ตอนที่ 250 สังหารด้วยถ้อยคํา
เมื่อฉินมู่ได้พบเจอคนรู้จักเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนิทชิดเชื้อ ตั้งแต่เมื่อเขายังเด็กเขาได้แต่คลุกคลีอยู่กับเฒ่าบอดและเฒ่าเป๋ ตั้งแต่เมื่อเขาจําความได้ เขาก็ได้แต่เรียนรู้สิ่งต่างๆ จาก 9 ผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชรา อาจจะพูดได้ว่าเขาไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเด็กเลย อันทําให้ชีวิตตอนนั้นชืดชาแห้งแล้ง
แม้ว่าเขาจะได้ต่อสู้เพียงหนึ่งครั้งกับหลวงจีนหมิงซิ่น แต่พวกเขานั้นอยู่ในวัยเดียวกัน ดังนั้นการได้พบกันอีกครั้งจึงทําให้ฉินมู่รู้สึกสนิทชิดเชื้อ
หลวงจีนหมิงซิ่นกล่าวสรรเสริญนามพุทธองค์เพื่อข่มความโมโหแล้วยิ้มกล่าว “ครั้งก่อนนั้นเจ้าชนะข้าได้ แต่ครั้งนี้อาจจะไม่สําเร็จ หลังจากที่พ่ายแพ้ให้แก่เจ้า ข้าก็ได้ใคร่ครวญถึงบทเรียนในคราวนั้นและแก้ไขจุดอ่อนของข้า ทําไมเราไม่ลองสู้กันอีกรอบล่ะ”
“เจ้าเปลี่ยนแปลงพระสูตร?” ฉินมู่ถามอย่างตกตะลึง
หลวงจีนหมิงซิ่นกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าพ่ายแพ้เมื่อเจ้าโจมตีที่คอข้าในครั้งนั้น ดังนั้นคราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทําเช่นนั้นได้อีก!”
ฉินมู่ร้องออกมา “หลวงจีนหมิงซิ่น เจ้าอายุเท่าไรเชียว เจ้าจะไปเปลี่ยนแปลงพระสูตรมหายานยูไลตามใจชอบได้อย่างไร ด้วยวิสัยทัศน์และความรู้ของเจ้าในตอนนี้ ยิ่งเจ้าเปลี่ยนแปลงมันมากเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มช่องโหว่เข้าไปมากเท่านั้น! แทนที่จะบุ่มบ่ามเปลี่ยนแปลงมัน ให้ยูไลสอนเจ้าไม่ดีกว่าหรือ…อืม แต่ข้าเองก็บุ่มบ่ามเปลี่ยนแปลงวิชาฝึกปรือไปถึงขั้นที่จํารูปเดิมไม่ได้เหมือนกัน ข้าก็ว่าเจ้าไม่ได้หรอกแบบนี้น่ะ”
ฉินมู่หน้าแดงด้วยความละอาย เขาเองก็เปลี่ยนวิชาฝึกปรือของตน วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไปมากกว่า 1 ครั้ง ถึงกับผสานคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเข้าไปด้วย แก้จุดอ่อนที่ไหล่ข้างซ้ายของตน
การที่เขาพูดว่าไม่ควรเปลี่ยนแปลงวิชาเองตามใจชอบแก่หลวงจีนหมิงซิ่นก็ไม่ต่างอะไรกับหม้อตูดดําที่ไปว่ากานํ้าเปื้อนเขม่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะสามารถปิดจุดอ่อนที่คอได้แล้วจริงๆ ก็เป็นได้
หลวงจีนหมิงซิ่นเริ่มคันไม้คันมือและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น เชิญเจ้ามาประทานการสั่งสอนหน่อย”
ฉินมู่กําลังจะพูดอะไรสักอย่าง พลันหลวงจีนเฒ่าก็กล่าว “ศิษย์ข้า อย่ามุทะลุ นี่คือจ้าวลัทธิฉินแห่งลัทธิมารฟ้า!”
หลวงจีนหมิงซิ่นกระโดดโหยงด้วยความตกใจและร้องออกมา “เจ้าไปเป็นมารเฒ่าแห่งลัทธิมารฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ฉินมู่ถอนหายใจ “เรื่องมันยาว ข้าก็ไม่ได้อยากเป็นนักหรอก แต่โดนจับไปนั่งบนเก้าอี้จ้าวลัทธิโดยไร้ทางเลือก”
เขามองไปยังหลวงจีนเฒ่าและจดจําได้ว่าคือหลวงจีนจิ่งหมิง หลวงจีนเฒ่าผู้นี้เป็นอาจารย์ของหมิงซิ่นและนิสัยใจคอเขาก็เหมือนกับชื่อ กลอกกลิ้งเป็นอย่างยิ่ง เขาได้ชี้ว่าฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิมารแห่งลัทธิมารฟ้ามิใช่เพื่อบอกเตือนหมิงซิ่นแต่เพื่อบอกกล่าวแก่หลวงจีนทั้งหมดในที่นี้
ด้วยเสียตะโกนอันดังของเขา หลวงจีนทั้งหมดที่กําลังศึกษารูปร้อยมังกรก็มองไปทางฉินมู่และกล่าวสรรเสริญนามพุทธองค์ทันใด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อาจข่มระงับความคิดของตนที่หมายจะปราบมารกําราบปีศาจ
หลวงจีนหมิงซิ่นกล่าวทันที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรรีบถอนตัวและเลิกเป็นจ้าวลัทธิมาร เพราะเจ้ากําลังจะตาย! ที่นี่มีหลวงจีนอาวุโสมากมายที่ชิงชังความชั่วร้ายดุจศัตรูคู่อาฆาต และชมชอบการสังหารมารปีศาจ ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปก็จะปราบมารกําราบปีศาจเพื่อสั่งสมบุญกุศล และเจ้าก็จะถูกสังหาร! ข้าไม่ประลองกับเจ้าแล้ว เจ้ารีบหนีลงภูเขาไปดีกว่า”
ฉินมู่ส่ายหน้า “ขอบใจสําหรับความปรารถนาดี แต่ตอนนี้ข้าเป็นอาคันตุกะ ยูไลเฒ่าเป็นศิษย์พี่ของข้าและเขากล่าวอนุญาตให้ข้าอยู่ในวัดนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเขาจะยังมาปราบมารกําราบปีศาจอีกไหม”
หมิงซิ่นลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “นี่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกเขาน่าจะโต้วาทีกับเจ้า แนะนําให้เจ้ากลับตัวกลับใจเสียใหม่ หากว่าพวกเขาเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่สําเร็จ ก็คงจะรุมทุบตีเจ้าให้ตาย”
ฉินมู่พูดไม่ออกเขาเห็นหลวงจีนจํานวนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาจริงๆ ด้วย
“อามิตาภพุทธ!” หลวงจีนคนหนึ่งประนมมือแล้วเอ่ยถามเป็นคนแรก “มารร้าย เจ้ากล้าโต้วาทีกับข้าหรือไม่”
ฉินมู่ถาม “เจ้าไม่ยินดียินร้ายไม่หลงใหลไปกับสิ่งเร้าในโลกได้หรือยัง”
หลวงจีนนั้นส่ายหน้า “ยัง”
“เช่นนั้นจะโต้วาทีไปเพื่ออะไร” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ “เจ้ายังไม่บรรลุธรรมด้วยซํ้า หลวงจีนปลอมครึ่งๆ กลางๆ อย่างเจ้ามีปัญญาแค่เอาเรื่องเล่าลือมาสร้างความเข้าใจผิดเท่านั้น ถอยไปซะ”
หลวงจีนนั้นพูดไม่ออกเหมือนถูกมัดลิ้น หลวงจีนอีกคนข้างๆ เขาจึงกล่าวทันที “มารร้าย ข้าจะสนทนากับเจ้าเรื่องสัจจะ ความเมตตา และความงาม”
ฉินมู่ถาม “เจ้าเป็นยูไลหรือ”
หลวงจีนนั้นหน้าแดงกํ่า และตอบไป “ข้ายังไม่เป็นยูไล…”
“เช่นนั้นเจ้าก็ยังไม่บรรลุคําว่า ‘สัจจะ’ ” ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยูไลคือสภาวะอันจริงแท้ของสรรพสิ่ง ได้รับและบรรลุคําว่า ‘สัจจะ’ หากว่าเจ้ามิใช่ตัวสัจจะเอง เจ้าจะมาพูดเรื่องสัจจะ ความเมตตา และความงามได้อย่างไร ถอยไปซะ อย่าทําให้ตัวเองขายหน้าเลย ไว้เราค่อยสนทนาใหม่เมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นนั้น อย่าดันทุรังเอาสิ่งที่เจ้าทําไม่ได้มายัดเยียดให้ข้า หากว่าเจ้าอยากให้คนอื่นทําตามที่เจ้าสอนสั่ง ก็ต้องปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างเสียก่อน”
หลวงจีนนั้นจนด้วยคําพูด และอีกคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมา นํ้าพุทองคําพลันพวยพุ่งขึ้นมาจากผืนดินและมีดอกบัวเบ่งบาน “ในลัทธิพุทธมีความรู้แจ้ง ความตื่น และความเบิกบาน อันเป็นการตรัสรู้ขั้นสูงสุด เป็นปัญญาญาณอันสัมบูรณ์…”
ฉินมู่ถาม “แล้วเจ้าบรรลุปัญญาญาณอันสัมบูรณ์หรือยัง”
“ถอยไปซะ”
หลวงจีนอีกรูปหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “จ้าวลัทธิมารนับว่าเป็นผู้มีวาทะอันคล่องแคล่วลื่นไหล ในเมื่อเจ้าไม่ยอมตอบคําถามของพวกข้าที่ถามถึงเนื้อหาในพระสูตร ข้าก็จะถกกับเจ้าเรื่องโลกปุถุชน”
ด้วยความตื่นเต้น ฉินมู่เดินไปหาหลวงจีนนั้นแล้วกล่าว “ไต้ซือ อย่าเพิ่งพูดให้ข้าถามก่อน หากว่าทุกๆ คนเข้าไปบวชในลัทธิพุทธ ไม่สืบทายาท ไม่แต่งงาน ไม่มีบุตร อย่างนั้นแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่สูญสิ้นไปในอีกร้อยปีให้หลังหรอกหรือ เผ่าพันธุ์มนุษย์มีความแค้นใดกับพวกท่าน ทําไมพวกท่านถึงหมายจะทําลายล้างเผ่าพันธุ์นี้”
หลวงจีนนั้นตะลึงไปครู่ จากนั้นกล่าว “ที่ข้าจะถกกับเจ้านั้นเกี่ยวกับลัทธิมารฟ้าของเจ้าที่ก่อกรรมทําเข็ญมากมาย และเวทมนตร์ในลัทธิก็ชั่วร้ายเหี้ยมโหด มันใช้ชีวิตคนเป็นๆ มาฝึกปรือ…”
ฉินมู่ไม่ให้เวลาเขาพูดต่อ “แล้วนั่นมาเทียบกับการทําลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อันไหนร้ายกว่ากัน”
หลวงจีนผู้นั้นจ้องเขาด้วยตาโปนโต แทบจะห้ามโทสะไว้ไม่อยู่ “นี่มันต่างกับที่ข้าจะถกกับเจ้า!”
“ถ้าอย่างนั้น ลองดูอย่างนี้ เมื่อข้าพบเจอหัวหน้าโถงลัทธิมารฟ้าที่ใช้ทารกแรกคลอดมาฝึกวิทยายุทธ์ ข้าสังหารเขา แต่วันนี้เอง ข้าเห็นวัดหนึ่งที่เชิงเขาพระสุเมรุเลี้ยงสัตว์พิสดารเอาไว้โดยผสมยาเบื่อเมาเข้าไปในเนื้อฉํ่าเลือดเพื่อหลอกลวงผู้คนแล้วเนื้อนั้นมันมาจากไหนล่ะ ใช่เอามาจากการพรากชีวิตหรือเปล่า ข้าจัดการกับคนสารเลวในลัทธิของข้าแล้ว คราวนี้ก็ตาเจ้าไปขจัดกวาดล้างวัดนั่นและสังหารหลวงจีนที่นั่นให้หมด”
หลวงจีนผู้นั้นโกรธเกรี้ยว “นี่มันต่างจากที่ข้าถกเถียงกับเจ้า! ข้าจะถกเรื่องหลักคําสั่งสอนกับเจ้า! วัดใหญ่ฟ้าคํารามเรามีพระสูตรมากกว่าหมื่นพระสูตร แต่ละเล่มนั้นสืบทอดต่อๆ กันจากรุ่นสู่รุ่น อันล้วนแต่สอนให้ผู้คนเมตตา!”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “หากว่าลัทธิพุทธเจ้าเอาแต่ซุกความเน่าเฟะเอาไว้แทนที่จะเก็บกวาดให้เรียบร้อย อีกทั้งหลวงจีนของพวกเจ้ายังไร้เมตตาธรรมจะไปสั่งสอนให้ผู้คนมีเมตตาได้อย่างไร พวกคนโง่เขลามักชอบสั่งสอนผู้อื่นแต่ตัวเองทําตามที่สอนสั่งไม่ได้ จริงสิ เจ้าพูดถึงหลักคําสั่งสอนใช่ไหม เช่นนั้นข้าก็จะคุยกับเจ้าเรื่องหลักคําสั่งสอน มรรคาแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่น นอกจากการยังประโยชน์แก่ชีวิตคนธรรมดาสามัญ ธรรมะของเจ้าใช้กับวิถีชีวิตประจําวันของคนทั่วไปได้หรือเปล่าล่ะ หากว่าเจ้าใช้ไม่ได้ แล้วบันทึกไว้ในคัมภีร์จะมีประโยชน์อะไร ไร้สาระ เผามันทิ้งไปไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้า..มารร้าย!” หลวงจีนนี้โกรธจัดและหมายจะขยํ้าเข้าใส่ “เหตุผลเหลวไหล คําสอนมดเท็จ เผาคัมภีร์ ทําลายพุทธรูป สันดานมารเจ้าฝังลึกเกินเยียวยา ข้าจะสู้กับเจ้าให้รู้ดีรู้ชั่ว!”
“ช้าก่อน” ฉินมู่ยกมือขึ้นแล้วเผยอยิ้ม “เจ้าหมายจะสังหารข้า แต่ให้ข้าถามหน่อยเถอะ คัมภีร์พุทธของเจ้าอนุญาตให้เจ้าพรากชีวิตงั้นหรือ”
หลวงจีนนั้นชะงักและข่มโทสะ “คัมภีร์พุทธสอนให้ผู้คนมีเมตตา ไม่พรากชีวิต แต่ถ้ากับมารร้าย แม้แต่พุทธองค์ก็ยังพิโรธ และปราบพวกมัน!”
ฉินมู่ถาม “ต้นหญ้านับเป็นชีวิตหรือไม่”
“แน่อยู่แล้ว” หลวงจีนตอบอย่างมีอารมณ์
“เมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นมาจากต้นหญ้าและหลายชนิดนั้นก็กลายเป็นเมล็ดธัญพืช นั่นแสดงว่าเมล็ดธัญพืชก็มีชีวิต เช่นนั้นทําไมเจ้าถึงกินมันเข้าไป เจ้ากินผักหญ้าและสวดภาวนาสรรเสริญพุทธองค์ ครุ่นคิดเรื่องความเมตตา ครุ่นคิดเรื่องความงาม ครุ่นคิดเรื่องสัจจะ แต่เจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่ามีกี่ชีวิตจมเข้าไปในปากของเจ้าจากอาหารที่เจ้ากิน!” ฉินมู่กล่าว “ยิ่งเจ้าอายุมากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งกินชีวิตเข้าไปมากเท่านั้น เจ้าเอาหน้าที่ไหนมาถกเรื่องจิตพุทธ มาถกเรื่องความเมตตา”
เขานําเมล็ดดอกไม้ออกมาจากถุงเต๋าตี้ และถือไว้ในมือ จากนั้นเขาใช้วิชาดินอสงไขยเสกสรร ต้นกล้าอ่อนผุดขึ้นมาจากเมล็ดดอกไม้และเติบโต รากของมันแทรกซอนออกมาจากเปลือกเมล็ด และหญ้าวิญญาณก็งอกสูงขึ้นในมือของเขา ต้นไม้นี้บอบบางเป็นอย่างยิ่ง ตุ่มดอกตูมกําลังจะเบ่งบาน มันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ดอกไม้อันบอบบางและงดงามจะแย้มกลีบเผยออกมา
“สวยไหม” ฉินมู่ถาม
หลวงจีนนั้นดูงมงายกับภาพที่เห็นและพยักหน้าด้วยความเห็นพ้อง “สวยเหลือเกิน”
ฉินมู่ยื่นดอกไม้นี้ไปยังหลวงจีนและกล่าว “ดอกไม้นี้คือเมล็ดธัญพืชที่เจ้ากินเข้าไป เมล็ดคือผลของต้น พวกมันคือชีวิตอันงดงาม แต่กระนั้นเจ้าก็กินมันเข้าไปตั้งเท่าไร แล้วเจ้าจะชดใช้พวกมันเมื่อไหร่ล่ะ หากว่ามันมีจิตวิญญาณและบําเพ็ญเพียรจนกลายเป็นปีศาจเซียน พวกมันจะรํ่าไห้หรือไม่ที่เจ้ากินเผ่าพันธุ์พวกมันไปเป็นล้านๆ ตน เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่ามีกี่วิญญาณของดอกไม้ใบหญ้าที่วนเวียนคอยทวงแค้นรอบๆ ตัวเจ้า รอให้เจ้าชดใช้ชีวิตตลอดทั้งวันทั้งคืน”
หลวงจีนนั้นประคองดอกไม้ใน 2 มือขณะที่สีหน้าของเขาหดหู่พ่ายแพ้มากขึ้นทุกที เขารู้สึกว่าความงามของดอกไม้อันบอบบางนี้กลับกลายเป็นเย็นเยียบชั่วร้าย ทวงชีวิตเขา ทันใดนั้น หลวงจีนก็นั่งขัดสมาธิดอกบัวลงไปกับพื้นด้วยนํ้าตาหลั่งไหลอาบ 2 ข้างแก้ม “ข้าได้กลืนกินผู้คนมากมายจากเผ่าพันธุ์ของเจ้า บาปกรรมของข้าหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะแก้ไข! ข้ายินดีจะกลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อหล่อเลี้ยงเจ้า!”
เมื่อเขากล่าวจบ เพลิงแห่งกรรมก็ลุกวาบรอบตัวเขาและแผดเผาร่างของเขาจนสิ้นซากในพริบตา แต่ทว่าแม้เพลิงนั้นจะร้ายแรงขนาดที่เผาร่างหลวงจีนเป็นเถ้าถ่านแต่มันไม่ทําอันตรายดอกไม้งดงามนั้นแม้แต่นิด ต้นดอกไม้ร่วงลงกับกองขี้เถ้าอย่างแผ่วเบายังดูบอบบางและน่าทะนุถนอม
“เถ้าถ่านคืนสู่เถ้าถ่าน ฝุ่นธุลีคืนสู่ฝุ่นธุลี บําเพ็ญพุทธธรรมก็ยังคงว่างเปล่าไร้ค่า มีดีแค่ใช้เป็นปุ๋ยได้เท่านั้น”
ฉินมู่ก้มลงและกอบขี้เถ้าเข้าด้วยกันเพื่อโอบอุ้มเมล็ดดอกไม้นั้นเอาไว้ “หลวงจีน เจ้านั้นไร้ประโยชน์มาตลอดทั้งชีวิต แต่สุดท้ายก็มีประโยชน์หลังจากที่เจ้าตายไป ดอกไม้ต้นนี้จะเติบโตอย่างดี และมันจะฟูมฟักเมล็ดพันธุ์มากมายที่จะงอกเงยขึ้นเป็นดอกไม้อื่นๆ อีกจํานวนมาก เจ้าในแดนใต้พิภพทราบเช่นนี้แล้วคงจะปลาบปลื้มใจ”
“แม้ว่าดอกไม้จะไม่ใช่ผู้คนสามัญธรรมดา แต่เมื่อใช้เถ้าถ่านของเจ้าเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยง เจ้าก็นับได้ว่าสําเร็จการยังประโยชน์ให้แก่ผู้คนทั่วไป ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้ากับข้าอยู่ในมรรคาเต๋าเดียวกัน”
เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ แม้ว่าเขาจะยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่ก็มีบรรยากาศอันน่ายําเกรงของจ้าวลัทธิ เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ไต้ซือท่านใดอยากจะมาถกเถียงกับข้าอีกบ้าง”
รอบข้างตกอยู่ในความเงียบ ฉินมู่มองไปยังหลวงจีนที่ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังผู้หนึ่ง แค่อีกฝ่ายรีบหลบตาทันที ไม่กล้าประจันหน้า
เฒ่าหม่าและเฒ่าบอดซึ่งยืนอยู่ไกลๆ สนทนากับเหล่าหลวงจีนเฒ่า เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เฒ่าบอดก็ยิ้ม “หากว่ามู่เอ๋อรั้งอยู่ในวัดใหญ่ฟ้าคํารามและหลวงจีนพวกนี้ไม่ลงมือสังหารเขาไปให้พ้นๆ…รับรองว่าเพียงแค่ไม่กี่วัน หลวงจีนครึ่งวัดคงจะสึกไปเป็นฆราวาส อึกครึ่งนิดๆ ก็จะถูกมารเข้าสิง ส่วนพวกที่ไม่เป็นอะไรเลย นั่นก็คงเป็นพระปลอม เขานี่นับว่าฝีมือเหนือลํ้ากว่ายายเฒ่าซีมาก”
ทันใดนั้น หลวงจีนคนหนึ่งก็ตะโกนไปด้วยเสียงเข้ม “เขาคือมาร เขาคือมารฟ้า! ล่อหลอกทุกๆ คนด้วยถ้อยคําอันชั่วร้าย!”
หลวงจีนอีกรูปตะโกนตามมาโดยพลัน “เขาใช้ถ้อยคํามารร้าย เพื่อสังหารศิษย์พี่สินคง! พวกเราปล่อยให้มารมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว ฆ่าเขาเร็วเข้า กําจัดมารร้ายออกไป!”
ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธเกรี้ยวและตะโกนอึงคะนึง หมายจะกําราบฉินมู่ สังหารมารร้าย
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มก็หัวเราะร่าด้วยความรื่นเริงใจอย่างเหลือล้น เสียงของเขาดังขึ้นทุกทีๆ ความโกลาหลรอบๆ ตัวเขาค่อยสงบลง แต่เสียงหัวเราะของเขายังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเสียงหัวเราะหยุดลง ฉินมู่ก็กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้าอยากโต้วาที ข้าก็โต้วาทีกับพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าอยากถกเรื่องหลักคําสั่งสอนของสํานัก ข้าก็ตกลงถกเรื่องหลักคําสั่งสอนของสํานัก แต่เมื่อพวกเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ พวกเจ้าก็พูดเรื่องการพรากชีวิต ข้าก็ไม่ขัดข้อง พูดเรื่องพรากชีวิตก็พูดเรื่องพรากชีวิต ถึงขั้นนั้นพวกเจ้าก็ยังทําไม่สําเร็จและกลายเป็นอยากจะสังหารข้าแทน? พวกเจ้าฝึกพุทธธรรมท่องพระสูตรไปเพื่ออะไรเนี่ย ถอยไปซะ ไปสึกเป็นฆราวาสเสียเถอะ”
หลวงจีนบางคนฟังแล้วก็เหม่อลอยจิตใจว่างโหวง สักพักหนึ่ง หลวงจีนบางคนก็ถอนหายใจและหันหลังกลับไปเก็บข้าวของเพื่อลงจากภูเขา
หลวงจีนที่เหลือยังไม่ถอยออกและยืนอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ต้องจบลงด้วยการต่อสู้อยู่ดีสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะตีฝีปากอวดความดักดานของตนเองไปก่อนทําไม!”
เขามองไปรอบๆ ด้วยความฮึกเหิม ดวงตาเขาเป็นประกายดุจสายฟ้า “ใครจะไสหัวเข้ามาตายก่อนล่ะ”