Skip to content

Tales of Herding Gods 249

ตอนที่ 249 สังขารหุ้มโครงกระดูก

ความเงียบคลี่คลุมยอดเขาทองคํา มีเพียงแต่เสียงลูกประคําหมุนวนไปที่ได้ยินแว่วมา แสงธรรมหลังศีรษะของหลวงจีนหลายคนดับวูบและพวกเขาก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ยูไลเฒ่ามองไปรอบๆ และเห็นสีหน้าของโพธิสัตว์ อัครสาวก และอรหันต์ทั้งหลาย จ้าวลัทธิหลี่ได้ใช้ความงามของซีโหยวโหยว มาปรากฏต่อหน้าหลวงจีนทั้งหมด ปั่นป่วนปัญญาญาณ และทําลายจิตพุทธของพวกเขา ปลูกฝังความคิดไม่บริสุทธิ์

แม้ยูไลจะเปล่งธรรมะของเขาเมื่อครู่นี้ และกระตุ้นร่างสังขารของยูไลนับไม่ถ้วนในเจดีย์พันพุทธ เขาก็ทําได้แต่สะกดข่มหลวงจีนทั้งหมดได้เพียงชั่วครู่

เมื่อรัศมีธรรมหลังศีรษะของพวกเขาหายวับและร่วงลงมาจากท้องฟ้า คือสัญญาณว่าจิตพุทธของพวกเขาถูกทําลายไป ลัทธิพุทธให้ความสําคัญกับการบําเพ็ญเพียรฝึกใจ ครั้นเมื่อจิตพุทธของพวกเขาถูกทําลายและผลกรรมของพวกเขาแปดเปื้อน กรอบคิดจิตใจของพวกเขาก็จะพังทลาย ผู้ที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้ามิใช่หลวงจีนอีกต่อไป แต่เป็นเพียงคนธรรมดา

เมื่อพวกเขาร่วงลงมาจากฟ้า ก็คือร่วงจากสถานที่อันสูงส่งเหนือโลกีย์วิสัยสู่โลกปุถุชน พวกเขาบางคนอาจจะเปลี่ยนใจ กลับตัว และรอดพ้นได้ แต่หลายคนก็จะเพียงแค่ออกไปจาดวัดใหญ่ฟ้าคํารามเข้าสู่โลกปุถุชนเพื่อต่อสู้ดิ้นรนออกจากพันธนาการแห่งโลกีย์วิสัย แต่ด้วยจิตใจใฝ่หาชีวิตฆราวาสของพวกเขา ก็คงยากที่พวกเขาจะต่อสู้ดิ้นรนชนะมารในใจได้

ความงามของซีโหยวโหยวได้ทําให้หลวงจีนชั้นสูงจํานวนมากแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามตกตํ่า อันเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

แต่ทว่าทางวัดก็มิอาจกล่าวโทษฉินมู่และคนอื่นๆ เพราะพวกเขาได้บอกเตือนแล้วและเป็นยูไลเฒ่านั่นแหละที่ยืนยันว่าจะดูรูปโฉมที่แท้จริงของยายเฒ่าซีเพื่อทดสอบจิตพุทธของทุกๆ คน

อย่างไรก็ตาม มีจิตพุทธของหลายคนที่ยังมั่นคงไม่หวั่นไหว หลวงจีนอาวุโสเหล่านี้มาจากเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นถึงแม้ว่ายายเฒ่าซีจะสะคราญโฉม พวกเขาก็มองไม่เห็น ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ จึงมองเห็นนางเป็นเพียงเลือดเนื้อสังขารได้

“ตบะของพวกเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ ยึดติดอยู่กับเนื้อหนังภายนอกและมองไม่เห็นตถาคต” ยูไลเฒ่ามองไปรอบๆ และชี้แนะหลวงจีน “พวกเจ้าเห็นความงามของนางและไม่อาจข่มระงับตนเองได้ แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าความงามที่เจ้าเห็นเป็นเพียงแต่สิ่งที่เขารู้สึกอุปโลกน์ว่างามแต่มิใช่ความงามที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่ไห่คง ท่านเห็นว่านางงดงามหรือไม่”

ผู้ที่เขาเอ่ยชื่อคือหลวงจีนอาวุโสผู้หนึ่งจากเผ่าพันธุ์อื่นซึ่งได้บรรลุธรรม เขากล่าวตอบ “ข้าและนางมาจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ข้าไม่อาจมองเห็นความงามของนาง”

ยูไล่เฒ่าแย้มยิ้ม “เมื่อเผ่าพันธุ์อื่นมิอาจเห็นความงาม นั่นก็แปลว่ามันมิใช่ความงามที่แท้จริง เป็นเพียงผืนหนัง ความงามที่แท้จริงอยู่ในสัจจะอันยิ่งใหญ่ ความคิดอันยิ่งใหญ่ และปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ จ้าวลัทธิหลี่ ผืนหนังที่เจ้าลุ่มหลงมิใช่ความงามอันจริงแท้สําหรับทุกๆ สรรพชีวิต มันเป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกน์ว่างามในแวดวงมนุษย์ นี่ชี้ให้เห็นว่าจิตใจของเจ้านั้นคับแคบเพียงใด”

หลวงจีนทั้งหมดรู้สึกราวกับได้ดวงตาเห็นธรรม และฉินมู่ก็รู้สึกว่าถ้อยคําของเขานั้นมีเหตุมีผล สมแล้วที่เป็นยูไลเฒ่า ผู้ซึ่งได้ชื่อว่ามีความคิดอันยิ่งใหญ่ เขาอาจจะสามารถสยบหลี่เทียนซิ่งมารจิตตนนี้ได้

สาเหตุที่หลี่เทียนซิ่งอยากจะกลายเป็นท่านยายซี ก็เพราะว่า ท่านยายซีงดงามอย่างอัศจรรย์จนทําให้จิตเต๋าเขาปั่นป่วน นี่จึงสะกิดกิเลสชั่วร้ายของเขาขึ้นมาและทําให้เขาหมายที่จะกลายเป็นท่านยายซี

หญิงเฒ่าฟังแล้วก็สําลักหัวเราะ “ยูไลเฒ่า ในโลกนี้มีมรรคาเต๋าอยู่นับหมื่น แต่มรรคาเต๋าทั้งหลายที่ลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าใส่ใจล้วนแต่อยู่ในแวดวงมนุษย์ ลัทธิพุทธพูดถึงมรรคาเต๋าหนึ่งหมื่นทาง แต่เจ้าสามารถครอบครองทุกมรรคาเต๋าได้หรือ เลิกพูดเถอะ เจ้ามีความสามารถอะไรมาสยบข้า”

ยูไลเฒ่าแย้มยิ้มแล้วนํากระจกทองแดงออกมาส่งให้อัครสาวก ข้างๆ เขา “ส่งให้เขา”

อัครสาวกนั้นรับกระจกแล้วเดินลงจากแท่นสูงไปยังยายเฒ่าซี เมื่อเขาเห็นรูปโฉมของนาง หัวใจของเขาก็เต้นระสํ่าระสายอย่างรุนแรง เขารีบปิดตาลงเพื่อที่จะได้มองไม่เห็น

ยายเฒ่าซีรับกระจกมาในมือแล้วมองไปด้วยความรักใคร่ลุ่มหลงในรูปสะท้อนของนางพลางหัวเราะคิกคัก “หญิงงามสะคราญโฉมอะไรอย่างนี้ ขนาดข้าเห็นยังใจระทดระทวย”

ยูไลเฒ่ายิ้มกล่าว “พลิกดูกระจกอีกด้าน”

ยายเฒ่าซีทําตามที่เขาบอกและเห็นโครงกระดูกขาวโพลนสะท้อนอยู่ในนั้น เป็นรูปลักษณ์ของนางที่จะเป็นหลังจากที่ตายไป

“จ้าวลัทธิหลี่คิดว่าอย่างไร” ยูไลเฒ่าแย้มยิ้ม “แม้ว่าเจ้าจะเป็นหญิงงามเลิศลํ้า แต่เมื่อสิ้นชีวิตไปก็กลายเป็นแค่เพียงโครงกระดูกเจ้าคิดว่าโครงกระดูกนั้นน่ารักใคร่นักหรือ”

ยายเฒ่าซีโยนกระจกทองแดงลงกับพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบขยี้จนแหลกระหว่างที่กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “นี่เป็นแค่กลง่อยๆ ที่ไว้หลอกคนธรรมดาสามัญ พูดว่านี่คือเลือดเนื้อสังขารหุ้มโครงกระดูกอะไรทํานองนี้ ยูไล ข้ารู้หลักเหตุผลนี้ แต่ข้าไม่อยากเป็นอย่างเจ้าฝากความหวังเสวยสุขในสวรรค์หลังความตาย แค่ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ชั่วชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้ว การแสวงหาชีวิตที่ดีในชาติหน้านั้นเป็นเพียงพฤติกรรมของคนขี้ขลาด กลกระจอกของเจ้าไม่อาจสยบข้าได้ หากว่าเจ้าคิดว่าแค่กระจกหนึ่งบานก็จะทําให้ข้ามีดวงตาเห็นธรรม ไม่ลองให้ข้าเดินเล่นในวัดใหญ่ฟ้าคํารามสักรอบล่ะเพื่อดูว่าเจ้าจะแสดงธรรมให้ข้ารู้แจ้งก่อน หรือว่าข้าจะเปิดดวงตาเห็นธรรมให้หลวงจีนทั้งหนุ่มทั้งแก่ของเจ้าก่อนกัน ทําไมเจ้าไม่ลองพนันกะข้าสักตั้งล่ะ”

ยูไลเฒ่าขมวดคิ้วและกล่าว “เจ้าไม่มีปัญญาญาณ”

เฒ่าบอดเห็นว่าสถานการณ์แย่ลงจึงกล่าว “พี่ทางเต๋า ปัญญาญาณอะไรไร้สาระทั้งนั้น ทําไมพวกเราไม่ลงมือใช้กําลังกับเขาไปตรงๆ เลยล่ะเพื่อสยบเขาเอาไว้!”

ยูไลเฒ่าพึมพํากับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “จ้าวลัทธิหลี่เป็นจ้าวลัทธิมาร ดังนั้นข้าจะนําเขาเข้าไปในเจดีย์พันพุทธเพื่อสยบเขาเอาไว้ หลวงจีนทั้งหลาย จิตมุ่นมั่นของพวกเจ้ายังตื้นเขินและตบะของพวกเจ้าก็ยังไม่ถึงพร้อม พวกเจ้าทั้งหมดจงอยู่คอยช่วยเหลือที่ด้านนอกเจดีย์พันพุทธ”

หลวงจีนทั้งหมดรับคํา แล้วเดินลงมาจากแท่นสูงเพื่อไปห้อมล้อมรอบเจดีย์พันพุทธ มีหลวงจีนหลายคนที่รีบวิ่งออกมาจากข้างในเจดีย์ ไม่กล้ารั้งรออยู่ในนั้นอีกต่อไป

ยูไลเฒ่ายิ้มกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็เป็นจ้าวลัทธิมารและมีสันดานมารอันลึกลํ้า ตั้งแต่โบราณกาลมา พุทธองค์และมารร้ายมิอาจอยู่ร่วมกันได้ แต่ในเมื่อจ้าวลัทธิเป็นอาคันตุกะที่มาเยือนเพื่อแสวงความช่วยเหลือ ข้าจะไม่สยบเจ้า แต่ทว่าในระหว่างที่ข้าปราบพยศจ้าวลัทธิหลี่ ข้าหวังว่าจ้าวลัทธิฉินจะรั้งอยู่ในวัดใหญ่ฟ้าคํารามรับฟังธรรมะและสลายความชั่วร้ายในจิตใจ เพื่อในอนาคตจะได้ลดบาปกรรมที่ก่อลง”

เฒ่าหม่าและเฒ่าบอดกระจ่างใจทันที ยูไลเฒ่าหมายที่จะรั้งพวกเขาไว้ในวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกเขายูไลสามารถทําให้พวกเขามีดวงตาเห็นธรรมได้นั่นก็จะดีที่สุด แต่หากทําไม่ได้ ยูไลก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไป

ฉินมู่ลิงโลดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ช่างทรงปัญญา! ถ้าอย่างนั้น พวกเราคงต้องรบกวนท่าน ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะสามารถสยบจ้าวลัทธิหลี่ จอมมารตนนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ มันจะเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่!”

ยูไลเฒ่าแย้มยิ้มและออกคําสั่ง “ให้ประสกพวกนี้พักอยู่ในวัด”

อัครสาวกผู้หนึ่งลังเล “ภควันต์ มีหลายสถานที่ในวัดที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของสํานักเรา หากว่าพวกเขาบุกรุกเข้าไป…”

“ปล่อยพวกเขา วัดใหญ่ฟ้าคํารามของเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง” ยูไลเฒ่ากล่าว “ราชครูได้มาที่นี่และข้าก็ให้เขาดูพระสูตรมหายานยูไล เช่นนั้นเราจะต้อนรับจ้าวลัทธิมารผู้ชั่วร้ายให้ด้อยไปกว่าราชครูได้อย่างไร จ้าวลัทธิฉินก็เป็นหนึ่งในสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกหล้า ในวัดใหญ่ฟ้าคํารามแห่งนี้ไม่มีแบ่งคนนอกคนใน”

อัครสาวกผู้นั้นรับคําและก้าวเข้ามานําทางทุกคนไป

ฉินมู่ยิ้ม “ศิษย์พี่ผู้นี้ ในวัดนี้มีอาหารเจหรือไม่ ช่วงปีใหม่ข้ากินแต่ของเลี่ยนๆ มันๆ และอยากจะเปลี่ยนไปกินอะไรเบาๆ เสียหน่อย”

อัครสาวกเหลือบแลเขาพลางนับลูกประคําในมือไปด้วย ข่มระงับความคิดปราบมารกําราบปีศาจของตน “หากจ้าวลัทธิอยู่ในวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกเราพร้อมจะเลี้ยงอาหารเจท่านตลอดชีวิต”

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวกับเฒ่าบอด “พวกเขาไม่กลัวพวกเรากินข้าวจนหมดเนื้อหมดตัว”

เฒ่าบอดแค่นเสียงเย็นชาแล้วถาม “เฒ่าหม่า เจ้าคิดว่ายูไลเฒ่าจะสามารถสยบหลี่เทียนซิ่งได้หรือไม่”

เฒ่าหม่าลังเล “หากยูไลหนึ่งคนไม่เพียงพอ ก็ยังมียูไลอีกนับพันในเจดีย์พันพุทธ พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนรู้แจ้งที่ได้เห็นตถาคตพุทธเจ้า ดังนั้นจึงน่าจะสามารถสยบได้ แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดมรณภาพไปแล้ว และจ้าวลัทธิหลี่ก็ร้ายกาจไม่ธรรมดา…ที่ข้ากริ่งเกรงในตอนนี้ก็คือยูไลเฒ่าจะจงใจเตะถ่วงไม่สยบจ้าวลัทธิหลี่แต่กักยายเฒ่าซีเอาไว้ในเจดีย์ หากว่านางถูกกักขังไว้ที่นี่ พวกเราก็จะถูกกักเอาไว้ด้วยเช่นกัน”

อัครสาวกนําพวกเขาไปยังเรือนรับรองแขกและกล่าว “ประสกทั้งหลาย ท่านสามารถอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย บนชั้นหนังสือล้วนแต่เป็นพระสูตรคัมภีร์พุทธ พวกท่านสามารถเปิดอ่านได้ตามใจชอบ”

ฉินมู่มองไปและเห็นพระสูตรมากมายดังที่อีกฝ่ายบอก เฒ่าหม่าส่ายหน้าแก่เขา “พระสูตรพุทธที่นี่มีแต่ข้อเขียนแต่ปราศจากทักษะเทวะ เปิดดูผ่านๆ พอได้”

อัครสาวกกล่าว “ทักษะเทวะไม่ทัดเทียมกับวิบากกรรม หม่าหวางเฉิงท่านไม่รู้หรอกหรือ”

เฒ่าหม่ากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เมื่อไม่มีทักษะเทวะ จะปัดเป่าวิบากกรรมได้อย่างไร เจ้าเป็นศิษย์ของยูไลงั้นหรือ นี่แปลว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ขั้นธรรมะของเจ้าตํ่าต้อยเกินไป ถอยไป อย่ามาทําเป็นอวดฉลาดต่อหน้าข้า”

อัครสาวกทั้งอับอายและขายหน้า เขาจึงหันกายเดินจากไป

เฒ่าบอดนั่งลงอย่างเยือกเย็น “ข้าและเฒ่าหม่าล้วนแต่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ดังนั้นต่อให้ถูกกักไว้ที่นี่ก็ไม่เป็นไร แต่มู่เอ๋อ เจ้านั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า หากว่าเจ้าถูกกักตัวไว้ที่นี่ตลอดกาล เจ้าจะไม่แก่ตายในสถานที่แห่งนี้หรอกหรือ ข้าจะหาโอกาสส่งเจ้าลงจากภูเขา”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “พวกเราจะรอจนกว่าท่านยายซีหายดี ท่านปู่บอด ท่านปู่หม่า ในเมื่อเป็นโอกาสอันหายากที่พวกเราได้มายังวัดใหญ่ฟ้าคําราม ก็ไปเดินดูรอบๆ กันเถอะ”

เฒ่าหม่าเผยยิ้ม “นั่นสิ เจ้าก็อยากเห็นรูปร้อยมังกรมาตั้งนานแล้วนี่? ข้าจะพาเจ้าไปยังที่ที่ตั้งรูปปั้นพวกนั้นเอาไว้”

ฉินมู่ดีใจจนเนื้อเต้น ทั้ง 3 เดินออกจากเรือนรับรองแขกและเห็นหลวงจีนเฒ่านั่งอยู่นอกประตูกําลังท่องสวดคัมภีร์ให้กิเลนมังกรฟัง เจ้าสัตว์พิสดารอ้วนตัวนี้ได้หลับปุ๋ยเรียบร้อยแล้วและกําลังกรนด้วยเสียงดังลั่น

“แม้แต่กิเลนมังกร พวกเขาก็ยังอยากเปิดดวงตาเห็นธรรมงั้นหรือ” ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หลวงจีน เจ้าอ้วนนี้จะต้องกินยาวิญญาณเพลิงฉานวันละครึ่งถังเชียวนะ เจ้าจะเลี้ยงมันไหวหรือหลังจากที่เปิดดวงตาเห็นธรรมให้มันแล้วน่ะ”

หลวงจีนเฒ่าหยุดท่องและเหลือบแลเขาแวบหนึ่ง “เลี้ยงไหว”

ฉินมู่จนคําพูด “รวยจริงๆ เช่นนั้นทําต่อไปเถอะ”

เฒ่าหม่าจึงนําทางพวกเขาไป ทะลุลงล่างชั้นเมฆจนกระทั่งไปถึงกลางภูเขา เขาชี้ไปข้างหน้าและกล่าว “นั่นคือรูปร้อยมังกร”

ฉินมู่มองไปและเห็นเสาใหญ่มหึมาจํานวนมากตั้งอยู่ และมีรูปปั้นของมังกรเทพยดาอยู่ใต้เสาเหล่านั้น ที่นั่นมีหลวงจีนนับไม่ถ้วนกําลังเพ่งพิศสังเกตสังการูปสลักเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจ มรรคาเต๋า วิชา และทักษะเทวะของตนจากพวกมัน

มีหลวงจีนหลายคนที่กําลังทดลองใช้ทักษะเทวะของตนแปรเปลี่ยนปราณชีวิตของตนให้เป็นรูปมังกรอันเกลื่อนฟ้า และยังมีแสงธรรมสาดส่องอันดูเหนือลํ้าเกินธรรมดา

หลวงจีนบางกลุ่มก็กําลังประลองแลกเปลี่ยนฝีมือ ทดสอบสิ่งที่พวกเขาตรึกตรองทําความเข้าใจออกมาได้

หลวงจีนเฒ่าจํานวนหนึ่งเห็นพวกเขาเดินมา และรีบทักทายเฒ่าหม่า “ศิษย์พี่มาที่นี่หรือ”

เฒ่าหม่าทักทายตอบ ไม่เมินเฉยพวกเขา หลวงจีนเฒ่าผู้หนึ่งกล่าวอย่างปีติยินดี “เมื่อครั้งนั้นศิษย์พี่โดด

เด่นท่ามกลางผู้คนและพวกเราที่นี่ก็ยังจดจําได้ถึงความเก่งกาจเหนือลํ้าของศิษย์เมื่อครั้งกระโน้น”

ฉินมู่เดินไปยังหน้าเสามังกรเพื่อเพ่งพิศมันอย่างละเอียด อุทานด้วยความทึ่งใจอย่างไม่หยุดปาก มันมีท่วงท่าของมังกรเทพยดาทั้งหมด 100 ท่วงท่า และฝีมือแกะสลักหินบนรูปปั้นนี้ได้จับเอาท่วงท่าทั้ง 100 ของสิ่งมีชีวิตอันยิ่งยงนี้มาไว้ในรูปสลักเดียวได้

เฒ่าหม่านั้นเชี่ยวชาญในงานแกะไม้และสลักหิน เขาทํารูปสลักไม้ได้สมจริงราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา เขาน่าจะเลียนแบบฝีมือการสลักเสลาที่นี่มาก่อน

รูปร้อยมังกรนั้นเป็นปัจจัยสําคัญในการฝึกปรือฟ้าคํารามแปดจู่โจม แต่ถึงอย่างไรพระสูตรมหายานยูไลก็ยังสําคัญกว่า โดยปราศจากวิชาฝึกปรือนี้ไม่มีใครที่จะสามารถฝึกฟ้าคํารามแปดจู่โจมให้เปล่งอานุภาพถึงขีดสุดได้

แต่ทว่า ฉินมู่ได้ตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัด อันทําให้ความสําเร็จของเขาในฟ้าคํารามแปดจู่โจมมิได้ด้อยกว่าผู้ที่ฝึกพระสูตรมหายานยูไลเลย

ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงเรียก “เด็กเลี้ยงวัว!”

ฉินมู่หันไปและเห็นหลวงจีนในชุดขาวมองมาทางเขาด้วยความประหลาดใจ หลวงจีนผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา และฉินมู่ตระหนักทันใดว่าเขาเป็นใคร “ที่แท้ก็คือหลวงจีนน้อยหมิงซิ่น! พวกเราเคยพบกันมาก่อนที่วัดยายเฒ่าในแดนโบราณวินาศ!”

หลวงจีนน้อยผู้นี้เป็นศิษย์ของหลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิง ผู้ซึ่งพาเขาไปหาเฒ่าหม่าและใช้ไม้เท้าขักขระมาท้าพนัน หมิงซิ่นพ่ายแพ้ให้แก่ฉินมู่ และเช่นนั้นไม้เท้าขักขระจึงตกมาอยู่ในมือฉินมู่ แม้ว่าภายหลังเขาจะมอบมันให้กับลิงยักษ์อสูรต่อก็ตาม

หลวงจีนหมิงซิ่งเดินเข้ามาด้วยฝีเท้ารวดเร็ว เขาโตขึ้นค่อนข้างมากและตอนนี้ก็สูงกว่าฉินมู่เล็กน้อย

ฉินมู่นั้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้ครึ่งปี ทําให้เขาสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่สูงพอ

หลวงจีนหมิงซิ่งมองเขาและหมายที่อยากจะประลองฝีมือกับเขาเป็นครั้งที่ 2 “พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งสามสี่ปี และข้าอยากรู้ว่าฝีมือของเจ้ารุดหน้าไปไหม”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “รุดหน้าสิ ตั้งแต่เมื่อข้าเอาชนะเจ้าในครั้งนั้น ฝีมือข้าก็รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version