด พวกเรานครหยกน้อยเรียกภัยพิบัติที่กวาดล้างสถานที่แห่งนั้นว่าภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้ง และมันมีภัยพิบัติทั้งหมด 3 อย่าง”
สายตาของภรรยาราชครูวูบไหว “ผู้เฒ่ากล่าวว่า ปัจจุบันกาล เรียกว่ายุคสันตินิรันดร์ ดังนั้นหากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ถูกทําลายล้าง ท่านก็จะเรียกว่าภัยพิบัติสันตินิรันดร์ด้วยหรือไม่”
“ฮูหยินปราดเปรื่องจริงๆ” ผู้สันโดษชิงโหยวยิ้มแล้วชี้ไปยังที่ไกลๆ อันมีภูเขาหยกลอยเลื่อนอยู่กลางฟ้า และมีนักพรตจํานวนหนึ่งที่กําลังก่อสร้างราชวังที่นั่น “ราชวังตรงนั้นเอาไว้เก็บรักษาประวัติศาสตร์ของยุคสันตินิรันดร์ เมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ถูกทําลายล้าง พวกเราก็จะได้จัดระเบียบที่มาที่ไปของภัยพิบัติสันตินิรันดร์ ทิ้งไว้ให้เป็นอนุสรณ์อ้างอิงสําหรับอนุชนรุ่นหลัง”
ภรรยาราชครูสันตินิรันดร์อดไม่ไหวที่จะถาม “ผู้เฒ่า นครหยกน้อยนี้เป็นสถานที่เช่นไร มันฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว? พวกท่านมีเจตนาใดต่อพวกเราสามีภรรยา พวกเราอยู่ที่นี่มาก็หลายวันแล้ว และผู้เฒ่าก็ให้พวกเราท่องชมรอบๆ ตามแต่ใจปรารถนา นี่ก็น่าจะได้เวลาที่ท่านจะพูดถึงเจตนาของนครหยกน้อยแล้วหรือเปล่า”
“พวกเรานครหยกน้อยไม่มีเจตนาใด พวกเราหมายแต่จะสังเกตการณ์ราชครู สังเกตการณ์การปฏิรูป และบันทึกสิ่งที่พวกเราคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นถัดไป” ผู้สันโดษชิงโหยวแย้มยิ้ม “พวกเราเรียกตนเองว่าเซียนผู้อมตะมิใช่เทพยดาก็เพราะเรามิได้ต้องการเข้าไปยุ่มย่ามกับการดําเนินไปของโลกหล้า”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “เซียนและเทพ พวกเขาแตกต่างกันอย่างไร”
ผู้สันโดษชิงโหยวยิ้มกล่าว “ราชครูฝึกปรือถึงขั้นสะพานเทวะ และท่านเห็นสิ่งใดเมื่อยืนอยู่บนสะพานเทวะ”
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่เอื้อนเอ่ยคํา ขั้นสะพานเทวะเป็นวรยุทธ์ขั้นที่เจ็ดหลังจากทลายกําแพงของสมบัติเทวะสะพานเทวะ อันเป็นวรยุทธ์ขั้นสูงสุด
“สมบัติเทวะสะพานเทวะเป็นสะพานที่เชื่อมต่อไปยังขั้นเทวะ แต่ทว่ามันหักกลางในร่างของทุกๆ คน ดังนั้นจึงไม่มีใครข้ามไปอีกฝั่งได้ สําหรับราชครูก็คงไม่แตกต่างออกไปใช่หรือไม่”
ผู้สันโดษชิงโหยวกล่าว “เซียนทั้งหลายแห่งนครหยกน้อยก็ไม่แตกต่างออกไป พวกเราได้เห็นสมบัติเทวะจํานวนนับไม่ถ้วนและสะพานเทวะทั้งหมดล้วนขาดสะบั้น ไม่อาจไปยังอีกฝั่งได้ นั่นหมายความว่าพวกเรามิอาจสําเร็จเป็นเทพจริงๆ แล้วด้วยพลังวัตรของพวกเรา เราสามารถทัดเทียมเทพเจ้าได้ แต่ขั้นวรยุทธ์ถูกสะบั้นไม่มีทางไปต่อ”
ราชครูสันตินิรันดร์พ์ ยักหน้า “ข้าค้นพบเรื่องนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว และเคยกลัดกลุ้มอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าได้สืบค้นหนังสือโบราณมากมาย แต่ก็มิอาจหาวิธีแก้ไข หรือนครหยกน้อยมีวิธีเชื่อมต่อสะพานที่ขาดสะบั้นนี้ขึ้นมาใหม่?”
“พวกเรามี” ผู้สันโดษชิงโหยวนําพวกเขาไปยังราชวังบนภูเขาหยกแล้วกล่าว “แต่ทว่าแม้แต่นครหยกน้อยก็ไม่มีความสามารถพอที่จะใช้วิธีนั้นได้ เพราะว่าพวกเราไม่อาจบรรลุเป็นเทพจึงตัดสินใจที่จะเป็นเซียน นี่คือเป็นสาเหตุว่าทําไมผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไร้ประโยชน์อย่างพวกข้าเลือกที่จะอยู่ในนครหยกน้อย และแม้ว่าพวกเราจะเรียกตนเองว่าเซียนผู้อมตะ แต่เมื่ออายุขัยของพวกเราสิ้นสุด ดวงวิญญาณของเราก็จะกลับไปยังนํ้าพุเหลืองอยู่ดี พวกเราไม่อาจหลบลี้หนีจากความตายไปได้ พวกเราเพียงแต่แสวงหาความสงบ ศานติ ราชครู ฮูหยิน เชิญทางนี้”
ราชครูสันตินิรันดร์และภรรยาของเขาตามผู้สันโดษไป และเดินเข้าไปในราชวัง มันเป็นสถานที่ที่ถึงจะมีกลิ่นอายของแดนผู้อมตะ แต่มันก็เย็นเยียบไร้ชีวิตชีวา ไม่มีเงาร่างผู้คนให้แลเห็น
นครหยกน้อยเป็นสถานที่เย็นเยียบไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้
ผู้สันโดษชิงโหยวพาพวกเขาผ่านทางเดินโถงยาวเหยียดไปสู่ส่วนลึกของราชวัง “ระหว่างยุคจักรพรรดิก่อตั้ง มีผู้คนจํานวนมากที่เชื่อมต่อสะพานอันขาดสะบั้นของตน พวกเขาได้สร้างจักรวรรดิเทพยดาอันรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นผุยผงและไม่มีอยู่อีกต่อไป สถานที่แห่งจักรวรรดิเทพยดานี้ก็คือแดนโบราณวินาศในปัจจุบัน”
ราชครูสันตินิรันดร์ตื่นเต้นเล็กน้อย “นี่มีผู้คนที่เชื่อมต่อสะพานได้ด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้น พวกเขาได้สําเร็จเป็นเทพไหม”
ผู้สันโดษชิงโหยวผงกหัวแล้วยิ้มเล็กน้อย “แต่ทว่าผู้คนเหล่านั้นหลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นเป็นที่เรียกขานในวันนี้ว่าผู้คนที่ถูกละทิ้งโดยเทพเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์ตะลึงงัน “ผู้คนที่ถูกละทิ้งเหล่านั้นในแดนโบราณวินาศอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก ตอนนี้แทบจะไม่มีใครที่มีสมบัติเทวะสะพานเทวะอันสมบูรณ์ท่ามกลางผู้คนที่ถูกละทิ้งในแดนโบราณวินาศ เหล่าเซียนแห่งนครหยกน้อยเคยไปออกสํารวจมาก่อน”
ผู้สันโดษชิงโหยวผลักประตูเปิดและพาพวกเขาไปข้างใน “จักรวรรดิสันตินิรันดร์เคยได้รับเทพพยากรณ์มาก่อนใช่หรือไม่ พวกเขาถูกสั่งให้จํากัดผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ มิให้ออกมาจากแดนโบราณวินาศได้ จริงๆ แล้วเทพพยากรณ์นั้นมิได้หมายจะระวังป้องกันผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ แต่ป้องกันผู้คนที่ถูกละทิ้งจากหมู่บ้านไร้กังวลซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในแดนโบราณวินาศ สะพานเทวะของพวกเขาสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ทวยเทพทั้งหลายระวังป้องกันก็คือพวกเขานั่นแหละ”
ตู้หนังสือเป็นแถวๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา และพวกมันเต็มไปด้วยหนังสือโบราณหนาหนักอันบรรจุประวัติศาสตร์ของยุคจักรพรรดิก่อตั้ง อันเหล่าเซียนแห่งนครหยกน้อยได้บันทึกเอาไว้
“ราชครูเพียงแต่อ่านหนังสือโบราณเหล่านี้สักรอบ และท่านก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างยุคจักรพรรดิก่อตั้ง และภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้ง” ผู้สันโดษชิงโหยวโค้งคารวะ เมื่อเขาหมายจะถอยกายออกไปจากห้องสมุด “หากว่าราชครูยังคงหมายที่จะเดินไปตามทางที่ตั้งใจไว้ต่อ ข้าเกรงว่าประวัติศาสตร์ของยุคจักรพรรดิก่อตั้ง ก็คงจะย้อนมาซํ้ารอยเดิมกับประวัติศาสตร์ยุคสันตินิรันดร์ ไม่ว่ายุคจักรพรรดิก่อตั้งจะประสบสิ่งใด ยุคสันตินิรันดร์ก็จะประสบสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน”
ราชครูสันตินิรันดร์โค้งคารวะตอบ แล้วถาม “เฒ่าพเนจรเสิน จากนครหยกน้อยของพวกท่านตายในเงื้อมมือของข้า แล้วไฉนสหายเต๋าจึงยอมให้ข้ามาที่นี่”
“นครหยกน้อยของเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ปุถุชนและเพียงแต่บันทึกประวัติศาสตร์เท่านั้น เมื่อเฒ่าพเนจรเสินได้ลงจากภูเขา เขาก็มิใช่เซียนแห่งนครหยกน้อยอีกต่อไป ความเป็นความตายของเขาไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับพวกเรา”
ผู้สันโดษชิงโหยวกล่าวขณะที่เดินออกไป “พวกท่านสองสามีภรรยานับเป็นเซียนแห่งนครหยกน้อยเมื่อพวกท่านอยู่ที่นี่ แต่เมื่อพวกท่านจากไป พวกท่านก็จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ยอดปราชญ์ที่ปรากฏขึ้นมาในรอบ 500 ปี นครหยกน้อยพวกเราสนใจสังเกตการณ์ยอดปราชญ์ในยุคสมัยนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อดูว่าเขาจะสามารถทําสิ่งที่ยอดปราชญ์ในยุคก่อนมิอาจทําได้หรือไม่”
“กฎแปลกพิลึก” สายตาของภรรยาราชครูเปลี่ยนไปจับจ้องที่ม้วนคัมภีร์โบราณ “ฮูกง มีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของนครหยกน้อย ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นทายาทที่สืบทอดมาจากยุคจักรพรรดิก่อตั้ง”
“นี่เป็นไปได้” ราชครูสันตินิรันดร์นั่งลงและหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง “พวกเขาไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเรา ดังนั้นไม่จําเป็นต้องคาดเดาเป้าหมายของพวกเขา ข้าอยากจะเห็นประวัติศาสตร์ของยุคจักรพรรดิก่อตั้ง ในเมื่อยุคนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของสมัยอดีต”
…
ในแดนโบราณวินาศ มารตนที่เรารู้กันแหละว่าใครกําลังพูดอยู่
“ข้าเพียงแต่จะหาโลกระดับตํ่าเพื่อให้ผู้คนของข้าได้ตั้งถิ่นฐาน หาสถานที่ที่พวกเราจะมีชีวิตอยู่และสืบทอดทายาทต่อไปเท่านั้น ข้าไม่ได้อยากจะทําสงครามรบพุ่งกับโลกของเจ้า” ราชามารตู้เถียนมีสายตาเหม่อลอยพลางพึมพํา “ตู้เถียนของพวกเราใกล้แตกดับอยู่มะรอมมะร่อ หากว่าพวกเราสู้กับพวกเจ้า พวกเราก็คงจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปจริงๆ ข้าต้องรับผิดชอบเผ่าพันธุ์ของข้า ให้ข้ากลับไปเถอะ แล้วข้าจะไปเสาะหาโลกระดับตํ่าอื่นๆ ให้ข้ากลับไปเถอะนะ…”
ฮู่หลิงเอ๋อมองไปที่ฉินมู่และถามด้วยเสียงเบา “คุณชาย เราปล่อยเขากลับไปดีไหม เขาดูน่าสงสารออก”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาตั้งใจจะกลับไปจริงๆ หรือแค่โกหก” ฉินมู่ส่ายหน้า “เขาเป็นแค่สํานึกรู้ ขณะที่ร่างจริงของเขาอยู่ที่โลกตู้เถียน เขาสามารถค้นหาโลกอื่นๆ ต่อได้ด้วยร่างจริง ดังนั้นไม่มีความจําเป็นอะไรที่สํานึกรู้ของเขาจะต้องกลับไปที่ตู้เถียน หากว่าเขาไม่ได้กลับไปและซ่อนตัวเพื่ออัญเชิญร่างจริงของเขามาแทนล่ะ ไม่ใช่ว่าข้าจะเป็นตัวต้นเหตุหรอกหรือ เจ้ามิอาจเชื่อถือถ้อยคําที่หมอนี่พูด หากว่าเจ้าเชื่อเขาเมื่อไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทันที เมืองเขตมังกรอยู่ข้างหน้าเราแล้ว และเหลือเพียงหนึ่งพันลี้ก็จะถึงหมู่บ้านพิการชราของเราล่ะ”
เมืองเขตมังกรปรากฏในทัศนวิสัยของพวกเขา ดังนั้นฉินมู่จึงค่อยวางใจลง ในที่สุดเขาก็มาถึงเขตแดนในอาณัติของตน
“นายน้อย!”
“นายน้อยกลับมาแล้ว?”
“นายน้อย จักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับแดนโบราณวินาศพวกเรา”
….
ฉินมู่พากิเลนมังกรเข้าไปในเมืองเขตมังกร และเถ้าแก่ร้านมากมายตลอดทางก็โบกมือต้อนรับเขา ฉินมู่ยิ้มรับและทักทายกลับ “จักรวรรดิสันตินิรันดร์ปั่นป่วนวุ่นวายมากกว่าแดนโบราณวินาศของพวกเรา การกบฏเกิดขึ้นทุกวี่วัน สงครามก็ปะทุไปทั่ว ไม่ใช่ที่ดีๆ เลย”
“จริงสิ มีผู้อพยพที่หนีเข้ามาในแดนโบราณวินาศ พวกเขาบอกว่าหนีมาจากสงครามและภัยพิบัติ ดีแล้วที่นายน้อยกลับมา ถึงอย่างไรที่บ้านก็ปลอดภัยที่สุด”
ฉินมู่มายังจวนเจ้าเมืองและถาม “เจ้าเมืองกลับมาหรือยัง”
“ท่านเจ้าเมืองกลับมาได้สี่ห้าวันก่อนแล้วก็ออกไปอีกครั้ง นายน้อยจะพักอยู่ที่นี่ไหม ข้าน้อยจะรีบไปเตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านกลับมา”
“ไม่จําเป็น” ฉินมู่กล่าว “ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าต้องกลับไปที่หมู่บ้านก่อน”
เมืองเขตมังกรเป็นสมบัติของเขาและท่านยายนานแล้ว ในเมื่อผู้คนที่นี่ล้วนแต่เป็นคนของลัทธิมารฟ้า ความแตกต่างนั้นมีแค่ว่าสาวกลัทธิมารฟ้าจากข้างนอกจะเรียกเขาว่าจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่สาวกในเมืองเขตมังกรจะเรียกเขาว่านายน้อย
เจ้าของเมืองนี้คือท่านยายซี และในเมื่อฉินมู่เป็นเด็กที่นางเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเรียกฉินมู่ว่า นายน้อย
ฉินมู่เดินทางกลับบ้านต่อ ระยะทางพันลี้นั้นสั้นเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพลังฝีเท้าของกิเลนมังกร พวกเขาสามารถไปถึงหมู่บ้านพิการชราได้ภายในครึ่งวัน
กิเลนมังกรเหยียบไปบนผิวแม่นํ้าและเดินทางทวนไปทางต้นนํ้า แสงสว่างของดวงตะวันหน้าหนาวมิได้เย็นเยียบเหมือนกับในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ฉินมู่ยังจําได้ถึงตอนที่เขามาทําลายคลื่นนํ้าแข็งกับเสียนชิงเอ๋อเมื่อหลายปีที่แล้ว และในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเสียนชิงเอ๋อกําลังรมควันปลาอยู่กับพวกชาวบ้าน โดยถูเกลือไปที่ปลาใหญ่อันแขวนไว้ใต้ต้นไม้ริมแม่นํ้า และใช้ไม้ฟืนชื้นเพื่อรมควันพวกมัน กลิ่นควันก็จะซึมเข้าไปในเนื้อ
ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ได้จับปลาใหญ่มากมายอันสูงกว่าตัวคนและพวกเขาแขวนพวกมันไว้บนต้นไม้ เนื้อของปลาพวกนี้ทั้งขาวและเปล่งประกาย ชาวบ้านทั้งหลายนั้นไม่ค่อยจะออกไปล่าสัตว์ในช่วงปี ใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอาศัยเสบียงที่จับมาได้พวกนี้มาใช้ประทังชีวิตผ่านฤดูหนาว
ฉินมู่หยุดกิเลนมังกร และเด็กหญิงตัวน้อยที่มีผมเปียถัก 3 เส้นก็กะพริบดวงตาเป็นประกายและงดงามของนางให้เขา “เด็กเลี้ยงวัว เจ้ากลับบ้านมาด้วยลาภยศอย่างนั้นหรือ ข้างนอกสนุกไหม”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ก็พอไหว ข้าถูกผู้คนไล่ล่าไปเสียทุกที่ที่ข้าไป แล้วมีหลวงจีนจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามมาตามตัวเจ้าไหม”