40. ยอดลม
ฉินมู่เบิกตากว้าง ไม้เท้าพระเรียบๆ นี้น่ะหรือที่สามารถซื้อเมืองเขตมังกรได้ทั้งเมือง
“นามของไม้เท้าพระนี้เรียกว่าขักขระ มีสี่แฉกหูและสิบสองห่วง มันถูกสร้างโดยยูไลเฒ่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม และสามารถใช้ฟาดทุบผู้คนได้ มูลค่าของมันเทียบเท่ากับเมืองเขตมังกรจริงๆ นั่นล่ะ”
เฒ่าหม่าแนะนำไม้เท้าต่อ “แต่จริงๆ แล้วไม้เท้านี้ใช้สำหรับฝึกปรือจิตใจ เมื่อเจ้าจับถือไม้เท้า ทุกกิเลสและทุกอารมณ์จะทำให้ห่วงเหล่านี้สั่นกริ๊งๆ เมื่อห่วงเหล่านี้สั่นไหว ความคิดกิเลสของเจ้าก็จะสูญสลาย ดังนั้นนี่จึงเป็นสมบัติวิเศษที่ใช้ขจัดมารในจิต สิบสองห่วงสามารถทำลายสิบสองกิเลสและขจัดสิบสองมารจิต เมื่อมารในจิตของเจ้าปรากฏขึ้น ห่วงก็จะสั่นไหวกระแทกทำลายมารจิตนั้นจนเป็นผุยผง ไม้เท้านี้มีสี่แฉกหูช่วยให้ผู้ถือขจัดความปรารถนาในโลกีย์และฝึกอริยสัจสี่ ให้ผู้ถือสำเร็จสัจธรรมและบรรลุเซ็น ด้วยไม้เท้านี้ในมือ การฝึกปรือของเจ้าจะรวดเร็วก้าวหน้าเป็นสองเท่า”
ท่านยายซีตาสุกใสขึ้นมาทันที เมื่อนางจ้องมองไม้เท้าพระในมือฉินมู่ “มู่เอ๋อ ให้ยายยืมไม้เท้าพระสักประเดี๋ยว ในตัวยายมีมารจิตตัวใหญ่บักเอ้ก ทำยายรำคาญมาหลายปีดีดักแล้ว!”
ฉินมู่ส่งไม้เท้าขักขระให้ท่านยายซีและถามด้วยสงสัยใจ “ในใจท่านยายมีมารจิตประเภทไหนหรือ”
“มารแก่ๆ ตัวหนึ่งน่ะ”
ท่านยายซีถอนหายใจจนรอยย่นบนใบหน้ายู่ลึกขึ้น “ไม่ว่าข้าจะทำยังไง มารแก่ตนนี้ก็ไม่ตายๆ ไปซะที ข้าฆ่ามันเป็นพันๆ รอบแต่มันก็ยังหนังเหนียวทนทายาด และคอยก่อกวนจิตใจของข้า! ถ้าข้าใช้ไม้เท้าพระนี่ฆ่ามันได้ ชีวิตข้าคงสงบเสียที”
ฉินมู่ไม่รู้ว่ามารเฒ่าในจิตของท่านยายซีเป็นตัวอะไร และท่านยายซีก็ไม่อธิบายต่อ เมื่อนางรับไม้เท้ามาในมือ หวงทั้งสิบสองบนหูไม้เท้าต่างก็สั่นส่งเสียงกริ๊งๆ อย่างเผ็ดร้อน ส่งเสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่
ธรรมชาติมารในตัวท่านยายซีปะทุออก และท่วงท่ากิริยาอันน่าหวาดกลัวก็แผ่ขยายออกมาจากร่างของนาง ท่วงท่ากิริยานี้เหมือนจะมิได้เป็นของนาง ตอนนี้นางดูคล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
ฉินมู่ขนลุกชูชัน เหมือนบุคคลอื่นสิงสู่อยู่ในร่างของท่านยายซี!
เฒ่าบอด เฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ นักปรุงยา และเฒ่าใบ้ ก็ขนหัวลุกเช่นกัน พวกเขาก้าวถอยออกห่างจากยายซี เพราะบรรยากาศน่าหวาดสยองนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกคุกคามเช่นเดียวกัน!
ผ่านไปสักพัก ท่านยายซีก็แสดงท่าทีผิดหวัง นางคืนไม้เท้าพระให้แก่ฉินมู่ “ของนี่ทำอะไรไอ้มารแก่นั่นไม่ได้ ให้สวรรค์สาปเถอะ! ทำไมข้าถึงฆ่ามันไม่ได้!”
ฉินมู่รับไม้เท้าพระคืนมา แล้วพยายามผูกไว้ที่กลางหลังกับพวกไม้เท้าไผ่ของเขา แต่ว่ามันยาวจนเกินไป ทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่สะดวก ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถือมันไว้ในมือ
“เจ้าไม่ใช่หลวงจีน จะถือมันไว้ทำไม โยนไปกองในเกวียนโน่น”
หลังจากนั้นเฒ่าหม่าก็ประกาศ “เจ้าผ่านการทดสอบตลาดนัดงานวัดในวันนี้ ไม่จำเป็นต้องสู้อีกต่อไปแล้ว สามารถเอาชนะศิษย์จากวัดใหญ่ฟ้าคำรามได้ถือเป็นความสำเร็จอันเยี่ยมยอด ทว่าหมิงซิ่นมิใช่ศิษย์สายตรงของยูไลเฒ่า ทักษะวิชาฝีมือเขายังห่างชั้นจากศิษย์ของยูไลเฒ่า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ฉินมู่โยนไม้เท้าค่าควรเมืองนั้นส่งๆ ไปกองไว้บนเกวียนวัว แล้วถามข้อสงสัย “ศิษย์ของยูไลเฒ่าเก่งแค่ไหนหรือ”
เฒ่าหม่าตอบด้วยสีหน้านิ่ง “ครั้งกระโน้นข้าคือศิษย์ของยูไลเฒ่า เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ เมื่อนั้นจึงจะนับว่าเจ้าสำเร็จกายาจ้าวแดนดินอย่างแท้จริง”
ฉินมู่หวั่นไหวขึ้นมาทันที ทุกๆ วันที่เขาฝึกซ้อมกับเฒ่าหม่า เฒ่าหม่าใช้พลังวัตรแค่ขั้นทารกวิญญาณ แต่กระนั้นเขาก็ยังฟกช้ำหน้าเขียวจากหมัดของเฒ่าหม่า
พึงรู้ว่าเฒ่ามีแขนเเหลือเพียงข้างเดียว หากว่าเขามีแขนครบ ใครจะรู้ได้ว่าทักษะพลังเขาจะน่ากลัวขนาดไหน
ฉินมู่ตระหนักทันทีว่า หนทางนี้ยังคงอีกยาวไกล
ตลาดนัดงานวัดในวัดยายเฒ่ากินเวลาสองวันสองคืน และเมื่อยามเย็นมาถึง พวกชาวบ้านก็เก็บร้านรวงของตนแล้วอพยพเข้าไปข้างในวัดยายเฒ่า วัดแห่งนี้กว้างขวางโอ่โถง และมีรูปสลักหินคุ้มกันอาณาเขตด้วยเช่นกัน ที่นี่จะปลอดภัยยามที่ความมืดเข้ารุกราน
เมื่อฉินมู่เข้าไปในวัดยายเฒ่า เขาจึงรู้ว่าเหตุใดวังหมาป่าสวรรค์ถึงถูกเรียกว่าวัดยายเฒ่า เพราะในโถงใจกลางของวัด มีรูปสลักของหญิงชราท่าทางใจดีตั้งและถูกบูชาอยู่ที่นั่น
หญิงชราใจดีผู้นั้นหน้าตาท่าทีเหมือนยายเฒ่าทั่วๆ ไปในหมู่บ้าน ประกายตาของนางดูมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย รูปสลักนี้ฝีมือสลักประณีตสมจริงราวกับมีชีวิต
ฉินมู่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ารูปสลักนี้ดูเหมือนท่านยายซี เลยเขม้นมองดูอีกหน่อย แต่เขาก็กระโดดโหยงตกใจเมื่อปลุกเนตรสวรรค์มองรูปปั้น
หญิงเฒ่าที่ดูใจดีนี้กลับมีบรรยากาศอันเร่าร้อนดุดัน รัศมีเทวะของนางก่อรูปเป็นหมาป่ายักษ์สูงเทียมเมฆ เห่าหอนไปยังท้องฟ้าราวกับหมายว่าจะกลืนกินสวรรค์!
นอกจากโถงใจกลาง ยังมีโถงวิหารหน้า โถงปีกตึกอีกสองข้าง และสวนรกร้างที่กินเนื้อที่มหึมา ยังมีบ่อน้ำในสวนนั้นอันแห้งผาก และในบ่อมีโครงกระดูกจำนวนหนึ่ง
ฉินมู่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ และพบว่ากระดูกเหล่านั้นน่าจะเป็นกระดูกมัจฉา ทว่าปลาอะไรตัวใหญ่ยี่สิบวา ที่ประหลาดไปกว่านั้นคือกระดูกศีรษะปลาไม่ต่างอะไรกับเศียรมังกร!
นักปรุงยาเรียกเขากลับไปในโถง และนำยาขี้ผึ้งมาทาแผลของเขา ขณะที่เฒ่าใบ้และเฒ่าบอดทอดไข่อยู่ข้างๆ เป็นไข่ขนาดเท่ามะพร้าวของแม่ไก่มังกรที่เพิ่งออกมาอุ่นๆ ตัวแม่ไก่ร้องก๊อกๆ อยู่ไกลๆ
ในวัดยายเฒ่า ชาวบ้านหมู่บ้านต่างๆ ก่อกองไฟประกอบอาหารมื้อเย็น หลังจากที่ตะวันตกดินและพวกเขาทานอาหารแล้ว พวกเขาก็เตรียมตัวเข้านอน
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งมาจากนอกวัดด้วยสีหน้าวิตกกังวลและตะโกนว่า “หมอตำแย! ที่นี่มีหมอตำแยไหม เมียข้ากำลังจะคลอดเดี๋ยวนี้แล้ว!”
ทุกๆ คนในวิหารมองไปยังเขา แต่ไม่มีใครปริปาก
ท่านยายซีลุกขึ้นยืนด้วยฝีเท้าไม่มั่นคงของนาง “ยายเฒ่าคนนี้พอมีฝีมือดีอยู่ คอยช่วยทำคลอดเด็กมาเรื่อยๆ เมียของเจ้ายังอั้นไว้ไหวไหม นี่ท้องฟ้าเกือบจะมืดแล้ว หากว่านางยังอดทนไหวถึงรุ่งเช้านี้ ข้าสามารถไปหา…”
ชายหนุ่มผู้นั้นคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะซ้ำๆ “นางทนไม่ไหวแล้ว! ข้าขอร้องท่านช่วยชีวิตเมียและลูกของข้า! ภรรยาของข้าท้องตีบคลอดยาก หมอตำแยในหมู่บ้านก็จนปัญญาจะช่วยนางทำคลอด!”
ยายเฒ่าซีเขม้นมองดวงตะวันที่กำลังตกดินและแสดงสีหน้ายุ่งยากใจ
“โปรดช่วยข้าเถิด! ข้าขอร้องท่าน!”
ชายหนุ่มโขกหัวซ้ำๆ จนหน้าผากเขาโซมเลือด และคร่ำครวญ “เมียข้าตั้งท้องหลายครั้งในช่วงหลายปีนี้ แต่เด็กก็คลอดออกมาตายทุกครั้ง! หากว่าเด็กคนนี้ก็มาตายไปอีก ตระกูลข้าคงไร้ทายาทสืบทอด!”
ท่านยายซีอุทาน “เด็กพวกนั้นคลอดออกมาตายหมดเลยรึ”
ชายหนุ่มผงกหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านยายซีชักสงสัย “ในเมื่อนางคลอดลูกลำบากออกยาก เด็กในท้องน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าคลอดออกมาตาย เรื่องนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ หมู่บ้านของเจ้าอยู่ห่างจากที่นี่มากไหมล่ะ?”
“ไม่ไกลเลย! ห่างจากวัดยายเฒ่านี้แค่ยี่สิบลี้!”
ท่านยายซีมองดวงตะวันที่กำลังคล้อยต่ำลงทุกที แล้วระบายลมหายใจโล่งอก “ยี่สิบลี้? เจ้ามาจากหมู่ตึกจางสินะ ไม่ค่อยไกลเท่าไร เราน่าจะไปกันถึงก่อนฟ้ามืด เฒ่าบอด มู่เอ๋อ ตามข้ามา ที่นั่นมีอะไรน่าสงสัยแปลกๆ”
ฉินมู่ประหลาดใจ ปกติแล้วท่านยายซีนิสัยใจคอพิลึกกึกกือ ไม่นึกว่านางจะเป็นคนใจดีแบบนี้
ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที และวิ่งนำไปทางหมู่ตึกจาง เขาน่าจะเป็นนักฝึกยุทธที่โดดเด่นด้านความเร็ว เขากลัวว่าเขาจะพาหมอตำแยกลับไปไม่ทัน แต่เมื่อเขาหันหลังไป ก็พบว่าทั้งยายเฒ่าซี เฒ่าบอด และเด็กชายอายุสิบสองปี ตามเขามาติดๆ
“เจ้าวิ่งช้าจริงๆ” เฒ่าบอดพูด “มู่เอ๋อ แบกเจ้าหมอนี่ซิ แล้วเร่งความเร็วขึ้นอีก จะได้ทันอาทิตย์ตกดิน”
ฉินมู่รีบปราดเข้าไปแบกชายผู้นั้นขึ้นบ่า แล้วเตือนเขา
“ระวังมีดที่หลังข้าด้วยนะ อย่าโดนบาดล่ะ”
ชายหนุ่มกล่าวทันที “ปล่อยข้าลง เจ้าวิ่งไปได้ไม่ไกลหรอก ถ้าแบกข้าไปแบบนี้…”
แต่ไม่ทันจะสิ้นสุดคำพูด เสียงลมก็หวีดหวือกรอกหูเขา เมื่อฉินมู่กระโดดลอยขึ้นเหนือป่า และวิ่งเหยียบยอดไม้ไปด้วยความเร็ว!
เสียงลมยิ่งมายิ่งเร็วแรง ชายผู้นั้นตกตะลึง เด็กน้อยที่แบกเขาวิ่งเร็วขึ้นๆ อย่างน่าอัศจรรย์ จนเขากังขา น้องชายผู้นี้ฝึกวิชาอย่างไรนะ ถึงได้แข็งแกร่งกว่าข้าขนาดนี้!
และในระหว่างที่เขาตะบึงไปบนยอดไม้ ฉินมู่ก็รับรู้ความรู้สึกเหมือนกับว่าจะเหยียบลมได้ เขาครุ่นคิดทันที ท่านปู่เป๋บอกว่าเขาพบประสบการณ์ปราณชีวิตขัดเกลาร่างกายตอนที่กำลังวิ่งเหยียบยอดลมอยู่ หากว่าข้าสามารถหายอดลมพบ ข้าจะวิ่งบนอากาศได้บ้างไหม แต่ว่า ยอดลมมันคืออะไรกันแน่นะ
แต่เมื่อตอนนี้เขากำลังวิ่งอยู่ เขาจึงไม่มีเวลาขบคิดมากนัก ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังฉินมู่หันมากังวลยายเฒ่าซีและเฒ่าบอดจะวิ่งตามมาไม่ทัน แต่เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นผู้เฒ่าทั้งสองนั่งขัดสมาธิเอ้เต้อยู่บนหอบลมที่โหมกระพือขึ้นมาจากการวิ่งตะบึงของฉินมู่!
วิชาตัวเบาอะไรกันเนี่ย
เขาอึ้งจนพูดไม่ออก ดวงตะวันจมดินในที่สุด และมวลมืดอันน่ากลัวก็แผ่สยายมาจากทิศตะวันตก ครอบงำกลืนกินทุกสิ่งอย่างที่ขวางทางมัน
ด้วยความเร็วของฉินมู่ เขาก็มาถึงระยะที่เห็นหมู่ตึกจางอยู่ไกลๆ และรีบวิ่งไปหามัน หมายจะไปให้ถึงก่อนความมืดจะไล่ตามทัน!
ฟิ้ว!
แม้ว่าเขาจะหยุดยั้งเท้า แต่ลมหอบใหญ่ที่ตามหลังเขามายังพัดกระพือไปข้างหน้า ท่านยายซีและเฒ่าบอดผู้นั่งอยู่บนลม ก็ลอยลิ่วไปหลายวาก่อนที่จะเหยียดขาเหยียบลงแตะพื้น
ฉินมู่ชะงักอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโห่ร้องด้วยความดีใจ “ยอดลม นี่มันคือยอดลม!”