Skip to content

Tales of Herding Gods 235

ตอนที่ 235 ฉินมู่ยืมเรือ

ตึง ตึง

ศพของนักพรตฉื้ออวิ๋นและนักพรตเช่าอวิ๋นล้มลงกับพื้น ฉินมู่ดึงกระบี่ของเขากลับและเงยหน้าขึ้นมอง หลงเจี่ยวหนันจากไปไกลแล้ว ความเร็วของงูแดงเร็วเหลือร้าย คงไม่ง่ายนักถ้าจะตามนางให้ทัน

“คํ่าคืนนี้ ผู้นําทางความตายก็จะมีวิญญาณเร่ร่อนที่เขาจะต้องพาไป น่าเสียดายที่ไม่สามารถส่งหลงเจี่ยวหนันกลับบ้านเก่าไปด้วยได้ หญิงผู้นี้เฉียบแหลมหัวไว ในการศึกที่เมืองคลื่นสวรรค์นางก็หนีไปได้”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก บัดนี้เมื่อหลงเจี่ยวหนันเหลือตัวคนเดียว นางก็คงทําอะไรไม่ได้มาก หากว่านางยังกล้าสะกดรอยตามเขามาอีกหน นางจะต้องตายเป็นแน่แท้

เหตุผลหลักที่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะการประสานร่วมมือกันของทุกๆ คน เพราะถึงอย่างไรวรยุทธของนักพรตฉื้ออวิ๋นก็มิได้ตํ่าต้อยเลย เทียบเท่าได้กับหลงเจี่ยวหนัน

ในเมื่อนักพรตฉื้ออวิ๋นพกกล่องกระบี่แสดงว่าเขาเชี่ยวชาญในเชิงกระบี่ ด้วยราชามารตู้เถียนปัดป้องกระบี่ของนักพรตด้วย 8 แขน ฉินมู่ก็สามารถพุ่งไปประชิดตัวนักพรตฉื้ออวิ๋นได้โดยไร้กังวล

จุดแข็งของลิงยักษ์อสูรอยู่ที่พละกําลังมหาศาลเกินจินตนาการของเขา ด้วยไม้เท้าขักขระและพระสูตรมหายานยูไล พละกําลังของลิงยักษ์อสูรก็สามารถทําให้นักพรตฉื้ออวิ๋นมึนงงได้เลยทีเดียว ทําให้ฉินมู่สามารถคร่าชีวิตเป้าหมายได้ในการจู่โจมเดียว

พลังการต่อสู้ของหลงเจี่ยวหนันส่วนใหญ่อยู่ที่งูแดงซึ่งบ่มเพาะจนเกือบจะเป็นมังกรไร้เขาอยู่รอมร่อ แต่ทว่ากิเลนมังกรเป็นคู่มือกับงูแดงอย่างเหมาะเจาะ เมื่อเขากดหัวงูแดงเอาไว้ด้วยพละกําลังมหาศาล หลงเจี่ยวหนันก็มิอาจเข้าไปช่วยเหลือนักพรตฉื้ออวิ๋นได้ เช่นนี้นักพรตเฒ่าจึงถึงจุดจบ

แต่ทว่า เมื่อบัดนี้หลงเจี่ยวหนันหลบหนี ฉินมู่ไม่อาจไล่ตามนางไปได้ เพราะหากเขาตามนางก็จะพ่ายแพ้ตกตายเป็นแน่ สหายร่วมรบของเขา ราชามารตู้เถียน กิเลนมังกร และลิงยักษ์อสูร ล้วนแต่น่าเสียดายที่ไม่เร็วพอจะไล่กวดนางทัน พวกเขาจึงได้แต่ปล่อยให้นางหลบหนีไป

“เจ้าตัวใหญ่ ยูไลน้อยแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามทําให้เจ้าลําบากบ้างไหม” ฉินมู่ถาม

ลิงยักษ์อสูรส่ายหัว แล้วชี้ที่ตนเอง “ของข้า ชื่อ คง”

ฉินมู่รอสักพัก ลิงยักษ์อสูรน่าจะกําลังบอกถึงชื่อทางธรรมของเขา แต่ชื่อทางธรรมที่ไหนมีแค่พยางค์เดียว ชื่อนั้นคือคงจริงๆ น่ะหรือ แล้วหากว่าไม่ใช่ อะไรคือคง

ลิงยักษ์อสูรคิดว่าฉินมู่เข้าใจแล้ว จึงไม่พูดอะไรต่อ ลิงยักษ์อสูรนี้ตระหนี่ถ้อยคําดุจกลัวพิกุลทองจะร่วงจากปาก และไม่พูดอะไรมากเกินจําเป็น

“ดีแล้วล่ะที่เจ้าตามยูไลน้อยไปฝึกปรือ ยูไลน้อยกระจ่างในพระสูตรมหายานยูไลดี และเป็นสัตว์พิสดารที่บรรลุธรรม ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่สุดที่จะชี้แนะเจ้าในเรื่องการฝึกปรือ”

ฉินมู่โบกมือแล้วกล่าว “ผู้เฒ่าที่บ้านข้าหายตัวไปกันหมด ดังนั้นข้าเลยต้องไปตามหาพวกเขา และคงอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเจ้าไม่ติดธุระอะไรก็กลับบ้านด้วยล่ะ หลิงเอ๋อก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน!”

ทั้ง 2 คนโบกมือลา ฉินมู่เดินตามทิศทางที่ผู้นําทางความตายชี้ และคราวนี้เขาไม่รู้สึกถึงสายตาของหลงเจี่ยวหนันที่จับจ้องเขาอีกต่อไป เด็กสาวผู้นี้คงตระหนักว่านางมิอาจสังหารเขาได้ จึงยอมถอย

“การต่อสู้ระหว่างยูไลน้อยและนักพรตหลิงจิ่งจะเป็นไงบ้างนะ…”

แม้ว่าฉินมู่จะนึกคิดเรื่องการต่อสู้ที่น่าสนใจนั้นตลอด แต่การค้นหาผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ สําคัญกว่า เขานั่งลงที่หน้าผากของกิเลนมังกรซึ่งวิ่งตะบึงไป ขณะที่ราชามารตู้เถียนเลือกที่จะยืนบนหลังกิเลนมังกร ใบหน้าทั้ง 4 ของเขามองออกไปทั้ง 4 ทิศเพื่อคอยตรวจตราความเคลื่อนไหวรอบข้าง

ยิ่งพวกเขาเดินทางในแดนโบราณวินาศลึกเข้าไปเท่าไร สัตว์พิสดารที่พบพานก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น สัตว์พิสดารหลายตัวไม่ด้อยไปกว่ากิเลนมังกรและงูแดงยักษ์เลย โชคยังดีที่สัตว์พิสดารส่วนใหญ่เหล่านั้นมีอาณาเขตเป็นของตนเอง

อาศัยอยู่ในแดนโบราณวินาศตั้งแต่ยังเล็ก ฉินมู่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการระบุจําแนกอาณาเขตของสัตว์พิสดาร ดังนั้นเขาจึงสามารถหลบเลี่ยงพวกมันได้อย่างง่ายดายตลอดการเดินทาง และไม่พบพานอันตรายมากมาย

“หากว่าเรามุ่งหน้าไปต่อ พวกเราก็จะไปถึงประตูสวรรค์ทิศบูรพา”

ฉินมู่ระลึกแผนที่ภูมิประเทศของแดนโบราณ สถานที่ในนั้นเรียกว่าประตูสวรรค์บูรพา และยังมีอีก 3 สถานที่ที่มีนามประตูสวรรค์เช่นกัน ได้แก่ ประตูสวรรค์อุดร ประตูสวรรค์ประจิม และ ประตูสวรรค์ทักษิณ

ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็หยุดทันใดและจมูกฟุดฟิดในอากาศ “มีกลิ่นเลือด”

เจ้านี่มันหมายักษ์ชัดๆ ไม่ใช่กิเลนหรอก ราชามารตู้เถียนคิดในใจ

ฉินมู่ใจวูบไหวเล็กน้อย “กลิ่นเลือด? ไปดูกัน”

กิเลนมังกรตามกลิ่นเลือดไป และสักพักหนึ่ง ฉินมู่ก็เห็นนักพรตเฒ่าอยู่ไกลๆ ซึ่งกําลังเอนตัวพิงต้นไม้พลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

“นักพรตหลิงจิ่ง!”

ด้วยความตระหนก ฉินมู่รีบเรียกกิเลนมังกรให้ยั้งเท้า “เขาวางเวทจํากัดเขตไว้รอบๆ ตัว อย่าไปเหยียบมันเข้าล่ะ”

นักพรตหลิงจิ่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างอ่อนแรงและเหลือบแลดูเขา จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจ ไออย่างรุนแรงและกระอักเลือดมากําหนึ่ง “สายตาของศิษย์กระบี่เทวะไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าได้รับบาดเจ็บจึงวางเวทจํากัดเขตเอาไว้รอบตัวเพื่อมิให้ถูกสัตว์พิสดารจู่โจม”

ฉินมู่กล่าว “นักพรต ข้าเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ ท่านต้องการให้ข้าช่วยไหม”

นักพรตหลิงจิ่งยกมือขึ้นและถอนเวทจํากัดเขตออก เขาหมายจะลุกขึ้นแต่ไม่อาจขยับเขยื้อน ดังนั้นเขาจึงกล่าวพลางหอบหายใจ “เข้ามาเลย”

ฉินมู่ให้กิเลนมังกรเดินไปที่ต้นไม้ จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหัวของมันเพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของนักพรตหลิงจิ่ง ผู้เฒ่านี้บาดเจ็บสาหัส และบาดแผลเหล่านี้น่าจะเป็นฝีมือของยูไลน้อย

ประเด็นสําคัญก็คือนักพรตหลิงจิ่งค่อนข้างชราภาพและร่างกายเขาไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน นี่ทําให้อาการบาดเจ็บยิ่งร้ายแรงมากขึ้นและย่อมทําให้ร่างกายของเขาเยียวยาเองตามธรรมชาติได้ยากยิ่ง

ฉินมู่หลอมปรุงยาวิญญาณทันที ณ จุดนั้น ด้วยวิชามือของเขาที่ทั้งรวดเร็วทั้งสมบูรณ์แบบ ไม่นานนัก ยาวิญญาณหม้อหนึ่งก็เสร็จสิ้นและเขาให้นักพรตหลิงจิ่งกลืนกินเข้าไป

สีหน้าของนักพรตหลิงจิ่งค่อยดีขึ้นและเขากล่าวด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น “ศิษย์ของกระบี่เทวะถึงกับมีความสําเร็จสูงส่งในวิชาแพทย์อีกด้วยหรือ สหายเต๋าน้อย เจ้าไม่มาเป็นศิษย์ข้าหรือ ข้ามีศัตรูมากมาย และหากมีเจ้าข้างกาย ข้าก็คงปลอดภัยไร้กังวล ไม่ต้องห่วง ถึงแม้ว่ากระบี่เทวะเฒ่าจะทรงพลังอํานาจ แต่สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเขา”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ข้าเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้า ดังนั้นข้าจึงเป็นศิษย์ของท่านไม่ได้หรอก”

“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิมาร” นักพรตหลิงจิ่งพยายามจะลุกขึ้น จากนั้นโค้งคารวะด้วยสีหน้าเคารพ “ข้าคิดว่าข้าเหนือกว่าเจ้าในขั้นอาวุโส ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะเป็นศิษย์พี่ในขั้นอาวุโสเดียวกัน หลิงจิ่งน้อมพบจ้าวลัทธิมาร”

ฉินมู่คารวะตอบ “ศิษย์พี่หลิงจิ่งสุภาพเกินไปแล้ว ตอนนี้อาการบาดเจ็บของท่านมิใช่ปัญหาอีกต่อไป หากว่าท่านหมายจะกําจัดมันอย่างถึงรากถึงโคน ท่านจะต้องบํารุงตนเองให้กลับมาแข็งแรง”

นักพรตหลิงจิ่งแย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าให้เหรียญเฝิงตู่ 2 เหรียญแก่เจ้าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด กระบี่เทวะเฒ่ายังติดค้างข้า 2 เหรียญเฝิงตู่ แต่ข้าคิดว่าเจ้าหมอนั่นคงไม่คืนให้ข้าหรอกเขานั้นขี้เหนียวจะตาย ถึงกับเคยสับนิ้วข้าออกไป 1 นิ้วเมื่อครั้งกระโน้น”

เขาหงายมือขวาแล้วกล่าว “ดูสิ”

นิ้วนางที่มือขวาของเขาหายไป และมันเป็นบาดแผลกระบี่อย่างชัดเจน

“หากมิใช่เพราะนิ้วที่ขาดหาย ยูไลน้อยแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามจะมีปัญญาทําให้ข้าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ได้หรือ แต่ทว่าอาการบาดเจ็บของเขาก็ร้ายแรงเช่นกัน ฮี่ๆ ในเมื่อไม่มีหมอเทวดาอยู่ข้างกายเขา ข้าคะเนว่าเขาคงต้องไสหัวกลับไปวัดน้อยฟ้าคำรามแล้วทนทรมานไปอีกสองสามปีกว่าจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม”

นักพรตหลิงจิ่งระบายลมหายใจที่อัดอั้น “เจ้าหมอนั่นอ่อนเยาว์กว่าข้า ทั้งยังมีรากฐานที่ดี เขาเป็นศิษย์ของยูไลรุ่นก่อนและเป็นศิษย์น้องของยูไลรุ่นนี้ เมื่อยูไลรุ่นก่อนส่งต่อตําแหน่งให้ศิษย์พี่ของเขา ยูไลน้อยก็ขึ้งโกรธและรู้สึกว่าเหตุผลที่ยูไลรุ่นก่อนไม่มอบตําแหน่งยูไลให้แก่เขาเพราะว่าเขามาจากเผ่าปี ศาจ ดังนั้นเขาจึงบุกตะลุยสังหารออกมาจากวัดใหญ่ฟ้าคํารามและก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคําราม จริงสิ เหตุใดเจ้าจึงเตร็ดเตร่ไปในส่วนลึกของแดนโบราณวินาศแต่โดยลําพังล่ะ”

ฉินมู่ผสมสมุนไพรจํานวนหนึ่งเข้าด้วยกันและต้มยาหม้อหนึ่ง “ผู้เฒ่าทั้งหลายในหมู่บ้านของข้าหลงทาง ข้าเลยมาตามหาพวกเขา”

“ผู้เฒ่าทั้งหลายในหมู่บ้านของเจ้า?” นักพรตหลิงจิ่งฉงนฉงาย

“ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกระบี่เทวะเฒ่าและผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในหมู่ พวกเขามีราชาพิษหน้าหยก โจรเทวะ หม่าหวางเฉิง และยังมีปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้าของข้า ศิษย์พี่ท่านได้พบเจอพวกเขาบ้างหรือไม่”

นักพรตหลิงจิ่งสะดุ้งตระหนก และทันใดนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะจนนํ้าตาแทบไหลอาบแก้ม บาดแผลที่เขาเพิ่งสมานก็ฉีกปริออกอีกครั้งและทําให้เฒ่าผู้นี้สูดลมหายใจหนาวเหน็บจากความเจ็บปวด “กระบี่เทวะเฒ่าและปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้าหลงทางอย่างนั้นหรือ เจ้าเฒ่าทั้ง 2 นี่ พวกเขาถึงกับหลงทางเชียวหรือ!”

เขาหัวเราะจนแทบหายใจไม่ออก

ฉินมู่รีบกล่าว “หยุดหัวเราะก่อน บาดแผลท่านเปิดแตกอีกแล้ว แล้วศิษย์พี่ได้เห็นพวกเขาบ้างไหม”

“ข้าไม่เห็น” นักพรตหลิงจิ่งส่ายหน้า

ฉินมู่ควักรูปภาพของเฒ่าหม่า ท่านยายซีและคนอื่นๆ ขึ้นมาถาม “ถ้าอย่างนั้น พวกเขาล่ะ?”

นักพรตหลิงจิ่งมองภาพวาดและใคร่ครวญ “ข้าเห็นช่างตีเหล็กนี่แบกหีบไป ความเร็วของเขาไวอย่างยิ่ง และกําลังฝีมือของเขาไม่ด้อยไปกว่าข้า เมื่อข้าเจอเขา พวกเราก็ได้แข่งกําลังขากัน เขาไม่พูดอะไรสักคําและมีอารมณ์แปลกประหลาด ยากนักที่จะได้พบเห็นยอดยุทธ์ฝีมือแกร่งระดับนี้ แต่ข้าไม่เห็นเคยได้ยินคํารํ่าลือของยอดฝีมือผู้นี้มาก่อน”

ฉินมู่คึกคักขึ้นทันใด “นั่นคือท่านปู่ใบ้จากหมู่บ้านข้าเอง! ศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่าเขาไปที่ใด”

นักพรตหลิงจิ่งตอบ “เขาเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม มันเป็นสถานที่อันตรายร้ายกาจ นับว่าเป็นหนึ่งในแดนอันตรายที่สุดในแดนโบราณวินาศ ข้าไล่ตามเขาตลอดทางไปจนถึงแดนอันตรายนั้นแต่ไม่ได้เข้าไปด้วย เขาเป็นคนใบ้งั้นหรือ มิน่าล่ะเขาถึงเมินเฉย ไม่พูดจากับข้าเมื่อข้าพูดกับเขา”

“ท่านปู่ใบ้ไปยังพื้นที่ต้องห้ามในแดนโบราณวินาศอย่างนั้นหรือเนี่ย” ฉินมู่กระวนกระวายอีกครั้ง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนไต่ถาม “ศิษย์พี่เคยได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวลหรือไม่”

“หมู่บ้านไร้กังวล?” นักพรตหลิงจิ่งส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน”

ฉินมู่พึมพํากับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้สักพักหนึ่ง นักพรตหลิงจิ่งมักจะท่องเที่ยวไปทั่วแดนโบราณวินาศและรู้ความลับมากมายที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้ แต่หากว่าแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ใด ฉินมู่ก็คงมีความหวังเพียงริบหรี่ที่จะเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวลพบได้ด้วยตนเอง

เขาครุ่นคิดอีกครู่แล้วโพล่งถามขึ้นมา “ศิษย์พี่ ข้าขอความช่วยเหลือท่านสักอย่างได้หรือไม่ ข้าอยากจะไปที่แดนยมอีกครั้ง”

นักพรตหลิงจิ่งยิ้มกล่าว “นี่ง่ายดายมากเมื่อราตรีมาถึง ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”

ฉินมู่สงบใจลงและเยียวยาอาการบาดเจ็บของฝ่ายตรงข้าม เมื่อราตรีมาถึง นักพรตหลิงจิ่งก็ฟื้นฟูพละกําลังมาค่อนข้างมากเขาพาทุกคนเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศแล้วกล่าว “แดนยมเป็นอาณาจักรของยมราช โลกนั้นลึกลับอย่างยิ่งและจะซ้อนทับกับโลกของเราก็ต่อเมื่อถึงยามกลางคืนเท่านั้น หากว่าเจ้าหมายจะเข้าไปในแดนยม เจ้าจะต้องมีเหรียญเฝิงตู่ ข้าได้ลงนามในสัญญากับท้าวยมราชว่าจะไม่ไปยังแดนใต้พิภพหลังความตาย แต่จะตรงไปที่เฝิงตู่แทน”

มองไปรอบๆ เขานําป้ายสัญลักษณ์ออกมาและฉายแสงของมันเข้าไปในความมืด “ปูมหลังความเป็นมาของเฝิงตู่นั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง มันไม่มีสถานที่ตายตัว แต่ลอยไปที่โน่นที่นี่ในแดนโบราณวินาศ สร้างโลกอันลึกลับอัศจรรย์ด้วยตัวมันเอง ข้ามีป้ายสัญลักษณ์ของเฝิงตู่ คราใดที่ข้ากระตุ้นมัน ทูตของเฝิงตู่ก็จะมารับข้า”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ก็มีแสงส่องมาจากใจกลางระหว่างภูเขาใหญ่ 2 ลูก นักพรตหลิงจิ่งรีบพาฉินมู่ไปที่นั่น แสงนั้นบางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็หรี่มัว นําทางพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขาผ่านภูเขาใหญ่คู่นั้นไปแล้ว และเข้าใกล้แสง ซึ่งพบว่ามันคือแสงผีโพงที่หายวับไปในทันใด

จี้หยกบนหน้าอกฉินมู่เปล่งแสงรางเลือน จากนั้นก็ลอยขึ้นมาข้างบนเพื่อนําทางต่อ

นักพรตหลิงจิ่งนําฉินมู่และพรรคพวกไปข้างหน้าจนกระทั่งเขาผ่านสิ่งที่รู้สึกราวกับม่านป้องกันล่องหน ภาพเบื้องหน้าพวกเขาพลันเปลี่ยนแปลง และแดนยมอันลึกลับอัศจรรย์กว้างใหญ่ก็ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ที่นั่นพวกเขาเห็นเรือน้อยลอยมาอย่างไม่เร่งรีบผ่านทะเลหมอกที่เอ่อท้นอยู่ระหว่างภูเขาโครงกระดูกจํานวนนับไม่ถ้วน

นักพรตหลิงจิ่งนําฉินมู่และคนอื่นๆ ขึ้นไปบนเรือ และโครงกระดูกบนเรือนั้นก็พาพวกเขาแล่นเข้าไปในหมอกหนา นานอยู่ พวกเขาก็มาถึงท่าเรือ

แท่นหินจารึกของแดนยมปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

นักพรตหลิงจิ่งถามอย่างใคร่รู้ “จ้าวลัทธิมาร เจ้ามาที่นี่ทําไมหรือ วรยุทธ์ของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป ต่อให้เจ้ามาขายวิญญาณตน เฝิงตู่ก็คงไม่ต้องการ”

ฉินมู่มุ่งหน้าต่อไป ผ่านหมู่บ้านว่างเปล่า หลังจากข้ามภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้าพวกเขา ก็เห็นเรือจันทราอันใหญ่โตอลังการ ยากหาใดเปรียบที่จอดอยู่ตรงหน้าเฝิงตู่ มันเหมือนกับคางคก 3 ขาที่กําลังแบกเรือยักษ์อยู่

เมื่อนักพรตหลิงจิ่งถามเช่นนั้น ฉินมู่จึงตอบอย่างเคร่งขรึม “ข้ามาที่นี่เพื่อยืมเรือ”

“ยืมเรือ?”

นักพรตหลิงจิ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ส่วนฉินมู่วิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว เขาทะลวงถึงที่นั่นในไม่ช้า และเหยียบขึ้นไปบนเรือจันทราภายในไม่กี่ก้าว

ที่หน้าอกเขา จี้หยกอันเขาสวมมาแต่ยังเล็กก็ลอยสูงขึ้นไปอีก และแสงที่ส่องออกมาจากมันก็ยิ่งเจิดจ้า

ราชามารตู้เถียนมอบไปรอบๆ สะท้านใจอย่างเหลือประมาณ เขาพึมพํา “นี่คือสิ่งรังสรรค์ของเทพเจ้า?”

“อาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล…”

บนเรือจันทราซึ่งเละเทะไปหมด ดวงดาวแตกหักบนท้องฟ้ากลายเป็นลูกไฟร่วงลงมาไม่หยุดยั้ง ทําให้สถานการณ์ที่นี่ค่อนข้างอันตราย เสียงอันสั่นสะท้านดังมา “เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล! เจ้ามาที่นี่ทําไม? ข้าไม่ใช่คนทรยศ ข้าเพียงแต่หนีศึก! ความตายของพวกเขาไม่ใช่ความผิดของข้า ฮี่ๆ พวกเขาไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าเป็นแค่คนขี้ขลาด…”

ฉินมู่มองไปที่มาของเสียงและเดินไปยังใจกลางของเรือจันทรา ที่ใจกลางของเสามหึมาหลายต้น ใบหน้าอันกว้างใหญ่หลายไร่จมติดอยู่กับพื้น มองไปยังจี้หยกที่ลอยอยู่เหนือหน้าอกฉินมู่ด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง

“ไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าไม่ได้ทรยศเผ่าพันธุ์ข้า…” ใบหน้านั้นร้องเสียงแหลม

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นระบายลมหายใจที่อั้นไว้ แล้วยื่นฝ่ามือเขาไปสัมผัสหนึ่งในเสานั้น นักพรตหลิงจิ่งขมวดคิ้ว “ข้าเคยมาที่นี่มาก่อนและไม่มีอะไรอื่นนอกจากคนเสียสตินี่ ข้าเคยตรวจสอบเสาพวกนั้นแล้วเช่นกันแต่มันไม่มีอะไรผิดปกติ”

“อย่าแตะนะ!” ใบหน้านั้นตะโกนด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อฝ่ามือฉินมู่แตะเข้ากับเสา พลานุภาพอันไพศาลจนน่าสะพรึงกลัวพลันไหลเทเข้ามาในร่างกายของเขา เสียงแตกเปรี๊ยะๆ ดังมาจากรอบกายเขา เมื่อร่างกายของเขาสูงขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น พลังงานเทพที่ไหลบ่าเข้ามาทําให้ร่างกายเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงอันพลิกฟ้าควํ่าดิน!

เขารู้สึกว่าปลายกระดูกสันหลังยืดยาวขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นขาที่ 3 ที่งอกเงยมาจากหลังของเขาและเหยียบยืนบนพื้นอย่างมั่นคง กระดูกและเนื้อของเขาก็งอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่ใต้รักแร้เขา กลายเป็นแขนอีก 2 ข้าง

ปัง! ปัง! ปัง!

ฉินมู่ยื่นมือของเขาออกไปและจับเสาอีกต้น ทุกอย่างรอบตัวเขาดูหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แต่นั่นเป็นเพียงการรับรู้ผัสสะที่ผิดพลาด เขาต่างหากที่กําลังขยายใหญ่โตขึ้น

จากการที่พลังเทพในเรือจันทรารื้อสร้างร่างกายของเขาขึ้นมาใหม่ เสียงระเบิดทึบหนักก็ดังออกมาจากร่างเขาเป็นชุด เสียงนี้ดังมาจากการที่สมบัติเทวะทุกอันถูกปลุกเปิดขึ้นมาภายในตัวเขา สมบัติเทวะหกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ และเป็นตายล้วนปลุกเปิดขึ้นมา สมบัติเทวะสะพานเทวะถึงกับทอดยาวเหยียดไปถึงอีกฝั่งฟ้า!

ฉินมู่กู่ร้องคํารามอย่างกลั้นไม่อยู่ และเมื่อเขาทําเช่นนั้น เรือจันทราอันใหญ่เยี่ยมเทียมฟ้าก็ค่อยๆ ยืนขึ้นและดวงจันทร์อันหักพังก็ลอยขึ้นไปยังฟ้าไกล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version