Skip to content

Tales of Herding Gods 23

23. ลบหลู่ทวยเทพ

ฉินมู่ฟังแล้วก็หวั่นไหว “ แบกรูปสลักหินแบกเทพเจ้า?”

เฒ่าบอดพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ “ยิ่งแบกเทพขึ้นหลังแล้วเดินไปด้วยยิ่งหนักหนาสาหัส ในตอนที่เจ้าลอยมาติดฝั่งน้ำ ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ หมายจะไปกู้เจ้าขึ้นมา เฒ่าหม่านี่แหละที่เป็นคนแบกรูปสลักหินและพายายเฒ่าซีฝ่าความมืดไปริมฝั่งน้ำ แม้ว่าจะเดินไปแค่ระยะสั้นๆ แต่เฒ่าหม่าที่แข็งแกร่งขนาดนั้นก็เกือบหมดแรงตาย”

ฉินมู่อึ้งจนหนังหัวชา รูปสลักหินในหมู่บ้านหนักถึงขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย

แล้วใครล่ะที่เป็นคนแกะสลักรูปปั้นหินพวกนี้

แล้วทวยเทพที่ไหนที่เป็นต้นแบบรูปสลักเหล่านี้ ทำไมรูปสลักถึงกลายเป็นหนักอึ้งเมื่อสลักในรูปลักษณ์ของเทพพวกนั้น

แล้วทวยเทพจะชิงชังเขาหรือไม่ ที่เขาอึและฉี่ใส่รูปปั้นสมัยยังเด็กๆ

“กังวลไปทำไม ช่างสลักเทวะของรูปสลักเหล่านี้ตายกันไปนานนมแล้ว สาเหตุที่ข้าให้เจ้าสังเกตรูปปั้นก็เพื่อฝึกดวงตา สิ่งที่ข้าอยากให้เจ้ามองเห็นมิใช่เปลือกรูปสลัก แต่เป็นรูปลักษณ์ที่ช่างสลักเทวะสรรค์สร้างให้กับทวยเทพ!”

เสียงของเฒ่าบอดดังกึกก้องขนาดว่าแม้คนหูหนวกก็คงได้ยิน ทำเอาแก้วหูฉินมู่ลั่นเปรี๊ยะๆ เฒ่าบอดหันไปคุยกับตะกร้ายาในมือรูปสลักหินแล้วตะโกนต่อ “มู่เอ๋อ วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าจะปลุกเปิดเนตรเทวะของเจ้า ในเมื่อมันเรียกว่าเนตรเทวะ เจ้าก็ต้องมองเห็นเทวะ! ใช้ตาของเจ้ามองดูเทพ ดูพลังของเทพ กิริยาของเทพ รังสีของเทพ รูปลักษณ์ของเทพ และจิตวิญญาณของเทพ!”

ทั้งจิตและใจของฉินมู่สั่นไหวขึ้นมาทันที “มองดูเทพ? มองดูเทพในรูปสลักหิน?”

ไม้เท้าไผ่ของเฒ่าบอดตวัดขึ้นมาแตะที่ตำแหน่งหัวใจของฉินมู่อย่างแผ่วเบา คราวนี้เฒ่าบอดมือแม่นเป็นพิเศษ ฉินมู่พลันรู้สึกว่าปราณชีวิตของเราหมุนเวียนโคจรเร็วจี๋ แล้วพุ่งไปที่ดวงตาของเขา!

การฝึกปรือดวงตานั้นเปี่ยมไปด้วยอันตราย แม้ว่าปราณชีวิตของฉินมู่กลั่นกรองขัดเกลามลทินและไขมันส่วนเกินออกจากร่างเขาไปมากแล้ว แต่ดวงตาก็ยังคงเป็นอวัยวะที่บอบบางยากที่จะฝึกยุทธ นับได้ว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ความผิดพลาดเพียงนิดอาจจะทำให้ตาบอดสนิท!

ฉินมู่เคยถามผู้ใหญ่บ้านว่าจะฝึกปรือดวงตาได้อย่างไร แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่บอกอะไรมาก นอกจากเตือนว่าอย่าหาทำ

ทว่าเฒ่าบอดกลับผลักปราณชีวิตของฉินมู่ไปยังดวงตาด้วยความแรงและความเร่งที่เหนือเกินสามัญสำนึก!

ฉินมู่รู้สึกเจ็บแปลบในดวงตา เมื่อกระแสปราณชีวิตไหลโถมถั่งเข้ามา ปราณชีวิตที่หนาเข้มข้นของเขาถูกรีดฟั่นให้เป็นกระแสบางเฉียบโดยพลังวัตรอันลึกล้ำของเฒ่าบอด

ดวงตามนุษย์จะใหญ่ได้แค่ไหนกัน

ทว่าในตอนนี้ ฉินมู่รู้สึกสองตาของเขาโป่งพองราวกับว่ามันกลืนท้องฟ้าเข้าไปทั้งก้อน!

ปราณชีวิตเขาก็เหมือนมังกรมหึมายาวเหยียดอันเหินฟ้าแหวกเมฆเข้าไปในดวงตาอันกว้างใหญ่ราวนภากาศ จากนั้นกระแสปราณชีวิตพลันทะลวงพุ่งอย่างรุนแรงขึ้นไปบนฟ้าราวกับเป็นเสาค้ำฟ้าดิน กระแสปราณเหล่านั้นกระเซ็นซ่านไปทั่วฟ้าก่อนจะถักทอเป็นรอยพิสดารเหมือนแหฟ้าไร้ตะเข็บที่คลี่คลุมทั่วนภาสวรรค์

ความเจ็บแปลบเมื่อครู่พลันหายวับไป และแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาหวิวผ่อนคลายอันเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“มู่เอ๋อ จดจำรูปภาพบนท้องฟ้าไว้ให้ดี นี่คือสวรรค์ชั้นแรกในเก้าสวรรค์ของวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า เรียกว่ารอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาว” เสียงของเฒ่าบอดดังมาจากท้องฟ้าเบื้องบน

ฉินมู่เร่งรีบจดจำรูปรอยตาข่ายบนท้องฟ้าไว้ในใจ ด้วยปราณชีวิตของเขาที่ถูกเหนี่ยวนำโดยเฒ่าบอดเพื่อสร้างรอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาวในดวงตา เขาสามารถเห็นทุกเส้นทาง โครงสร้าง และรายละเอียดของรอยพยุหะนั้นอย่างชัดเจน แต่เพราะว่ารอยพยุหะเจ็ดดาวนั้นทั้งซับซ้อนและละเอียด เขาจึงต้องใช้เวลาสักพักในการจดจำทั้งหมดของมัน

เฒ่าบอดเหนี่ยวนำปราณชีวิตเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้แล่นไปมาภายในรอยพยุหะนั้นจนกระทั่งปราณชีวิตของฉินมู่แห้งเหือดในที่สุด เขาจึงยกปลายไม้เท้าออกจากตำแหน่งหัวใจของฉินมู่

“จำได้มากแค่ไหน” เฒ่าบอดถาม

“ประมาณหกสิบ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”

เฒ่าบอดมีสีหน้าพึงพอใจ “ไม่ง่ายเลยที่จะจดจำรอยพยุหะได้หกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาอันสั้น เอาล่ะโคจรวิชาฟื้นฟูปราณก่อน”

ฉินมู่จึงหันไปวิ่งและโคจรปราณตามวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไปด้วย อันทำให้ปราณชีวิตของเขาฟื้นฟูกลับมาเร็วขึ้น

เมื่อพลังปราณของเขากลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เฒ่าบอดก็สอนต่อ “คราวนี้เรียกใช้รอยพยุหะเจ็ดดาวที่ข้าสอน แล้วมองดูที่รูปปั้นอีกทีว่ามันแตกต่างจากเดิมยังไง”

ฉินมู่ชักนำปราณชีวิตของเขาเข้าไปในดวงตาและถักทอรอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาวด้วยกระแสปราณเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะจดจำได้เพียงหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของรอยพยุหะทั้งหมด เมื่อปราณชีวิตเขาแผ่ซ่านไปทั่วดวงตา ความรู้สึกเบาสบายที่คล้ายจะมองทะลุซึ้งซึ่งสรรพสิ่งก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองรูปสลักหินผู้เฒ่าหัวมังกร จิตของเขาก็หวั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อรูปสลักหินที่เคยดูธรรมดาสามัญตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นฉายแสงหลากสีเจิดจ้า

นี่มันยังกับว่ารูปสลักนี้ฟื้นคืนชีพและกลายเป็นเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์!

เขาเห็นแม้กระทั่งเส้นแสงละเอียดลออที่แผ่ซ่านความสูงส่งของเทพเจ้าออกมาจากรูปสลักหิน!

ทั้งจิตและวิญญาณของเขาถูกกดทับด้วยแรงกดดันจากรูปสลัก!

ในสายตาของเขา รูปสลักมิใช่รูปสลักอีกต่อไป แต่เป็นเทพเจ้าตัวเป็นๆ!

จิตวิญญาณ รูปลักษณ์ รังสี พลังงานของเทพแผ่พุ่งบดขยี้จิตวิญญาณของเขา และกดดันทั้งร่างให้หนักอึ้งทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหวเกือบจะต้องคุกเข่าลงไป!

“จ้องมองต่อไป ห้ามหลับตา ห้ามคุกเข่าด้วย!”

เฒ่าบอดกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “จำได้ไหมว่าตอนที่เจ้ายังเด็ก เจ้าทั้งอึทั้งฉี่ใส่รูปปั้นพวกนี้ หากว่าเจ้ากล้าหาญขนาดนั้นตอนยังเล็กๆ ทำไมเจ้าจะต้องคุกเข่าให้กับมันเมื่อเติบใหญ่ขึ้นด้วยล่ะ มู่เอ๋อ วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าไม่ได้ปลุกแค่ดวงตา และปลุกจิตวิญญาณของเจ้าด้วย เพื่อให้เจ้าสามารถยืนหลังตรงเบื้องหน้าเทพทรงฤทธิ์และมารร้ายทั้งปวง”

เฒ่าบอดเคาะไม้เท้าเขาลงกับพื้นแล้วตะโกนอีกครา “หากว่าเจ้าท้าทายรูปสลักและทนทานแรงกดดันของมัน จิตวิญญาณของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย! หากว่าเจ้าต้องการครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง จิตวิญญาณเจ้าต้องถูกเสริมสร้างให้แข็งแกร่ง เจ้าต้องกลายเป็นเทพเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวของตัวเจ้า และเจ้าจะไม่ขยาดกลัวสิ่งใด!”

เหงื่อเป็นเม็ดๆ หยาดหยดจากหน้าผากของฉินมู่เมื่อเขาดิ้นรนต้านทานความคิดที่อยากจะคุกเข่าลงไป แรงกดดันที่แผ่จากรูปปั้นหินนั้นรุนแรงเกินไป ยากจะต่อต้าน

เฒ่าบอดบอกว่า ไม่ต้องเกรงกลัวเทพในรูปสลักหิน แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นไปไม่ได้

ทุกอย่างผิดแผกไปเมื่อเขาปลุกเนตร

ยามที่ดวงตาของเขายังไม่มีวิชาเนตร รูปสลักหินก็เป็นแค่รูปสลักหิน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรที่จะอึและฉี่ใส่มัน แต่เมื่อเขาปลุกเนตรแล้ว รูปสลักหินไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าตัวจริง และทุกการกระทำ…แม้กระทั่งการเหลือบแลมองหน้าเทพเจ้าล้วนถือเป็นสิ่งลบหลู่ดูหมิ่น

เฒ่าบอดกล่าว “ทุบทำลายเทพในวิหารนั้นง่ายกว่าทำลายทุบเทพในใจตน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นคำกล่าวของใคร”

จิตวิญญาณของฉินมู่อยู่ภายใต้แรงกดดันของรูปสลักหิน เขาจึงไม่อาจเอ่ยตอบได้

“ผู้ที่กล่าวประโยคท้าทายสวรรค์เช่นนี้คือราชครูคนปัจจุบันแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เจ้าของสมัญญานาม อันดับหนึ่งใต้เทวะ!”

ด้วยความฮึกเหิม เฒ่าบอดตะโกนต่อ “มู่เอ๋อ เทพเจ้าในใจเจ้ามีแต่เทพเทียมเทพเท็จ ทุบทำลายพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้น เจ้าถึงจะสถาปนารูปสลักเทพของตัวเจ้าเองได้! เมื่อนั้นแม้แต่เทพยดาตัวจริงลงมาตรงหน้า ก็ไม่อาจทำให้เจ้าคุกเข่า ประสาอะไรกับรูปปั้นหินพวกนี้!”

เฒ่าบอดปักไม้เท้าไว้ข้างๆ แล้วเริ่มคลายปมกางเกง หัวร่อดังลั่น “ฮ่าๆ ไม่เพียงแต่เจ้าต้องไม่คุกเข่า เจ้าต้องเยี่ยวใส่มันด้วย!”

“เยี่ยวใส่มัน?”

ฉินมู่จ้องตาค้าง “เยี่ยวใส่เทพเจ้า?”

เฒ่าบอดปล่อยปัสสาวะลงที่รูปปั้นหินแล้วหัวเราะ “ใช่แล้ว เยี่ยวใส่แม่มเลย! ตอนเล็กๆ เจ้าเยี่ยวใส่มันเป็นร้อยครั้ง จะมาหำหดอะไรตอนนี้”

ฉินมู่กัดฟันแล้วปลดกางเกงฉี่ใส่บ้าง น้ำอุ่นๆ นั้นราดรดรูปสลักหิน

ทว่าฉี่ของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปรรูปลักษณ์ของรูปสลักเทพเลย ในสายตาของฉินมู่รูปสลักเทพยังคงดูเจิดจ้า สูงส่ง และเต็มไปด้วยแรงกดดัน ทว่าความรู้สึกในใจของเขาที่อยากจะคุกเข่าให้กลับหายไปโดยสิ้นเชิง

ผู้เฒ่าและผู้เยาว์หันมา ‘สบตากัน’ ก่อนจะระเบิดหัวเราะพร้อมๆ กัน

ผู้ใหญ่บ้านซึ่งอาบแดดอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา เหลียวไปดูครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เฒ่าบอดนี่มันทะลึ่งจนเป็นอัจฉริยะจริงๆ ถึงใช้วิธีนี้ทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจของฉินมู่ และเสริมความแข็งแกร่งจิตวิญญาณเขา หากเป็นคนอื่นล่ะก็คงคิดวิธีพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ออก มู่เอ๋อเองก็ใจกล้าไม่เบาที่ร่วมผสมโรงฉี่ใส่รูปปั้นไปกับเขาด้วย ให้มู่เอ๋อฉี่ใส่รูปปั้นไม่เพียงแต่ทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจฉินมู่ แต่ยังทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจเขาด้วย ‘เทพ’ องค์ที่พรากดวงตาจากเขาไป…ทวนเทวะกลับมาแล้ว”

เขารู้ว่าเหตุใดเฒ่าบอดจึงทำเช่นนี้

ไม้เท้าไผ่ในมือเขามิใช่ไม้เท้า แต่มันคือทวน

เมื่อเฒ่าบอดมาถึงหมู่บ้านพิการชราเป็นครั้งแรก ร่างกายของเขาบาดเจ็บยับเยิน สภาพดูไม่ได้ราวกับขอทานตกท้องร่องน้ำครำ

แต่ว่าฝีเท้าของเฒ่าบอดรวมทั้งไม้เท้าในมือกลับให้ความรู้สึกแข็งแกร่งหยัดยืน

ยามที่เขาเดินเข้ามาในหมู่บ้านทำให้ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกเหมือนมีมังกรพิโรธพวยพุ่งมาจากทุกสารทิศ ในสายตาของผู้ใหญ่บ้าน ท่วงท่าของเฒ่าบอดไม่ต่างอะไรกับเสาค้ำยันสวรรค์

บุคคลที่มีจิตวิญญาณและวิชาทวนเยี่ยงนี้ มีผู้เดียวในโลก…ทวนเทวะ!

แต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของทวนเทวะหาใช่ทวนในมือของมัน แต่เป็นดวงตาสองข้าง เขามีเนตรเทวะที่สามารถมองทะลุหยั่งรู้ทุกช่องโหว่และกระบวนท่า

และในตอนนี้ เฒ่าบอดก็ถ่ายทอดเนตรเทวะนั้นให้กับฉินมู่

ท่านต้องฝึกดวงตาก่อนที่จะฝึกหอกทวน แต่ก่อนที่จะฝึกดวงตาท่านต้องฝึกหัวใจ!

ดวงตาของเฒ่าบอดคือดวงตาเทวะ ยิ่งดวงตาทรงพลังมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่มากเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นความน่ากลัวเขย่าขวัญของความจริงเหล่านั้นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version