Skip to content

Tales of Herding Gods 39

39. แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง

หลวงจีนเฒ่าคิ้วกระตุก รู้ทันทีว่าช่องโหว่ที่ว่าคืออะไร ตอนที่เขาเรียนวิชาในครั้งโน้น เขาเผลอสัปหงกระหว่างชั้นเรียนหนึ่งที่ยูไลเฒ่าสอน และชั้นเรียนนั้นสอนกระบวนท่าพุทธองค์พันกร

สำนักพุทธเชื่อเรื่องชะตาและกรรม หลวงจีนเฒ่าพลาดชะตานี้จึงมิอาจไปขอเรียนแก่นแท้พุทธองค์พันกรจากยูไลเฒ่าอีกครั้ง เขาได้แต่ขอให้ศิษย์พี่และศิษย์น้องบอกเล่าอธิบายกระบวนท่าพุทธองค์พันกรแทน แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจทดแทนได้กับการเรียนรู้จากยูไลเฒ่าโดยตรง

พุทธองค์พันกรของเขามีช่องโหว่ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น หลวงจีนเฒ่าค้นพบช่องโหว่นี้และพยายามแก้ไขมัน ทว่ายิ่งแก้เท่าไหร่ ช่องโหว่ยิ่งถ่างกว้างขึ้นทุกที

หากจะแก้ปัญหา ต้องแก้ที่ต้นเหตุ กระบวนท่าพุทธองค์พันกรนั้นลึกล้ำซับซ้อนและผู้ใช้ต้องผสานประสาทสัมผัสทุกอย่างให้ทำงานสอดคล้องกัน ตัวแปรอันส่งผลต่อกระบวนท่ามีมากเหลือคณานับ และความผิดพลาดเล็กน้อยใดๆ ก็มิได้มาจากต้นเหตุเดียว มันอาจจะเกิดจากสาเหตุจำนวนมากนับสิบๆ สาเหตุ ซึ่งอาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเลยด้วยซ้ำ

หลวงจีนเฒ่าพยายามเสาะแสวงต้นเหตุของช่องโหว่ตั้งแต่เขายังหนุ่มแน่น แต่จวบจนบัดนี้ก็ยังมิอาจค้นพบ ช่องโหว่ในกระบวนท่าพุทธองค์พันกรของเขาย่อมถูกถ่ายทอดไปสู่หมิงซิ่นซึ่งเป็นศิษย์ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ช่องโหว่นี้เล็กนิดเดียว และมันจะเผยตัวก็ต่อเมื่อต้องรับการโจมตีด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ช่องโหว่ดังกล่าวก็คือเมื่อมือของเขาวาดผ่านจุดใต้คอหอย ปราณชีวิตของเขาจะเปราะบางเป็นพิเศษ

ภายใต้การโจมตีด้วยความเร็วสูงของศัตรู และด้วยปราณชีวิตที่เปราะบางอ่อนแอในแขนของเขา ความเร็วในการยกมือขึ้นต้านรับของเขาก็เชื่องช้าลงเสี้ยวหนึ่งด้วย และในจังหวะนั้น ก็จะมีช่องโหว่ปรากฏที่คอหอยของเขา สำหรับหลวงจีนเฒ่าผู้มีวรยุทธสูงเยี่ยม ไม่มีใครบีบให้เขาเผยจุดอ่อนนี้ได้ แต่สำหรับหมิงซิ่น คงเป็นคนละเรื่อง

ในแง่พลังวัตร ฉินมู่เหนือล้ำกว่าหมิงซิ่น และด้วยมือต่างมีดอันรวดเร็วขั้นสุดของฉินมู่ เขาก็ฟาดฟันใส่คอหอยของหมิงซิ่นไปกว่าร้อยฉาด!

ในฉาดที่หกสิบแปด รังสีทองรอบร่างหมิงซิ่นก็แตกกระจาย แม้ว่าหมิงซิ่นจะรวบรวมปราณชีวิตเพื่อสร้างรูประฆังทองป้องกันตัวอีกครั้ง มีดมือของฉินมู่ก็เฉือนฟันมาที่คอของเขาแล้ว

โลหิตสาดกระจายจากคอของหมิงซิ่น ย้อมจีวรขาวของเขาให้แดงฉาน

หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจ “เฮ้อ เจ้าเด็กโง่ หากว่าพุทธองค์พันกรป้องกันเพลงมีดไม่ได้ ไฉนเจ้าไม่นึกใช้กระบวนท่าอื่นล่ะ”

หมิงซิ่นฟังแล้วก็ตระหนักรู้ข้อผิดพลาดของตนทันที เมื่อเขาพยายามรับมือพายุมีดของฉินมู่ เขาหลงลืมไปว่าการตั้งรับเพียงถ่ายเดียวเช่นนี้มีแต่จะโดนฟาดฟันทุบตี แต่หากว่าเขาฉวยใช้ระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างที่ระฆังทองคลุมกายป้องกันมีดของฉินมู่ เขาก็จะมีโอกาสโจมตีโต้ตอบและอาจเอาชนะศัตรูได้

แต่ที่เขาหลงลืมจุดเด่นของตน ก็เพราะถูกคุกคามจนหวั่นผวาจากความบ้าคลั่งของฉินมู่!

ทันใดนั้น กระบวนท่าของเขาแปรเปลี่ยน ฝ่ามือกุมกำเป็นหมัด สะเทือนกระแทกอากาศ กำปั้นของเขาฉายแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวันสีทองสุกใส!

แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง!

จังหวะนั้น เสียงไพเราะของพุทธองค์พลันเปล่งออกจากมุทราของเขา แล้วจึงตามมาด้วยกัมปนาทของสายฟ้าในอุ้งมือ อันอาจบดขยี้วิญญาณศัตรู!

แสงตะวันแผดวิญญาณหยางของเขาแตกต่างจากฉินมู่ เขาสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของกระบวนท่านี้ได้มากว่าฉินมู่หลายเท่า

เมื่อถูกกระแทกด้วยกระบวนท่านี้ ฉินมู่พลันรู้สึกสับสนวิงเวียน วิญญาณทั้งสามของเขาสั่นไหวไปมา และจิตทั้งเจ็ดก็สะดุ้งสะเทือน

ตึบ ตึบ ตึบ!

ฉินมู่ใช้นิ้วจี้สกัดจุดหน้าผาก ปลายสันหลัง สะดือ ศีรษะ คอ ง่ามขา และปอดของตน เพื่อตรึงวิญญาณทั้งสามและจิตทั้งเจ็ดของตนให้อยู่กับที่!

วิชามารฟ้าเสกสรร!

ท่านยายซีถ่ายทอดวิชามารฟ้าเสกสรรให้กับเขา เพื่อตรึงวิญญาณและจิต ผนึกแก่นชีวิตและโลหิตไว้ในผืนหนังเพื่อถลกออมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า และบัดนี้มันถูกฉินมู่ประยุกต์ใช้ตรึงวิญญาณและจิตตนเอง เพื่อป้องกันมิให้พวกมันถูกเผาผลาญจากการโจมตีของหมิงซิ่น!

“ซา โมเยว่!”

เสียงมารอันเร่งร้อนถูกเปล่งออกมา เมื่อฉินมู่จีบนิ้วเป็นสัญลักษณ์ดอกไม้ ด้วยฝ่ามือที่ผลักออกไป มุทรามารมหาอิสระก็เข้าโจมตีหมิงซิ่นจนทำให้วิญญาณของเขาสั่นไหวแทบหลุดลอยออกจากร่าง แต่ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันเปลี่ยนมุทราและเปลี่ยนจากวิชามารเป็นวิชาพุทธ แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง!

แสงตะวันเผาวิญญาณหยางของหมิงซิ่นแปรเปลี่ยนหมัดของเขาเป็นดวงอาทิตย์ ใช้สายฟ้าคำรามบดขยี้วิญญาณ และแสงตะวันสีทองผลาญเผาซ้ำ ขณะที่แสงตะวันเผาวิญญาณหยางของฉินมู่แปรเปลี่ยนหมัดของตนเป็นดวงอาทิตย์อันขับเคลื่อนด้วยปราณชีวิตหงส์แดง เพลิงเป็นเพลิงชีวิต ร้อนแรงแก่กล้า อาจเผาไหม้โลหะให้เป็นจุล

ฉินมู่คลายฝ่ามือออก อากาศในอุ้งมือเขาพลันระเบิดปะทุ สร้างแรงกระแทกใส่ใบหน้าศัตรู และก่อกวนวิญญาณมัน

แสงตะวันเผาวิญญาณหยางของเฒ่าหม่าและหลวงจีนเฒ่านั้นแตกต่างกัน ของหลวงจีนเฒ่าเป็นแบบตามขนบดั้งเดิม ส่วนของเฒ่าถูกพัฒนาเสริมสร้างเน้นหนักในด้านพละกำลัง

เสียแต่ว่าฉินมู่ไม่มีวิชาพระสูตรมหายานยูไล ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปลดปล่อยพลังได้เต็มขีดจำกัด

และขณะที่วิญญาณของหมิงซิ่นสั่นไหวจากแรงกระแทกและเกือบจะลอยหลุดออกจากร่างนั่นเอง เสียงทุ้มต่ำก็กึกก้องมาอีกครา “ซา โมเยว่!”

ฉินมู่ยังกล้าเปลี่ยนกระบวนท่าอีกรอบ มุทรามารมหาอิสระถูกช่วงใช้อีกรอบ ท่านยายซี หลวงจีนเฒ่า และคนอื่นๆ รับชมดูจนตื่นตระหนกจากการที่ฉินมู่สลับมุทราไปมาระหว่างพุทธและมารได้อย่างคล่องแคล่ว

พึงรู้ว่าพุทธและมารขัดแย้งกัน การใช้วิชาพุทธต่อเนื่องกันจากวิชามารนั้นยากเย็นแสนเข็ญ มิอาจราบรื่นฉับไวแบบที่ฉินมู่ได้แสดงให้ชมดู

“ต้องอย่างงี้สิ กายาจ้าวแดนดิน” เฒ่าหนวกเผยอยิ้ม พึมพำกับตนเอง

ท่านยายซีได้ยินก็ใจกระตุกวูบ “เฒ่าหนวกพูดถูกแล้ว มีแต่ปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดินที่ไร้คุณสมบัติธาตุเท่านั้น ที่สามารถสลับใช้วิชาพุทธและมารไปมาได้อย่างราบรื่น! มู่เอ๋อครอบครองกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ผู้ใหญ่บ้านกล่าวถูกต้องแล้ว!”

หลวงจีนเฒ่าผุดลุกขึ้นทันที แล้วสวดภาวนานามของพุทธองค์ มุทรามารมหาอิสระของฉินมู่พลันสูญเสียกำลัง และเกิดมีกำแพงพลังล่องหนกีดกั้นเขาออกจากหมิงซิ่น หมิงซิ่นหมายจะตั้งท่าต่อสู้กับฉินมู่อีกครา แต่กลับหน้ามืดวิงเวียนจนร่างโงนเงนไปมา

เขาสูญเสียเลือดจากแผลที่คอมากเกินไป แผลนั้นแทบผ่าคอเขาเป็นสองแล่ง

“ข้าแพ้พนันแล้ว”

หลวงจีนเฒ่าหันไปจ้องมองเฒ่าหม่า มือก็กวักเรียกหมิงซิ่นให้ลงมาจากเวทีและเข้ามาใกล้ๆ “ศิษย์น้อง ครานี้แม้ข้าจะพ่ายแพ้ แต่คราหน้านั้นไม่มีทาง หมิงซิ่น…เจ้ากับข้าจาริกไปทั่วทุกแห่งและยังมิอาจพบสถานที่ที่จะลงหลักปักฐาน พวกเราไปแสวงหาหมู่บ้านอันต้องวาสนากุศลแถวๆ นี้และลงหลักปักฐานเถอะ”

คอของหมิงซิ่นยังโซมโลหิตเมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้ หลวงจีนเฒ่าช่วยทายาและพันแผลที่คอของเขา จากนั้นเขาจึงกล่าวแก่เฒ่าหม่าด้วยท่าทีลึกซึ้ง “ศิษย์น้อง ไม้เท้าพระแม้สูญเสียไปก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ ทว่าศีรษะเมื่อหลุดไปแล้วก็หลุดเลย อนึ่ง…ประสกน้อยผู้นี้ ฝึกปรือวิชามารทำให้เจ้าชั่วร้ายกระหายเลือด ถ้าประสกน้อยยังดำเนินตามทางมาร ระวังจะตกนรกหมกไหม้มิอาจผุดเกิด!” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ดึงหมิงซิ่นพร้อมกับเหินเหาะไปโดยเท้าไม่แตะพื้น

ฉินมู่กระโดดลงจากเวทีประลอง มองตามหลวงจีนเฒ่าและศิษย์ของเขา เฒ่าหม่าสีหน้าหนักอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเขากังวลกับคำกล่าวของหลวงจีนเฒ่า

“ท่านปู่หม่า ท่านยาย หากว่าพวกเขามีโอกาสดีๆ พวกเขาจะฆ่าพวกเราไหม”

ท่านยายซีหัวเราะเยือกเย็น “สยบมารชั่วปีศาจร้ายคือวิธีหากินของไอ้โล้นแก่พวกนี้ ดังนั้นหากว่าพวกเขามีโอกาสเหมาะ ชะตากรรมของเขาคงไม่ดีไปกว่าแม่นางอู๋! ส่วนสำหรับเฒ่าหม่า…” นางส่ายศีรษะ

เมื่อถ่ายทอดวิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจม เฒ่าหม่าก็ได้ละเมิดกฎร้ายแรงของวัดใหญ่ฟ้าคำรามแล้ว!

ฉินมู่ถามต่ออย่างฉงน “อย่างนั้นทำไมเราไม่ฆ่าพวกเขาเสียเพื่อขจัดความยุ่งยาก ทำไมเราต้องรอให้พวกเขากลับมาก่อกวนหาเรื่องด้วย”

ท่านยายซีตาลุกวาวและสนับสนุนคำพูดเขาทันที “นับวันมู่เอ๋อยิ่งมีความโอ่อ่าของกายาจ้าวแดนดินมากขึ้นทุกที! นักปรุงยา เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด พวกเราจัดการไอ้โล้นเฒ่า โล้นน้อยนี่เลยดีไหม”

แม้ว่าหลวงจีนเฒ่าจะไปไกลแล้ว เขาก็เร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาเหาะจากไปพร้อมกับหมิงซิ่น ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานใกล้ๆ หมู่บ้านพิการชรา

ท่านยายซีและคนอื่นๆ ไม่ได้ตามไปไล่ล่า พวกเขาทำธุระขายของของตนต่อ มีแต่เฒ่าหนวกที่ถอนหายใจอย่างหนักอก “แดนโบราณวินาศเดี๋ยวนี้ชักจะไม่ขลังซะแล้ว มารเร่ปีศาจร่อนไหนๆ ก็โผล่หัวมาก่อกวนที่นี่ได้”

เฒ่าบอดพยักหน้าเห็นด้วย “ทำให้คนดีๆ อย่างพวกเราแทบไม่ได้มีเวลาสงบ เฒ่าหม่า จะซ่อนตัวต่อไปก็ไม่ได้อะไร หากวันไหนเจ้าอยากจะกลับไปถล่มวัดใหญ่ฟ้าคำราม พวกเราผู้เฒ่ากระดูกผุจะตามไปกับเจ้าด้วย”

เฒ่าหม่ารู้สึกตื้นตันแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เขายกไม้เท้าพระขึ้นมาแทนแล้วกล่าว “ข้าฆ่าฟันฉลองเลือดออกจากวัดใหญ่ฟ้าคำราม ถ้าหากข้าจะกลับไป ข้าก็จะตะลุยเลือดนองเป็นท้องธารโดยไม่ต้องรบกวนพวกเจ้า มู่เอ๋อ เจ้าชนะพนันครั้งนี้ นี่คือรางวัลของเจ้า”

ฉินมู่รับไม้เท้าพระนั้นมา และพบว่ามันไม่ได้หนักอึ้งอย่างที่เขาคิด ไม้เท้าพระนี้เมื่อวางอยู่บนโต๊ะก็กดทับจนขาโต๊ะจมลึกลงไปในพื้น แต่มันกลับค่อนข้างเบาเมื่อถือในมือ เขาจึงเอ่ยถามอย่างพิศวง “ไม้เท้าพระนี่มีค่ามากแค่ไหน ทำไมท่านปู่หม่าถึงใช้ศีรษะตนเป็นเดิมพันแลกกับมัน”

“มีค่าหรือ โอ๊ย มันไม่มีราคาอะไรหรอก”

ยายเฒ่าซีหัวเราะเฮะๆ กวาดตามองไม้เท้าพระนั้นไปมา “เจ้ารู้จักเมืองเขตมังกรไหมล่ะ ไม้เท้านี้อย่างมากก็ใช้ซื้อทั้งเมืองเขตมังกรได้เท่านั้นเอง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version