Skip to content

Tales of Herding Gods 257

ตอนที่ 257 ไม่ใช่ความผิดของท่าน

เมื่อฉินมู่เดินทางต่อไป เขาก็เห็นความรกร้างที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ มีผู้คนอดอยากหิวโหยอยู่ทั่วไป โศกนาฏกรรมทั้งเล็กและใหญ่ผุดขึ้นทุกที่ และโรคระบาดก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างไม่มีใคร

หยุดยั้ง เมื่อเทียบกับดินแดนอันสุขสงบอย่างวัดใหญ่ฟ้าคํารามแล้ว ข้างนอกนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับนรก

โชคดีที่ว่ามีนักเรียนจากวิทยาลัยและโรงเรียนประถมฐาน จํานวนนับไม่ถ้วนออกมาช่วยบรรเทาโรคระบาด มิเช่นนั้นภัยพิบัติคงร้ายแรงกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ราชครูสันตินิรันดร์ได้สร้างโรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยไว้เป็นจํานวนมากเพื่อทดแทนโรงเรียนเอกชนและนโยบายนี้ก็ได้เผยคุณค่าออกมาในห้วงเวลานี้ แม้ว่ากําลังของนักเรียนแต่ละคนนั้นจะน้อยนิด แต่เมื่อรวมกันก็เป็นพลังอันน่าตกตะลึง พวกเขาเทียบได้กับสํานักเล็กๆ จํานวนมาก

ฉินมู่เห็นเจ้าหน้าที่ทางการกับไพร่พลของเขาออกไปกวาดล้างปีศาจและสัตว์ประหลาดที่ฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วน ผู้ว่าการชนบทก็ถึงกับออกไปปกป้องเรือกสวนไร่นาด้วยตนเอง และคอยแนะนําให้ผู้อพยพเดินทางกลับถิ่นฐานก็ในเมื่อข้าวปลาอาหารที่จักรพรรดิส่งมาบรรเทาทุกข์จะมาถึงในไม่ช้านาน

และยังมีศิษย์สํานักเต๋าและพุทธที่ออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่พวกเขานั้นทําอะไรได้ไม่มากเทียบกับพลังอํานาจของจักรวรรดิ สิ่งที่เขาทําได้นั้นจํากัดจําเขี่ย และพวกเขาก็จะช่วยเหลือผู้คนเฉพาะในพื้นที่ที่พวกเขาไป บางคนก็ฉวยโอกาสนี้เผยแพร่คําสอนและสร้างลัทธิชั่วร้ายจํานวนมาก แต่ก็ล้วนแต่เป็นลัทธิครึ่งๆ กลางๆ

ภัยธรรมชาติระดับนี้ยังไม่สามารถกวาดล้างจักรวรรดิได้ ฉินมู่คิดในใจ ธัญญาหารรุ่นใหม่ถูกปลูกลงไปในดินแล้ว ตราบเท่าที่พวกเขารอจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผู้คนก็จะสงบลง

จังหวะเวลาที่เกิดภัยพิบัติขึ้นมาในจักรวรรดิเองก็ประหลาดพิลึก มันเกิดขึ้นพอเหมาะพอดีหลังจากทั่วทั้งจักรวรรดิปั่นป่วนสับสนและธัญญาหารได้ถูกผลาญไปมากมายกับสงคราม และด้วยภัยพิบัติหิมะนี้เสริมเข้ามา มันก็รุนแรงพอที่จะเขย่ารากฐานแห่งจักรวรรดิ

ข้าอยากรู้จังว่าราชครูสันตินิรันดร์กลับไปถึงราชสำนักหรือยัง หากว่าจักรพรรดิยังคงออกมาส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์อยู่แบบนี้ อีกอย่าง ภัยพิบัตินี้มันมาจากไหนกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์อย่าง

วัดใหญ่ฟ้าคำรามหรือสำนักเต๋าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่ต้องอาศัยเทวานุภาพ

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าด้วยความสงสัยตงิดใจ ทําไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น

ทําไมสรวงสวรรค์จึงหมายให้ภัยพิบัติร่วงลงมายังสันตินิรันดร์

เพื่อเผยแพร่ความเชื่อและคําสอนเกี่ยวกับเทพเจ้าในโลกมนุษย์งั้นหรือ

ก่อนยุคสันตินิรันดร์ มันคือโลกที่ถูกปกครองโดยเหล่าสํานัก อันมีประเทศเล็กประเทศใหญ่ทุกขนาด บางสํานักก็มีมรดกโบรํ่าโบราณและตํานานที่เล่าขานว่าก่อตั้งขึ้นมาโดยเทพเจ้า ถ้าอย่างนั้น หรือว่าเป็นเพราะหลักคําสอนเกี่ยวกับเทพเจ้าในโลกมนุษย์ถูกจักรวรรดิสันตินิรันดร์กวาดล้างจนเกลี้ยง ทวยเทพทั้งหลายจึงโกรธกริ้ว และส่งภัยพิบัติเช่นนี้ลงมา?

หรือเพราะว่าเหตุผลที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้น?

ฉินมู่ตามตัวศิษย์ลัทธิมารฟ้าคนหนึ่งมาและสอบถามสามสี่อย่าง ตอนนี้ลัทธิมารฟ้ากําลังตามเจ้าหน้าที่ทางการเพื่อออกไปส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ และศิษย์แทบทั้งหมดของลัทธิก็ถูกเคลื่อนย้ายใช้สอย กระจายครอบคลุมไปทั่วแดนดิน หัวหน้าโถงของทุกๆ โถงก็บริจาคเงินทองส่วนตัว และทุกคนก็กระเป๋าฉีกกันหมด

ปัญหาก็คือว่าพ่อค้าบางคนก็ยังกักตุนสินค้าเพื่อรอจังหวะตักตวงผลประโยชน์ และหลายตระกูลใหญ่มากอิทธิพลก็ไม่ยอมขายสินค้าให้

“จักรพรรดิกริ้วมากและฆ่าพวกเขาไปฝูงหนึ่ง จากนั้นก็ไปเจอขุนนางที่รับการติดสินบนและถ่างช่องโหว่กฎหมายเพื่อทุจริตเงินทองสําหรับบรรเทาภัยพิบัติ ดังนั้นจักรพรรดิก็ฆ่าคนพวกนี้ไปอีกฝูง และยังมีบางคนที่ฉวยโอกาสขายตําแหน่งขุนนาง จักรพรรดิก็ฆ่าไปอีกฝูง”

ศิษย์ลัทธิมารฟ้าที่ติดตามจักรพรรดิออกไปบรรเทาภัยพิบัติก็ได้เปิดหูเปิดตามากเมื่อเขากล่าว ใบหน้าของเขาเต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้น “จักรพรรดิเจอกับการลอบสังหารด้วย พวกที่มาเกือบทั้งหมดเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ แต่ทว่าเพราะมีขุนนางบุ๋นบู๊มาด้วยในคณะเดินทาง ทั้งจักรพรรดิยังออกไปสู้รบด้วย เขาแข็งแกร่งสุดๆ! น่าเสียดายที่จ้าวลัทธิไม่ได้อยู่ดูด้วย”

ฉินมู่ถาม “ยอดยุทธ์ที่พยายามลอบสังหารจักรพรรดิคือใครกัน”

“ข้าได้ยินว่าเป็นอาจารย์ยากจน ผู้เที่ยงแท้เถียน ทํานองนี้ และยังมียอดยุทธ์มาจากนอกกําแพงใหญ่อีกด้วย”

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน “เป็นพันธมิตรกับยอดฝีมือจากนอกกําแพงใหญ่งั้นหรือ แล้วราชครูสันตินิรันดร์กลับมาหรือยัง”

“ข้าไม่เห็นเขานะ”

ฉินมู่พึมพําอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถาม “แล้วตอนนี้จักรพรรดิอยู่ที่ไหน”

“เขาอยู่ที่มณฑลป้าโจวอันห่างจากที่นี่ไป 5,000 ลี้” ศิษย์ลัทธิมารฟ้านั้นกล่าวเสริมอีก “จักรพรรดิได้ลงไปยังแดนใต้และกวาดล้างตระกูลใหญ่มากอิทธิพลที่ไม่ยอมขายธัญญาหารของพวกเขา ก่อนจะวกขึ้นไปทางเหนือและตอนนี้อยู่ที่ป้าโจว สถานที่นั้นสถานการณ์นับว่าค่อนข้างคงตัวดีแล้ว”

ฉินมู่ตั้งหลักแล้วถามต่อ “เแล้วเมืองหลวงล่ะ มีขุนนางชั้นหนึ่งคนไหนไหมที่ยังรั้งอยู่เมืองหลวง”

“รัชทายาทและขุนนางฝ่ายของเขารั้งอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน”

สีหน้าฉินมู่มืดทะมึน รัชทายาทได้รับมอบหมายให้ดูแลเมืองหลวง แต่เขาก็ยังวิ่งเร่ไปวัดใหญ่ฟ้าคําราม อาจารย์ยากจน ผู้เที่ยงแท้เถียนและพวกพ้องซึ่งเกือบเสียชีวิตในนํ้ามือราชครูสันตินิรันดร์

และได้รับการช่วยเหลือจากยูไลซึ่งสัญญาไว้ว่าพวกเขาจะเข้าบวชในพุทธศาสนาและไม่ออกมายุ่งกับเรื่องทางโลก แต่กระนั้นอาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ ก็ยังเสนอหน้าออกมาอีกครั้ง

เมื่อเขาปะติดปะต่อเบาะแสกับการที่รัชทายาทไปเข้าพบยูไลเฒ่า เรื่องราวก็ดูจะร้ายแรงขึ้น

“ว่ากันว่า ราชสํานักก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหล้า แต่ถ้าพวกเขาต้องไปปะทะกับวัดใหญ่ฟ้าคําราม ใครจะได้ชัยชนะกันแน่” ฉินมู่พึมพําอย่างตกลงใจไม่ได้ จากนั้นเสความคิดไปทางอื่น “พวกเราติดต่อหัวหน้าโถงทั้งหลายได้ไหม”

“ตอนนี้ในเมื่อทุกๆ โถงกําลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ก็ค่อนข้างยากถ้าจะติดต่อพวกเขา หากว่าจะนัดหมายทุกโถงมาพร้อมๆ กัน ก็อาจจะใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน”

ฉินมู่ส่ายหัวและจากไปโดยไม่กล่าวอะไร เขานั่งบนหลังกิเลนมังกรและรีบมุ่งหน้าไปยังป้าโจว

ป้าโจวอยู่ห่างออกไปราว 5,000 ลี้ และการเดินทางก็ยาวไกล แม้ว่ากิเลนมังกรจะวิ่งไปโดยไม่พักเขาก็คงสามารถไปถึงที่นั่นได้ในวันถัดไป แต่การพักผ่อนนั้นจําเป็น ฉินมู่จึงคะเนว่าเขาน่าจะไปถึงป้าโจวในคํ่าคืนของวันถัดไป

“หากว่าเรือสมบัติของข้ายังอยู่ละก็นะ คงจะง่ายกว่านี้เยอะ น่าเสียดายที่มันพังไปแล้ว”

ฉินมู่สั่งกิเลนมังกรให้วิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยสัญญาว่าจะให้อาหารเขาวันละถังทุกๆ วัน กิเลนมังกรฮึกเหิมและเขาวิ่งตะบึงไปยังป้าโจวอย่างเต็มกําลังบนเมฆอัคคีของตน

ราตรีมาถึงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และฉินมู่ก็เงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาว บนท้องฟ้าแถบนี้ กําหนดหมายทิศทางก่อนจะสั่งให้กิเลนมังกรมุ่งหน้าต่อไป เมื่อดวงตะวันโผล่ขึ้นมาในรุ่งเช้า กิเลนมังกรก็ไม่สามารถรักษาความเร็วระดับนี้ได้อีกต่อไป และเริ่มนํ้าลายฟูมปากจากความเหนื่อยล้า เขาวิ่งไม่ไหวและความเร็วเขาก็ถดถอยลงเรื่อยๆ

ฉินมู่ให้เขาหยุดพักและมองไปรอบๆ เพื่อระบุตําแหน่งของพวกตน เมื่อนําแผนที่ภูมิประเทศจักรวรรดิสันตินิรันดร์ออกมาเปรียบเทียบ เขาก็พบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากป้าโจวเพียง 1,000 ลี้เท่านั้น

เขาระบายลมหายใจโล่งอกและให้อาหารแก่กิเลนมังกร เขามุ่งหน้าไปด้วยความเร็วคงที่ ให้กิเลนมังกรได้พักเท้า

เขาเดินไปได้ไม่ไกลนักก็เห็นบ้านหลังหนึ่งในภูเขาอันรกร้าง สถานที่นี้น่าจะเพิ่งก่อสร้างขึ้นมาเพราะทุกอย่างดูใหม่เอี่ยมอ่อง

ฉินมู่เดินเข้าไป หมายจะเคาะประตู แต่ประตูก็พลันเปิดออกมาและมีหญิงสาวโผล่มาประจันหน้ากับเขา ทั้งคู่ตกตะลึง

“มู่เอ๋อ?” หญิงงามหยาดฟ้ามาดินผู้นี้ตกตะลึงอยู่กับที่เมื่อเห็นเขา มองไปรอบๆ นางถามอย่างฉงน “เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร ข้าเปลืองแรงตั้งมากกว่าจะสลัดเฒ่าบอดกับเฒ่าหม่าหลุด แต่เจ้ากลับมาเจอเข้าได้”

ฉินมู่ทั้งดีใจและประหลาดใจ “ท่านยาย ทําไมท่านอยู่ที่นี่ล่ะ”

พลันเขาสะดุ้งขึ้นมา “เจ้าคือท่านยายหรือหลี่เทียนซิ่ง?”

ยายเฒ่าซีเบี่ยงตัวออกเปิดทางให้เขาเข้าไปในบ้าน “มารเฒ่านั่นถูกข้าสยบไว้ชั่วคราว แม้ว่ายูไลเฒ่าจะไม่อาจกําจัดเขาไปได้ แต่ก็สามารถทําลายพลังชีวิตเขาไปได้อย่างมาก ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงสูสีคู่คี่กัน ทําให้พวกเราตกลงกันว่า เขาจะออกมาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ส่วนข้าจะออกมาตอนกลางวัน”

ฉินมู่ถามอย่างสงสัย “หากว่าเจ้าเป็นท่านยายจริง ทําไมถึงต้องหลบหลีกท่านปู่หม่าและท่านปู่บอดด้วยล่ะ ทําไมเจ้าถึงมาซ่อนตัวที่นี่”

ยายเฒ่าซีเหลือกตาใส่ “เด็กดื้อ ตอนนี้สงสัยแม้กระทั่งยายรึ หากว่าข้าเป็นไอ้มารเฒ่า ข้าต้องเปลืองแรงโกหกเจ้าด้วยหรือหากจะลงมือทําร้ายน่ะ”

ฉินมู่ครุ่นคิดและพบว่าสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับท่านยายซีแล้ว กําลังฝีมือของเขาอ่อนปวกเปียก หากว่านางเป็นหลี่เทียนซิ่ง นางก็ไม่จําเป็นต้องเปลืองแรงโกหกเขา ฉินมู่คิดตกแล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน

บ้านหลังนี้เรียบง่ายสุดๆ ในเมื่อมันเพิ่งสร้างใหม่ๆ จึงมีเครื่องเรือนน้อยชิ้นและเมื่อมองไปรอบๆ ฉินมู่ก็พบว่าโต๊ะทั้งหลายเบี้ยว ไม่ก็เป๋ นี่ทําให้เขาวางใจขึ้น

ท่านยายซีไม่มีมืออันเชี่ยวชาญอย่างเฒ่าหม่า นางสามารถตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ฝีมืองานไม้นั้นน่าเวทนามาก ดังนั้นโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้จึงเป็นฝีมือนางแน่นอน

ฉินมู่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวนึงเพื่อพักและรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เพราะว่าเก้าอี้นี้สูงฝั่งหนึ่งอีกฝั่งเตี้ย เขาเลยยิ่งมั่นใจว่านี่ฝีมือท่านยายซีแน่นอน เขาถามอย่างใคร่รู้ “ทําไมท่านยายไม่อยากจะกลับไปแดนโบราณวินาศแล้วล่ะ”

ท่านยายซีส่ายหัวแล้วเดินออกจากบ้าน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไม้สองสามชิ้นก็ลอยเข้ามาในบ้านเมื่อนางกะว่าจะต่อเตียงหลังหนึ่ง

ฉินมู่ไม่คิดเรื่องพักผ่อนมากและรีบเข้าไปช่วย ท่านยายซีเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิ และแม้ว่านางจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านพิการชรา มากว่า 40 ปี แต่ก็มิได้เรียนฝีมือช่างไม้ของเฒ่าหม่าเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกันฉินมู่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อเครื่องเรือนทุกชนิด

ท่านยายซีช่วยอะไรไม่ได้ นางจึงออกไปตักนํ้าจากแม่นํ้าข้างๆ และกลับมาขัดกระจกทองแดง นางกล่าว “ข้ากลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปจะมีประโยชน์อะไร ในแดนโบราณวินาศ มีความมืดขวางกั้นเส้นทาง หากว่ามารเฒ่าโผล่ออกมาก่อความวุ่นวายอีกครั้ง พวกผู้เฒ่ากระดูกผุในหมู่บ้านจะทนทานไหวไปอีกแค่ไหนเชียว ออกมาอยู่ที่นี่คนเดียวและค่อยๆ ขัดเกลานิสัยใจคอของมารเฒ่าไปทีละเล็กละน้อยไม่ดีกว่าหรือ”

ฉินมู่ประกอบเตียงเสร็จอย่างรวดเร็ว และย้ายมันเข้าไปในบ้าน เขาเห็นกระจกตะปุ่มตะปํ่าไปหมดจากฝีมือการขัดเช็ดของท่านยายซีและไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ดี เขาจึงถือกระจกไว้ในมือและเปลี่ยนปราณชีวิตของตนให้เป็นปราณชีวิตพยัคฆ์ขาว หลังจากการคํานวณอยู่นิดหน่อย เส้นด้ายปราณชีวิตของเขาก็ออกมาขัดถูมันและในที่สุดก็ทําให้กระจกทองแดงราบเรียบ จากนั้นเขาจึงไปต่อโต๊ะเครื่องแป้งต่อ

ท่านยายซีเห็นกิเลนมังกรนอนแผ่หราอยู่กับพื้นและหลับสนิท กับดวงตาแดงซ่านของฉินมู่อันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นางกล่าว “เจ้าเร่งรีบมาตลอดคืนอย่างนั้นหรือ ไปนอนก่อนเถอะ”

“ท่านไม่หนีไปแน่นะ”

“ไม่หนี”

ฉินมู่วางใจแล้วไปนอนที่เตียง แม้ว่าจะไม่มีฟูกปูแต่เขาก็คุ้นเคยกับการนอนข้างนอกในป่าดง เขาจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่เมื่อฉินมู่ตื่นขึ้นอย่างงัวเงียและเห็นท่านยายซีนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้ากระจกทองแดงบนโต๊ะเครื่องแป้ง นางถือกรรไกรชี้ไปยังใบหน้าของตนเอง

“ท่านยาย!” ฉินมู่ตะโกนอย่างตกใจ

ท่านยายซีหันกลับมาและวางกรรไกรลงด้วยรอยยิ้ม นางกล่าวอย่างนุ่มนวล “ยูไลกล่าวว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทําลายมารจิตได้ นั่นคือการทําลายต้นตอของความลุ่มหลงกับใบหน้านี้ มู่เอ๋อ ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อนอีกต่อไป โดยเฉพาะเจ้า…”

ฉินมู่เห็นนางเงื้อกรรไกรขึ้นมาอีกครั้ง นํ้าตาเขาร่วงหล่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านยาย นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน…ข้าไม่เคยโทษท่านเลย…”

“ข้าทําไม่ได้!” ตะลึงใจ ท่านยายซีวางกรรไกรลงด้วยรอยยิ้ม “มู่เอ๋อ ช่วยข้าทํามันเถอะ”

ฉินมู่ลุกขึ้นจากเตียงและดึงกรรไกรจากมือนางวางมันกลับไปในตะกร้าน้อยของยายเฒ่าซี

“นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ไม่มีใครกล่าวโทษท่านได้ ท่านซ่อนตัวมาตั้ง 40 ปี ไม่ใช้รูปโฉมของตนเองพบปะกับใคร”

เขานั่งยองๆ ลงกับพื้นแล้วเงยหน้ามองใบหน้าอันงดงามลํ้าเลิศในแดนดิน นี่คือรูปโฉมที่แท้จริงของครอบครัวที่เขาสนิทรักใคร่ที่สุด ผู้ซึ่งถนอมกล่อมเลี้ยงเขามา ฉินมู่เผยยิ้ม “หากเป็นข้า แค่วันสองวันก็คงทนไม่ได้แล้ว ไม่สามารถอดทนได้ถึง 40 ปี นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านที่เติบโตมามีหน้าตาเช่นนี้ สาวงามที่ไหนจะปรารถนาที่ปิดบังรูปโฉมตนเองไปตลอดกาลและใช้ใบหน้าเหี่ยวย่นออกไปพบปะผู้คน”

เขาลุกขึ้นแล้วกล่าว “ท่านยาย ข้าจะกําจัดหลี่เทียนซิ่งให้ท่านแต่ตอนนี้ท่านอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะต้องไปที่ป้าโจว อาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น”

ยายเฒ่าซีพยักหน้าน้อยๆ

ฉินมู่เดินออกไปจากห้อง แล้วหันกลับมาส่งยิ้ม “ท่านยาย ทานอาหารตามเวลาด้วย อย่าทรมานตัวเองนะ”

“เด็กดื้อ เทศนาข้าอีกแล้ว!” นางร้องกลับไปอย่างโมโห ฉินมู่หัวเราะและเตะกิเลนมังกรให้ตื่น “ยังหลับอีก? ลุกขึ้นแล้วรีบไปต่อ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version