ตอนที่ 230 ก่อกรรมทําเข็ญมากเกินไป
“ถุยๆ อย่าแช่งสิ หลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามยังหาที่นี่ไม่เจอ” เสียนชิงเอ๋อสงสัยใคร่รู้ “แล้วเจ้าไปทําเรื่องไม่ดีอะไรเข้าล่ะ ทําไมถึงมีผู้คนไล่ล่าเจ้าเยอะแยะมากมายขนาดนั้น”
“ข้าเดาว่า เพราะข้ายอดเยี่ยมโดดเด่นจนเกินไปมั้ง?” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขารู้สึกว่าที่เขากล่าวนั้นต้องเป็นความจริงแท้แน่นอน “ข้าโดดเด่นจนเกินไป ผู้คนจึงอิจฉาริษยาข้า และไล่ล่าข้าเสียทุกหนทุกแห่งที่ข้าไป”
เขาโบกมือลา และเสียนชิงเอ๋อก็กล่าวทันที “ข้าจะไปเล่นกับเจ้าตอนที่ข้าว่าง อย่าให้พวกผู้เฒ่าของเจ้าฆ่าข้าล่ะ!”
“ได้เลย!”
เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะจมลงไปทางทิศตะวันตก ฉินมู่ก็ไปถึงหมู่บ้านพิการชรา และเมื่อเขาเข้าไปข้างในนั้น เขาก็เห็นแม่ไก่มังกรมากกว่า 10 ตัวที่สูงกว่าตัวคนเข้ามาห้อมล้อมเขาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
หัวหน้าฝูงของพวกมันคือแม่ไก่แก่ที่ดูเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าฉินมู่ และชี้ปีกของนางมาที่เขา พลางร้องกุ๊ก ๆ ไม่หยุดแก่แม่ไก่มังกรตัวอื่นๆ ราวกับนางกําลังบอกพวกมันว่าไอ้เด็กนี่คือโจรขโมยไข่
“ข้าออกไปนอกหมู่บ้านได้แค่ครึ่งปี และตอนนี้ก็มีแม่ไก่มังกรตั้งมากมายในหมู่บ้าน”
ฉินมู่ทําท่าเหมือนกับพวกศัตรูอันร้ายกาจและตะโกนออกมา “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ข้าคือจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ แม้เจ้าจะมีพวกมากกว่าข้า แต่ข้าก็ไม่กลัวเจ้าสักนิด!”
กะต๊าก! กะต๊าก! กะต๊าก!
ฝูงแม่ไก่มังกรเข้ากลุ่มรุมโจมตีเขาทันที ขนไก่ของพวกมันคมและแกร่งดุจกระบี่ ทั้งพวกมันยังพ่นไฟดุจมังกร ด้วยกรงเล็บคมกล้าอันสามารถฉีกเหล็กทลายศิลา พวกมันร้ายกาจน่ากลัวสุดๆ
ฮู่หลิงเอ๋อเห็นสถานการณ์และรีบกล่าว “คุณชาย ข้ากลับไปดูที่บ้านข้าก่อนนะ”
เมื่อนางกล่าวจบ นางก็วิ่งฉิวหายไปราวกับหมอกควัน
หลังจากพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ขับไล่ให้ฝูงแม่ไก่มังกรถอยร่นไปได้ พลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ใบหน้าโซมไปด้วยเลือด และผมเผ้าเขาก็ยุ่งเหยิงมีขนไก่ปักอยู่ในนั้น ข้างหน้าเขา หัวหน้าฝูงแม่ไก่มังกรพาฝูงของนางจากไปพลางเชิดหัวอย่างองอาจราวกับกองทหารเดินลาดตระเวนหมู่บ้าน
ราชามารตู้เถียนหัวเราะร่าจากความโชคร้ายของฉินมู่ “เด็กร้ายกาจ แม่ไก่ฝูงนึงเจ้ายังเอาชนะไม่ได้เลย!”
ฉินมู่ดึงขนไก่ที่ปักอยู่ในเส้นผมเขาออก “และเจ้าก็คือคนที่แพ้ให้กับข้าผู้ซึ่งเอาชนะไก่สักฝูงก็ยังไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ท่านยาย ผู้ใหญ่บ้าน ข้ากลับมาแล้ว! ทําไมไม่มีใครสักคนออกมาช่วยข้า ตอนข้าถูกฝูงแม่ไก่รังแกเลยล่ะ! เอ๊ะ ทําไมไม่มีใครอยู่ที่นี่”
ฉินมู่เดินไปรอบๆ หมู่บ้าน ประหลาดใจ
ห้องของผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาว่างเปล่า และคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน ฉินมู่เจอก็แต่แถบกระดาษที่เขาเปิดอ่านดู แถบกระดาษแรกเขียนว่า ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และปรมาจารย์ลัทธิมารกําลังเดินทางไปเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวล หากว่าคนอื่นกลับมาที่หมู่บ้าน ช่วยนักปรุงยาป้อนอาหารแมลงให้เขาด้วย
แถบกระดาษแถบที่ 2 เป็นลายมือของคนแล่เนื้อ ที่กล่าวว่าผู้ใหญ่บ้านและอีก 2 คนนั้นยังไม่กลับมา เขาจึงกังวลถึงความปลอดภัย ดังนั้นเขากับเฒ่าบอดจึงออกไปค้นหาพวกเขา
แถบที่ 3 เฒ่าใบ้เป็นผู้ทิ้งไว้ และเขียนไว้ว่าเฒ่าบอดและคนแล่เนื้อยังไม่กลับมาซักที ดังนั้นเขาจึงจะไปตามหาพวกนั้น
แถบที่ 4 เป็นของเฒ่าเป๋และเฒ่าหม่า กล่าวว่าผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ อาจจะประสบอันตราย พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ดังนั้นจึงจะออกไปตามหา
แถบที่ 5 เป็นของท่านยายซีซึ่งกล่าวว่าพวกตาแก่พวกนั้นเอาแต่ก่อเรื่อง นางจึงต้องออกไปตามหาพวกเขา และบอกฉินมู่ว่าอย่าเถลไถลออกไปข้างนอก
“ท่านยายและคนอื่นๆ ล้วนแต่น่ากังวลทั้งนั้น”
ฉินมู่ส่ายหัวแล้ววางสัมภาระลง เขาเดินไปเด็ดใบไม้สามสี่ใบจากสวนสมุนไพรนอกหมู่บ้าน จากนั้นเปิดไหหน้าประตูห้องนักปรุงยา และใส่ใบไม้ลงไปในนั้น ในไห แมลงที่กําลังหิวโหยรีบแย่งชิงอาหารกันใหญ่
จากนั้นฉินมู่จึงเดินเข้าไปในห้องของนักปรุงยา และค้นเจอยาวิญญาณสี่ห้าเม็ดที่เขาเอามาป่นเป็นผงโรยลงไปในอีกไห จากนั้นเขาก็ล้างมือและเริ่มประกอบอาหารเย็น
“ไหแตกหักพวกนี้…” ราชามารตู้เถียนเห็นไหแตกหักเหล่านี้ที่เก็บแมลงเล็กๆ ไว้ข้างในและตระหนกใจอย่างรุนแรง สายตาของเขาพลันกวาดไปเห็นหม้อนํ้าที่อยู่หน้าห้องตีเหล็กและตกตะลึงอีกครั้ง “หม้อนํ้าใหญ่นี่… คราดนั่น ไหโน้นและสมบัติวิเศษอื่นๆ เกลื่อนไปทั่ว…”
“ใต้เท้าราชามาร เลิกเดินไปทั่วไปได้แล้ว เจ้ามีแขนมากกว่าข้า ดังนั้นมาช่วยข้าทําอาหารหน่อย” ฉินมู่เรียกเขาเข้ามา
เมื่อแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับเลือนไป ความมืดก็ถ่ายเทมายังทิศตะวันตกราวนํ้าท่วมบ่า กลืนกินเทือกเขาทั้งหลายตลอดทางของมันและฝังทั้งแดนโบราณวินาศใต้ท้องอันมืดดํา!
ฉินมู่คุ้นชินกับทัศนียภาพนี้จึงไม่ใส่ใจมันสักนิดขณะที่เขายกอาหารมาตั้งด้วยผ้ากันเปื้อนคาดไว้ที่เอว แต่ทว่าราชามารตู้เถียนเพิ่งเคยเห็นภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้เป็นครั้งแรกเขาจึงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
และก่อนที่ความมืดจะกลืนกินหมู่บ้านพิการชรา ผู้เฒ่าร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยตะกร้าหนังสือที่หลังของเขา มวลมืดกวาดเข้ามาในวินาทีนั้นและกลืนท้องฟ้าข้ามหมู่บ้านพิการชราไปทางทิศตะวันออก
“ท่านปู่หนวก!”
ฉินมู่ประหลาดใจแกมดีใจ เขารีบวางถ้วยและตะเกียบลงทันที เพื่อออกไปต้อนรับอีกฝ่าย เสื้อผ้าของเฒ่าหนวกเก่าซอมซ่อ อันแสดงว่าเขาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างยากลําบาก เขาวางตะกร้าหนังสือของตนลงแล้วถาม “มีอาหารไหม ข้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายวัน”
“อาหารเพิ่งเสร็จพอดี!”
ฉินมู่รีบล้างถ้วยชามตะเกียบมาอีกชุด เฒ่าหนวกนั่งลงและพุ้ยข้าวอย่างรวดเร็ว และเพิ่งระบายลมหายใจเมื่อเขาทานข้าวไป 5 ถ้วยอย่างต่อเนื่อง ฉินมู่ตักนํ้าแกงให้เขาอีก 1 ถ้วยแล้วถามอย่างพิศวง “ท่านปู่หนวก หลายวันมานี้ท่านไปอยู่ที่ไหนมา”
หางตาเฒ่าหนวกกระตุก และเขากัดฟันพูด “สันตินิรันดร์ ข้าไปตามหาเจ้าใบ้ แต่ตามไม่เจอ และข้าก็ใช้เงินเดินทางไปหมดสิ้น จึงได้แต่ขายภาพวาดของข้า”
เสียงของผู้เฒ่ารวดร้าวอย่างยิ่งเมื่อเขากล่าว “ผู้คนเดี๋ยวนี้มีตาแต่ไม่มีแวว! ข้าถึงกับขายภาพไม่ได้เลยสักภาพ และตอนที่ข้ากําลังหิวโหยสุดๆ ข้าก็เจอหญิงเฒ่าซีที่ให้เงินทองข้าจํานวนหนึ่ง หลังจากที่เยาะเย้ยข้าอยู่นานสองนาน จริงสิ อย่าพูดถึงไอ้นักปรุงยา หมอนั่นเอาแต่หัวเราะเยาะข้าที่หาเงินไม่ได้เร็วเท่าเขาขายยา”
ราชามารตู้เถียนจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ตาแก่ผู้นี้คือยอดฝีมือชั้นเลิศ หรือว่าเขาจะเป็นยอดจิตรกรผู้วาดภาพกระบี่เทวะ? ยอดฝีมือระดับนี้ถึงกลับอดโซจนแทบตายงั้นหรือ ถ้าเขาไม่มีเงิน ทําไมเขาไม่แย่งชิงมันมาก็ได้นี่
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ “ท่านปู่หนวก ตอนนี้โลกเต็มไป ด้วยภัยพิบัติ ใครจะซื้อหาภาพวาดมาเพื่อความสําราญใจ หากว่าท่านไม่มีเงิน คราวหน้าก็เอาภาพของท่านไปขายที่เคหาสน์ราชครูได้ ในเมื่อราชครูยินดีจะใช้เงินทองจํานวนมากเพื่อซื้อภาพวาดของท่านเป็นแน่”
เฒ่าหนวกส่ายหน้า “ข้ากําจัดไพร่พลจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไปหลายพันนาย ดังนั้นหากข้าไปที่บ้านของเขาเพื่อขายภาพวาด เขาต้องจับกุมข้าแน่ๆ ข้าสู้เขาไม่ได้”
ฉินมู่ยิ้มแฉ่ง “เช่นนั้นท่านปู่ก็ไปหาข้าที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ นอกจากเงินทองมากมายแล้วข้าก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น ข้าสามารถซื้อภาพวาดทุกภาพที่ท่านวาดขึ้นมา มีเหลือสักภาพไหมในตะกร้าของท่านปู่หนวก ท่านขายให้ข้าได้นะ ข้าจะจ่ายเดี๋ยวนี้เลย”
“ข้าเผามันหมดแล้ว” เฒ่าหนวกกล่าวอย่างไม่อนาทร “แล้วคนอื่นๆ ไปไหน พวกเขายังไม่กลับมากันอีกหรือ”
“เผาไปแล้ว?”
ฉินมู่เจ็บจี๊ด หากว่าราชครูสันตินิรันดร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาต้องกระอักเลือดออกมา 3 ลิตรเป็นแน่
เขานําแถบกระดาษที่นักปรุงยาและคนอื่นๆ เขียนทิ้งไว้ออกมา ให้เฒ่าหนวกอ่านพวกมันทั้งหมด ก่อนที่จะกล่าว “ลายมือของพวกเขานี่อัปลักษณ์เสียจริง ข้าจะนอนหลับพักผ่อนดีๆ สักคืนก่อนค่อยออกไปตามหาพวกเขา แล้วหมอนี่เป็นใคร”
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นราชามารตู้เถียน และราชามารก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าคือนายแห่งตู้เถียน จ้าวผู้ปกครองโลกตู้เถียน เจ้าไม่จําเป็นต้องถวายความเคารพข้าหรอกนะ”
“เขาน่าเกลียดสุดๆ” เฒ่าหนวกลุกขึ้นและกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเข้านอน
“ข้าคือนายท่านราชามารแห่งตู้เถียน” ราชามารตู้เถียนเถียงกลับไปอย่างโมโห
ฉินมู่บอกด้วยเจตนาดี “ราชามาร ท่านปู่หนวกไม่ได้ยินเสียงหรอก”
“เหลวไหล เขาเพิ่งได้ยินที่เจ้าพูดอยู่เมื่อครู่นี้เอง!” ฉินมู่อธิบาย “บางทีเขาก็ได้ยิน บางทีเขาก็ไม่ได้ยิน” ราชามารตู้เถียนเดือดดาลจนพูดไม่ออก ฉินมู่ทําความสะอาดถ้วยชามและตะเกียบก่อนที่จะเตรียมเข้านอน “ราชามาร อย่าเดินเตร็ดเตร่ออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ความมืดนี้อันตรายร้ายกาจนัก”
ราชามารตู้เถียนรับคําซํ้าๆ หลายครั้งพลางครุ่นคิดในใจ “ในเมื่อเจ้าเด็กร้ายกาจนี้ไม่กล้าเข้าไปในความมืด เช่นนั้นนี่ก็เป็นเวลาดีที่สุดที่ข้าจะหนีไป ข้าเพียงแต่ต้องเข้าไปในความมืดแล้วก็จะสลัดเขาหลุดไปได้ จากนั้นข้าก็จะสามารถตั้งพิธีอัญเชิญร่างจริงของข้ามา”
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็หลับผล็อยไป และมีเสียงกรนดังออกมาจากห้องของเขา
ราชามารตู้เถียนย่องด้วยปลายเท้าออกไปข้างนอก รูปสลักหินใน 4 มุมหมู่บ้านเปล่งแสงรางๆ ดังนั้นสภาพรอบข้างจึงไม่มืดมัวนัก แต่ทว่าสถานที่ซึ่งแสงจากรูปสลักเหล่านี้ส่องไปไม่ถึงก็เป็นความมืดมิดดุจนํ้ามันดิบ และไม่อาจมองเห็นอะไรในนั้นได้
ราชามารตู้เถียนไปที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างระมัดระวัง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยื่นนิ้วออกไปในความมืด และได้ยินเสียงกัดกร้วมๆ เมื่อเขาดึงฝ่ามือกลับมา ก็อึ้งไป นิ้วของเขาหายไปเสียแล้ว ถูกอะไรบางอย่างในความมืดนั้นกัดกิน
ราชามารตู้เถียนและสะท้านใจ เขาหยั่งถาม “กังหนัว ตี่ต้า เห่ย(มีใครอยู่ในความมืด)?”
ความเงียบงันดังมาจากมวลมืดนั้น ผ่านไปสักพักเสียงอันชั่วร้ายเย็นเยียบก็ตอบกลับมา “อาปู เกา นี่เหิน (แล้วเจ้าล่ะใคร)?”
ราชามารตู้เถียนคึกคักขึ้นมา และเขากําลังจะกล่าวต่อ แต่พลันมีเสียงพูดขึ้นมาข้างหลังเขา “เจ้าทําอะไรอยู่ ทําไมถึงพูดภาษามาร”
ราชามารตู้เถียนเห็นเฒ่าหนวกปรากฏกายข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และหัวใจเขาบีบรัด “หูของเจ้าหนวกนี่ไวจริงๆ! ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนหูหนวกหรอกหรือ”
เฒ่าหนวกอ้าปากหาวและยกพู่กันขึ้นเขียนคําว่า ‘ตรึง’ บนร่างของราชามาร ก่อนจะกลับไปนอน
ราชามารตู้เถียนขยับไม่ได้สักนิด เขาหมายจะอ้าปากพูดอะไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาได้เช่นกัน
เช้าวันถัดมา ฉินมู่ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารเช้า กิเลนมังกรคาบอ่างล้างหน้าเข้ามาแล้ววางไว้ตรงหน้าฉินมู่ก่อนจะนั่งลงรออาหารของตน
เฒ่าหนวกกินส่วนของเขา “มู่เอ๋อ ข้าจะออกไปค้นหาผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ให้กลับมาทันปีใหม่ ส่วนเจ้ากับหมาตัวใหญ่ของเจ้าจงอยู่เฝ้าที่นี่และดูแลหมู่บ้าน”
ฉินมู่รับคํา กิเลนมังกรที่กําลังกินยาวิญญาณเพลิงฉานของตนก็กล่าวด้วยเสียงตํ่าอู้อี้มีของกินเต็มปาก “ข้าไม่ใช่หมาตัวใหญ่ ข้าเป็นสัตว์มงคลครึ่งมังกรครึ่งกิเลน”
เฒ่าหนวกไม่ได้ยินที่เขาพูดและเดินออกไปจากหมู่บ้าน เขายกพู่กันขึ้นวาดมังกรบนท้องฟ้า จากนั้นขี่มันขึ้นไป
ราชามารตู้เถียนยังคงยืนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน ไม่อาจขยับเขยื้อน
ฉินมู่เก็บถ้วยชามและตะเกียบพลางครุ่นคิดในใจ “เอ..เจ้าลิงยักษ์อสูร เจ้าตัวใหญ่ทําอะไรอยู่นะช่วงนี้ ข้าน่าจะนําของขวัญไปให้เขาด้วย”
เขาเห็นราชามารตู้เถียนจึงส่งยิ้มให้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงนุ่ม “กังหนัว ตี่ ต้าเห่ย?”
ราชามารตู้เถียนสะท้านใจอีกครั้ง “ไอ้เด็กผีนี่ก็รู้หรือ”
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรเฝ้าหมู่บ้าน ส่วนเขามุ่งหน้าไปยังวังสะกดเภทภัย ไม่ทันที่เขาจะเดินไปได้ไกล เขาก็ได้ยินคนสรรเสริญนามพระพุทธองค์ “อามิตาภพุทธ! จ้าวลัทธิมารฟ้า เสาะหาจนรองเท้าสึกหรอยังไม่พบพานแต่ครั้งเมื่อไม่ได้หาก็ได้พานพบ ไม่คิดเลยว่าหลวงจีนน้อยผู้นี้ได้จะได้พบกับจ้าวลัทธิที่นี่”
หลวงจีนในเสื้อผ้าขาดวิ่นปรากฏตัวข้างหน้าเขา ทั้งคู่ต่างก็ตะลึงเมื่อประจันหน้ากัน
ฉินมู่จดจําหลวงจีนนี่ได้ในทันทีว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่โจมตีเรือสมบัติของเขาในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เขาได้ใช้กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์สร้างบาดแผลที่ขาของหลวงจีนนี้ แต่กระนั้นก็ยังวิ่งตะบึงได้ดุจเหินบิน
“ข้าควรเรียกหาเจ้าอย่างไร หลวงจีน” ฉินมู่แย้มยิ้มและมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นหลงเจี่ยวหนันและคนอื่นๆ เขาก็ถอนหายใจโล่งอก
เห็นได้ชัดว่าหลวงจีนนี้ถูกปีศาจรากไม้แห่งสันเขาเดียวดายไล่ล่ามา และประสบเคราะห์ซํ้ากรรมซัดมากมายในแดนโบราณวินาศ
และหนึ่งในอุปสรรคเหล่านั้นทําให้เขาพลัดพรากจากหลงเจี่ยวหนันและคนอื่นๆ เมื่อหลวงจีนวิ่งหน้าตั้งมาด้วยความแตกตื่นก็บังเอิญมาพบกับฉินมู่เข้าให้
“ชื่อทางธรรมของหลวงจีนน้อยผู้นี้คือป้านฉือ” หลวงจีนป้านฉือเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และนํ้าตาสองสายก็หลั่งไหลอาบแก้มเขาเมื่อเขาถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “พุทธองค์เปี่ยมเมตตา บุญกุศลของหลวงจีนน้อยกําลังจะสร้างสําเร็จในที่สุด จ้าวลัทธิมารฟ้า เจ้าก่อกรรมทําเข็ญมาเกินไป ดังนั้นให้หลวง จีนน้อยผู้นี้ส่งเจ้าไปสู่สุคติ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “หลวงจีน เจ้าว่าข้าก่อกรรมทําเข็ญมากเกินไป ช่วยบอกสักกรรมชั่วที่ข้าเคยกระทําหน่อยสิ เพื่อให้ข้าตายอย่างยินยอมพร้อมใจ”
หลวงจีนป้านฉือมีจิตสังหารอันพลุ่งพล่าน เขาพุ่งเข้ามาด้วยแสงพุทธธรรมอันเจิดจ้า “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า และนั่นคือกรรมชั่วใหญ่หลวงที่สุดที่เจ้าได้ก่อ! หากว่าชาติหน้าเจ้าได้เกิดมาอีก จงเกิดใหม่เป็นคนดีๆ เสีย!”