24. ทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ
สรรพสิ่งในโลกหล้ามิได้เรียบง่ายสามัญอย่างที่เห็น คนธรรมดามองโลกผ่านตาเนื้อของตน ผู้ฝึกเนตรมองโลกผ่านดวงตาที่ถูกปลุกพลังแล้ว ย่อมเห็นโลกต่างกันราวกับอยู่กันคนละมิติ
รูปสลักหินในหมู่บ้านอันแสนจะธรรมดาสามัญ แต่ผู้ฝึกเนตรย่อมมองเห็นเทพยดาจากรูปสลัก ผู้ฝึกเนตรเหล่านั้นยังสามารถเห็นเหล่าเทพมวลมารสิงสถิตตามซากโบราณอันกระจัดกระจายทั่วแดนโบราณวินาศ หรืออย่างพุทธรูปในวิหาร ชาวบ้านธรรมดาเห็นแต่พุทธรูปสำริด แต่ผู้ฝึกเนตรจะเห็นพุทธองค์ผู้ทรงเดช เปล่งรัศมีธรรมบดขยี้จิตวิญญาณพวกเขา!
หากว่าผู้ฝึกเนตรไม่มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งพอ ไม่ช้าไม่นานเขาก็จะตกใจขวัญบินตายจากสิ่งที่เขาเห็น
ดังนั้นในการที่เฒ่าบอดสอนวิชาเนตรให้ฉินมู่ จึงเริ่มจากการฝึกจิตวิญญาณ เพื่อทุบทำลายปฏิมาของเทพเจ้าในหัวใจตน จากนั้นก็จะไม่หวาดกลัวเทพและมารอีกต่อไป
เหมือนกับภาษิตพุทธที่บอกว่า ถ้ายังมีพระพุทธเจ้าในหัวใจ เจ้าก็ไม่อาจกลายเป็นพุทธะ
ราชครูแห่งอาณาจักรสันตินิรันดร์ก็ยังพูดว่า ทุบทำลายเทพเจ้าในวิหาร ง่ายกว่าทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจตน ภาษิตทั้งสองนี้อยู่บนฐานคิดเดียวกันกับการที่เฒ่าบอดฉี่ใส่รูปสลักหิน
สองภาษิตแรกแสดงแนวทางการขัดเกลาเสริมความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเอาชนะเทวา-พุทธา ในใจตนได้ในที่สุด แต่วิธีของเฒ่าบอดทั้งหยาบกระด้างทั้งสุดโต่ง กลับได้ผลเหลือเชื่อ
ยามที่ผู้ใหญ่บ้านเห็นเฒ่าบอดเป็นครั้งแรก บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเหมือนกับมังกรพิโรธพวยพุ่งไปทั่วสารทิศ ทว่าความเหี้ยมหาญของเฒ่าบอดพังทลายลงเมื่อดวงตาของเขาถูกควักออกไป
ทว่าบัดนี้ ทวนเทวะได้หวนคืนมาแล้ว
ทั้งหมดนี่ก็เพราะฉินมู่ ตั้งแต่เมื่อหมู่บ้านพิการชราได้เลี้ยงดูเด็กทารกครบสามสิบสอง ความเคียดแค้นชิงชังต่อโลกและผู้คนของพวกเขาก็บรรเทาเบาบางลง และเมื่อต้องถ่ายทอดวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าให้กับฉินมู่ เฒ่าบอดต้องปลุก ‘เนตรเทวะ’ ของตนเองขึ้นมาก่อน แต่เนื่องจากเนตรเทวะเดิมของเขาถูกควักออกไป เฒ่าบอดจึงเหลือแต่ตาจิต
และยามที่เฒ่าบอดถ่ายทอดวิชาให้กับฉินมู่ ผู้ใหญ่บ้านรับรู้ได้ว่า ‘เนตรเทวะ’ พลันเบ่งบานผุดขึ้นใหม่ในจิตของเฒ่าบอด แต่คราวนี้มันควรจะเรียกว่า‘เนตรจิตเทวะ’
เมื่อไม่มีดวงตาหลงเหลือ เขาก็ใช้จิตแทนดวงตา!
ผู้ใหญ่บ้านหลับตาลงช้าๆ และเอนตัวรับแสงแดดอุ่นขณะที่คิดในใจ “เนตรจิตเทวะจะต้องเหนือล้ำกว่าเนตรเทวะเดิมเป็นแน่ และทวนเทวะบัดนั้นได้ก้าวข้ามทวนเทวะคนเก่าอย่างไม่ติดฝุ่น เฒ่าบอด…วันใดที่เจ้าย่างเท้าออกจากแดนโบราณวินาศ วันนั้นศัตรูคู่อาฆาตของเจ้าจะต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว…”
หลังจากที่ฉินมู่ฉี่รดรูปปั้นเสร็จ ก็มีกระแสความเย็นแล่นไปทั่วกระดูกสันหลัง เขาพบว่าทั้งจิตใจและร่างกายของเขาเหมือนหลุดพ้นพันธนาการอันมองไม่เห็น
รูปสลักหินไม่อาจกดทับบดขยี้จิตวิญญาณของเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเขาหันมาเพ่งพิศรูปสลักในตอนนี้ เขาก็พบรายละเอียดมากมายที่มิอาจเห็นได้ก่อนหน้า คล้ายกับว่าก่อนหน้านี้ดวงตาของเขาถูกผ้าบางๆ คลี่คลุม ทำให้เขาเห็นทุกสิ่งแบบเลือนลาง แต่ในขณะนี้เหมือนผ้าบางนั้นถูกดึงออกไป ทำให้เขาเห็นสีสันอันแท้จริงของสรรพสิ่ง
เขาจ้องมองสีสันแปลกใหม่รอบตัวอย่างหิวกระหาย ความงามอันเขาไม่เคยค้นพบมาก่อนทำให้เขาแทบอยากร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ
เมื่อเข้าใกล้รูปปั้นอื่นๆ จิตวิญญาณของเขาก็ถูกดลให้ตะลึงลานอีกครั้ง รูปสลักอีกสามรูปก็คล้ายกับรูปสลักผู้เฒ่าหัวมังกร เปล่งแสงเทวะ ความงามบรรเจิด และรัศมีศักดิ์สิทธิ์!
แต่ตอนนี้เขามองดูพวกมันได้ตามปกติ เมื่อรูปสลักหินเหล่านี้ไม่อาจกดดันจิตวิญญาณของเขาได้อีกต่อไป
วิชาปลุกเนตรสวรรค์ เพียงฝึกถึงสวรรค์ชั้นแรกก็ทำให้เขาลิงโลดใจขนาดนี้ อยากรู้จริงเชียวว่าเขาจะได้เห็นความงามที่มหัศจรรย์ของสรรพสิ่งมากขึ้นไปอีกหรือไม่เมื่อฝึกถึงสวรรค์ขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
ฉินมู่หยิบกระจกทองแดงขึ้นมาส่องเงาตน ในกระจกนั้นดวงตาของเขาดูแปลกไปจากปกติ เนื่องจากมีวงแหวนลึกลับปรากฎในแก้วตา บนวงแหวนนั้นมีลวดลายแปลกประหลาดเหมือนกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบประสานกัน
วงแหวนนี้ค่อยๆ จางลงและหายวับไป
ฉินมู่หลับตาของเขา และชักนำปราณชีวิตเข้าไปถักทอรอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาวก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็เห็นวงแหวนในตาปรากฎที่กระจกอีกครา
วงแหวนนี้คือภาพสะท้อนของสรวงสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
“หากว่าข้าฝึกปรือวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าสำเร็จ ดวงตาก็คงมีเก้าวงแหวนซ้อนๆ กันดูเหมือนมีสิบวงแก้วตาเลยสินะ” ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ
เฒ่าบอดชี้สอนชักนำให้เขาเรียนรู้ลวดลายของรอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาวต่อ ไม่นานนักฉินมู่ก็สามารถถักทอรอยสวรรค์นี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์
“มู่เอ๋อ เจ้าพักพอหรือยัง”
คนแล่เนื้อ ‘กระโดด’ ลงมาจากโม่หินเตี้ย และคว้ากำมีดเชือดหมูทั้งสองเล่มของเขา “หากว่าพักพอแล้ว ก็มาฝึกมีดสิ!”
ฉินมู่พยักหน้ารับ หยิบมีดเชือดหมู่ของตน แล้วรีบไปหาคนแล่เนื้อ
ผ่านไปสักพัก เฒ่าหม่าและเฒ่าเป๋ ก็กลับจากการล่าสัตว์ และเข้ามารับช่วงต่อการฝึกนรก ‘รีดเค้นศักยภาพ’ ฉินมู่ และยอมปล่อยฉินมู่ไปก็ต่อเมื่อไม่เหลืออะไรให้รีดแล้ว
พอตกเย็น ฉินมู่ก็ต้องไปเรียนวิชาตีเหล็กจากเฒ่าใบ้ช่างตีเหล็ก เฒ่าใบ้ส่งภาษามือสองสามทีแล้วส่งเสียงแบะๆ ขณะที่ฉินมู่พยักหน้ารับพลางครุ่นคิดตาม
สิ่งที่เฒ่าใบ้อธิบายคือเทคนิควิธีในการฝึกปรือพลังยุทธ เขาบอกว่าการฝึกยุทธก็ไม่ต่างอะไรกับการตีเหล็ก ผู้ฝึกต้องใส่ใจวิธีใช้สอยที่แตกต่างกันของไฟแรงไฟเบาไม่เพียงแต่ศึกษาวิธีการใช้ไฟ ยังต้องรู้วิธีตีเหล็กดิบให้เป็นเหล็กกล้า รู้จักแช่เหล็กร้อนในน้ำเย็นเพื่อให้มันควบแน่นแข็งแกร่ง
ปัญญาและพลัง แข็งขืนและยืดหยุ่น มังกรและพยัคฆ์ พลังขั้วตรงข้ามเหล่านี้ ถ้ารู้จักใช้จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ยิ่งฉินมู่คิดตามมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกว่ามันฟังดูสมเหตุสมผลมากเท่านั้น เขาชื่นชมคำพูดอันลึกล้ำของเฒ่าใบ้ ซึ่งช่วยให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
ระหว่างที่ฝึกหลอมตีเหล็ก เฒ่าใบ้สอนเขาถึงวิธีสังเกตไฟ ระหว่างที่จ้องมองไฟในเตาหลอม เฒ่าใบ้ก็ขยับมือร่ายวิชาสองสามที
ดวงตาของฉินมู่เป็นประกายมากขึ้นเมื่อเขาทำตามที่เฒ่าใบ้สอน โดยสังเกตเปลวไฟไปพร้อมๆ กับโคจรปราณชีวิต ด้วยกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ…วงจรปราณชีวิตของเขาก็เหมือนกับเตาหลอมเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่กลางอก อันคอยลำเลียงความร้อนไปทั่วร่างกาย
เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรื่นรมย์ยินดีคล้ายกับว่าปราณชีวิตของเขากำลังถูกเผาในเตา
และข้างในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ทารกวิญญาณของเขาก็ดูดซับพลังงานจากทะเลแห่งแสงขณะที่มันโคจรลมหายใจไปด้วย ทารกวิญญาณของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เมื่อปราณชีวิตที่มันสูดเข้าไปถูกจุดสันดาปเป็นเปลวไฟ แล้วเผาไหม้รอบๆ ร่างกายมันราวกับว่ามันกำลังอาบไฟในเตาหลอม
ฉินมู่ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าทารกวิญญาณของเขาก็เริ่มการขัดเกลาร่างกายเช่นเดียวกัน เพียงแค่นั่งสังเกตไฟในเตา ทารกวิญญาณก็สามารถแปรเปลี่ยนพัฒนาไปในแบบที่เขาคาดไม่ถึง!
เฒ่าใบ้เองก็จ้องมองฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างตื่นตระหนกเจือพิศวง ผ่านไปครึ่งค่อนวันฉินมู่ก็พบว่าพลังไฟที่ทารกวิญญาณสามารถทนได้มาถึงขีดจำกัด เขาหยุดการเฝ้าสังเกตไฟทันที
“อา…อา!”
เฒ่าใบ้ใช้ภาษามือสองที แล้วโยนเหล็กร้อนแดงลงในน้ำ เสียงดังฉี่ๆ และปล่อยไอสีขาวพวยพุ่ง หลังจากนั้นเฒ่าส่งสัญญาณมืออีกสองที
ประกายตาของฉินมู่ลุกวาบ เขาเพ่งสมาธิสังเกตความเปลี่ยนแปรของหม้อน้ำที่โยนเหล็กเข้าไปนั้น
เสียงไหลรินของน้ำพลันดังขึ้นในอกของเขา พร้อมกับเสียงระริกรื่นของวารี ปราณชีวิตอันพวยพุ่งเข้าไปหาทารกวิญญาณของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสธารเล็กๆ และเมื่อมันเข้าไปสัมผัสกับทารกวิญญาณ สิ่งประหลาดก็ปรากฎขึ้น ปราณชีวิตของเขาทำการรีดเร้นควบแน่นทารกวิญญาณทันที!
ฉินมู่ทำใจสบาย ปล่อยให้ทารกวิญญาณถูกขัดเกลารีดเร้นด้วยไฟและน้ำ!
เช้าวันต่อมา ฉินมู่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังงาน เขาใช้เทคนิคที่เฒ่าใบ้สอนในการฝึกปรือพลังยุทธ และมันทำให้การฝึกปรือได้ผลเป็นสองเท่าจริงๆ!
ไปหาลิงยักษ์อสูรนั่นและสู้กับมันอีกทีดีกว่า!
ฉินมู่กำลังคึกคัก เขากินยาเซียนเสริมชีวาไปหนึ่งเม็ด และฤทธิ์ยาบีบให้เขาต้องวิ่งตะบึงออกไปเพื่อจัดการกับพลังงานของตัวยา ในขณะเดียวกันลิงยักษ์อสูรก็เฝ้ารอเขาอยู่ใต้เงื้อมผามาได้สักพักแล้ว
“เด็กกระจ้อยร่อย…หมอบ!”
ลิงยักษ์อสูรฝึกฟ้าคำรามแปดจู่โจมที่ฉินมู่ถ่ายทอดให้เมื่อวาน และพบว่าพละกำลังของมันเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อมันเห็นฉินมู่วิ่งตะบึงเข้ามาใกล้ มันก็โยนกิ่งไม้ที่คาบอยู่ ตั้งท่าเตรียมต่อสู้พลางร้องเสียงดัง
“หมอบ…ราบ!”
ฉินมู่พุ่งเข้าใส่ลิงยักษ์อสูรอันเหมือนภูเขาเคลื่อนที่ได้ที่กำลังจะเข้ามาบดขยี้เขา และในจังหวะที่เข้าสู่ระยะหมัดนั่นเอง มันก็ร่ายรำกระบวนท่าสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาทันที ด้วยเสียงลมหมุนที่รุนแรงขึ้นรุนแรงขึ้น กระบวนท่านี้เป่าต้นไม้บริเวณรอบๆ กระจุยกระจายด้วยลมบ้าหมู!
สองตาฉินมู่สุกใส เขาเปล่งเสียงกู่ร้องดังสนั่น และวาดหมัดร่ายกระบวนท่าสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาซัดสวนลิงยักษ์อสูรไปเช่นกัน!
ตู้มมม!
เสียงระเบิดทึบแน่นปะทุขึ้นมา เมื่อทั้งคู่ต่างก็กระเด็นกลับไปคนละทางจากแรงสะท้อนหมัดตนเอง เมื่อลิงยักษ์อสูรร่วงลงพื้นมันก็กระโจนซัดหมัดยักษ์แหวกอากาศ จนอากาศธาตุสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ยิ่งมันซัดหมัดรัวเท่าไหร่ เสียงฮึมฮัมในอากาศก็ดังชัดเจนมากขึ้น
ฉินมู่มองดูด้วยความตระหนก ลิงยักษ์อสูรนี้ยังเรียนรู้กระบวนท่าพุทธองค์พันกรอีกด้วย!
พุทธองค์พันกรที่ลิงยักษ์อสูรร่ายรำออกมานั้นยังติดขัดไม่ชำนาญ และลิงยักษ์อสูรก็ยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดของกระบวนท่านี้ได้ ทว่ามันเข้าถึงหัวใจสำคัญของกระบวนท่า รวมกับพละกำลังมหาศาลของมัน พุทธองค์พันกรของลิงยักษ์อสูรดูจะร้ายกาจดุดันกว่าของฉินมู่เสียอีก!
ร่างเนื้อของลิงยักษ์อสูรนั้นแข็งแกร่งสุดๆ แข็งแกร่งเกินจินตนาการ หลังจากที่มันฝึกปรือวิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจม ร่างเนื้อของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก ทุกเงาหมัดของมันแฝงพลังอันน่าสะท้านใจ
หลังจากฝึกปรือพลังยุทธและวิชาต่างๆ รุดหน้าเมื่อวานนี้ ฉินมู่คิดว่าจะสามารถกลับมาอัดลิงยักษ์อสูรให้ปางตายได้ซะอีก แต่ไม่นึกเลยว่าเขาไม่อาจชิงชัยได้เปรียบในการต่อยตี ซ้ำยังมีทีท่าจะถอยร่นเสียเปรียบตั้งแต่เริ่มสู้!