ตอนที่ 258 จักรพรรดิ เจ้าสํานักเต๋า ยูไล
“หลายๆ คนไม่ตระหนักว่าการปฏิรูปเป็นไปเพื่ออะไร ทําไมพวกเขาต้องปฏิรูปชีวิตตนเอง พวกเขากล่าวว่า แต่ก่อนมันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทุกคนอาศัยกันอยู่อย่างสุขสบาย สงบและสมานฉันท์ แทนที่เจ้าจะปฏิรูป ทําไมไม่สนองความทะยานอยากแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียล่ะ? ด้วยการล่วงเกินเชื้อพระวงศ์และ สํานักทั้งหลาย เจ้าไม่ได้ทํามันไปเพื่อขยายเขตแดนของสันตินิรันดร์หรอกหรือ? ทุกภัยพิบัติทั้งธรรมชาติและจากนํ้ามือคนตลอดหลายปีมานี้ล้วนแต่เป็นความผิดของเจ้า พวกเราทนทุกข์จากพวกมันมาตลอดก็เพราะการปฏิรูปนั่นแต่นี่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเหตุผลวิบัติ!”
ในมณฑลป้าโจว จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนําขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายเดินผ่านถนนใหญ่ระหว่างที่มองไปยังคนงานทั้งหลายตั้งซุ้มแจกข้าวต้มเพื่อให้อาหารแก่ผู้คนที่มายืนต่อแถวที่ซุ้มคนงาน
พวกนั้นกําลังจะคุกเข่าลงแต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรั้งตัวเขาไว้และกล่าว “อากาศหนาวผืนดินแช่แข็งอย่างนี้ พีธิรีตองก็น้อยหน่อยก็ได้ ว่าแต่เจ้าแจกผู้คนอย่างไรล่ะ”
“ฝ่าบาท ผู้ใหญ่หนึ่งคนจะได้ข้าวต้ม 1 ถ้วย หมั่นโถว 2 ลูก และผักดองอีก 1 ทัพพี”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพยักหน้าและให้เขาทํางานของตนต่อ เขายกทัพพีขึ้นมาหนึ่งอันและแจกอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ ส่วนข้างหลังเขาก็คือเหลาขุนนางบุ๋นและบู๊ เขาจึงกล่าวต่อ “พวกเขาทั้งหมดมีชีวิตที่สุขสบายในอดีต แต่ไม่มีใครเคยมาเป็นคนธรรมดา! เสนาบดีเกษตร บอกพวกเขาสิว่าก่อนการปฏิรูปของ ราชครู ที่ดินอุดมสมบูรณ์ 2 งาน เลี้ยงผู้คนได้เท่าไร”
เสนาบดีเกษตรกล่าวทันที “ก่อนปฏิรูป ที่ดินอุดมสมบูรณ์ 2 งาน สามารถผลิตข้าวหยาบ 330 จิน แต่ทว่าในตอนนั้นที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลใหญ่ วัดพุทธ และวัดเต๋าทั้งหลาย จึงไม่มีที่ดินในครอบครองของชาวนาเลยสักผืน”
“ครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกราวๆ เจ็ดแปดคนและพวกเขาดูแลเรือกสวนราว 40 ไร่ มีทั้งข้าว ผลไม้ พืชผัก และสมุนไพร เช่า 1 ปี ปลูก 2 ฤดูกาล 1 ปีไม่มีข้าวเหลือเก็บ จะกินให้ท้องอิ่มก็แทบจะไม่ได้ 1 เดือนสามารถกินเนื้อได้ครั้งสองครั้ง ถ้าไปเจอภัยพิบัติจากคนหรือธรรมชาติสักทีก็มีแต่จะอดตาย สมัยก่อนนั้นเมื่อถึงปีอันแห้งแล้งและอดอยาก ชายชราก็จะกระโดดลงแม่นํ้าหรือกระโดดลงจากภูเขาด้วยตนเองเพื่อมิให้เป็นตัวถ่วงครอบครัว แต่ในเวลานั้น ตระกูลใหญ่ วัดพุทธ และวัดเต๋าทั้งหลาย กลับมีธัญญาหารมากล้นเก็บไว้ในยุ้งฉาง เงินทองที่สะสมก็เหลือคณานับ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว “ที่ดิน 40 ไร่เลี้ยงดูครอบครัวเจ็ดแปดคน เพาะปลูกข้าวด้วยความเหนื่อยยาก แต่ข้าวเปลือกธัญญาหารเหล่านั้นไปที่ไหน เจ้าบอกพวกเขาสิว่าหลังจากการปฏิรูปแล้ว ที่ดิน 40 ไร่สามารถเลี้ยงดูผู้คนได้เท่าไร”
เสนาบดีเกษตรกล่าวต่อ “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ราชครูจัดการปฏิรูปและเวนคืนที่ดินทั้งหมด ตระกูลใหญ่ วัดพุทธ วัดเต๋าทั้งหลายไม่อาจครอบครองที่ดินได้อีกต่อไป”
“แต่ก่อนชายฉกรรจ์หนึ่งคนสามารถครอบครองที่ดินได้ 40 ไร่ และที่ดินอุดมสมบูรณ์ 20 ไร่ ช่วงปีที่ผ่านมานี้ จํานวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นกฎต่างๆ จึงเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้ชายฉกรรจ์หนึ่งคนสามารถครอบครองที่ดินได้ 20 ไร่ และที่ดินอุดมสมบูรณ์ 5 ไร่”
“ราชครูก็ยังจัดให้ผู้ฝึกวิชายุทธ์และผู้ฝึกทักษะเทวะไปช่วยการเกษตร ผลิตธัญญาหารอย่างสมํ่าเสมอมั่นคง เรียกฝนมายามแล้ง และสูบนํ้าออกในช่วงนํ้าหลาก ดังนั้นตลอด 160 ปีมานี้ จึงไม่มีภัยอดอยากขาดอาหาร ปัจจุบันที่ดิน 40 ไร่สามารถผลิตข้าวได้ 820 จิน และ 400 จินใช้เป็นภาษีที่ดิน แต่ชาวนาก็ สามารถกินเนื้อได้โดยไม่รู้สึกว่าแพง”
“330 จินมาเป็น 820 จิน” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหยิบหมั่นโถว 2 ลูกมาวางในชามของผู้คนที่อดอยากก่อนที่ จะตักผักดองให้เขา 1 ทัพพี พลางถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน
“อะไรคือพุทธเจ้า นี่สิคือพุทธเจ้า พุทธเจ้าตัวเป็นๆ พุทธเจ้าที่มีลมหายใจ พุทธเจ้าของคนธรรมดาสามัญทุกคน! มิใช่ว่าขึ้นตําแหน่งเจ้าสํานักเต๋า ยูไล หรือกล่าวเทศนาให้คําสั่งสอนแก่ผู้คนแล้วก็จะเป็นเจ้าสํานักเต๋าหรือยูไลได้! เสนาบดีเกษตร ข้าขอถามอีกครั้ง ในเมื่อการปฏิรูปของราชครูนั้นดีงามและข้าวปลาอาหารก็เพิ่มพูน ทําไมยังมีความอดอยากเกิดขึ้นทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ”
เสนาบดีเกษตรมีสีหน้ายุ่งยากใจและลังเล “นี่…”
“พูดออกมา!”
“ขอรับ นอกจากการเพิ่มขึ้นของประชากร ก็ยังมีเรื่องอย่างเช่นการเริ่มหันมากินเนื้อและสงคราม การทําปศุสัตว์ต้องใช้ข้าว เช่นเดียวกับการเลี้ยงสัตว์พิสดารในกองทัพ การฝึกทหาร การออกศึกสงคราม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่จําเป็นต้องใช้ธัญญาหาร แต่เหตุผลที่สําคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการหมุนเวียนของที่ดินเพาะปลูก มีที่ดินมากมายหลายผืนที่ตระกูลใหญ่ สํานัก และลัทธิต่างๆ ซื้อกลับไปใหม่ และกลายเป็นเจ้าของที่ดินอีกครั้ง”
“ข้าวและธัญญาหารหมุนเวียนกลับไปอยู่ในมือของพวกเขาอีกครั้ง เหตุผลที่ว่าทําไมสํานักต่างๆ สามารถก่อกบฏได้ล่าสุดที่ผ่านมาก็เพราะว่าพวกเขามีทั้งเงินทองและธัญญาหาร ถึงกําเริบเสิบสานขนาดนั้นแต่กระนั้นความอดอยากก็ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนี้ ทั้งหมดนี่ก็เพราะว่าหลังจากผ่านพ้นศึกสงคราม เงินทองของจักรวรรดิก็หมดสิ้นไป และตระกูลใหญ่ สํานัก และวัดต่างๆ ล้วนแต่ไม่ยอมให้ธัญญาหารในมือพวกเขา ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการก่อกบฏของเหล่าสํานักนั้นใหญ่หลวงนัก…”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันกลับไปมองขุนนางทั้งหลาย “ตระกูลใหญ่ สํานัก วัดพุทธ วัดเต๋าอยู่บนสถานะอันสูงส่งเหนือหัวผู้คนมาตลอด กินอาหารเลิศรสประณีตทุกมื้อทุกคราว สนทนากันเรื่องสายลม ดอกไม้ หิมะ และดวงจันทร์ ถกเถียงกันเรื่องมรรคาเต๋า วิชา และทักษะเทวะ อภิปรายเรื่องความอมตะและอายุวัฒนะ มีชาวนาคอยป้อนอาหารให้กับพวกเขา แต่ในพวกเหล่านี้จะมีใครล่ะที่ยอมยื่นมือออกมาช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ หากชาวนาชาวไร่ไม่ยอมสยบต่อพวกเขา พวกเขาก็ส่งภัยพิบัติและเคราะห์กรรมไปยังพวกชาวนาชาวไร่เหล่านั้นโดยพลัน! ภัยพิบัติหิมะนี่แปลกประหลาดไหม ไม่เลยสักนิด เมื่อสํานักทั้งหลายปกครองประเทศราชของตนภัยพิบัติหิมะแบบนี้เห็นได้บ่อยครั้ง! แต่ทว่ามิใช่เทพเจ้า หรือสรวงสวรรค์ที่ส่งภัยพิบัติลงมา แต่เป็นสํานักเหล่านั้นนั่นแหละที่ส่งภัยพิบัติและเคราะห์กรรมเพื่อทําให้ผู้คนธรรมดาสามัญยอมสยบอยู่ใต้อํานาจ มิกล้าขัดขืนกระด้างกระเดื่อง!”
“การปฏิรูปของราชครูทําให้สํานักต้องทํางานรับใช้ชาวนาชาวไร่ รับใช้พ่อค้า นี่คือสิ่งที่ทําให้พวกเขาไม่ชอบใจ และไม่อยากทํา ในขณะเดียวกัน ราชครูก็ริเริ่มการปฏิรูปมากขึ้นและก่อตั้งโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาใช้พวกมันเพื่อถ่ายทอดกําลังฝีมือของสํานักต่างๆ แก่ผู้คนในโลกหล้า เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นมีความสามารถในการปกป้องตนเอง และสํานักทั้งหลายก็ยิ่งขัดเคืองใจไปใหญ่ พวกเขาจึงก่อกบฏ สังหารผู้คน! พวกเขาไม่คิดสักนิดว่าบรรพบุรุษของตนจาก 8 รุ่นก่อนก็ล้วนแต่เป็นชาวนาชาวไร่ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น!”
“จงมองดูและเงี่ยหูฟังให้ชัดๆ ข้าได้ประหารพวกเขาในคราวนี้ และหากพวกเจ้าประพฤติเหมือนพวกเขาในภายภาคหน้า ข้าก็จะประหารพวกเจ้าเช่นกัน! ขุนนางที่ข้าต้องการไม่ได้มาจากพวกสํานักอันสูงส่งบนยอดฟ้า หรือยอดฝีมือ พุทธเจ้าที่ไหน ขุนนางที่ข้าต้องการคือพวกที่สามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยวิธีการอันเรียบง่ายติดดิน! บัณฑิตจะต้องสามารถทํางานรับใช้ชาวนาชาวไร่ ช่างฝีมือ และพ่อค้าได้! มีขุนนางบัณฑิตบางคนที่พวกเขาคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่นหนึ่งชั้น ให้ตายเถอะ…อาลักษณ์ ให้ข้าได้ ผรุสวาทบ้างเถอะ…ให้ตายสิ พวกเขารู้จักแต่พรํ่าบ่นบูดบึ้งและมองตัวเองสูงส่งเสียเต็มประดา! ข้าเห็นล่ะอยากประหารพวกมันนัก!”
ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายก้มหัวลง ไม่กล้าปริปาก อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ 2 คนหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่มีสีหน้ายุ่งยาก อาลักษณ์ที่อาวุโสกว่าจึงกล่าวด้วยเสียงเบา “ฝ่าบาท โอรสสวรรค์พึงระมัดระวังถ้อยคํา”
“ข้าก็ไม่ได้สบถอะไรบ่อยๆ ไม่ใช่ก็แค่ตอนที่ข้าโกรธจัดจริงๆ ข้าถึงด่าทอผู้คนหรอกหรือ ยกเว้นให้ข้าหน่อยละกันอาลักษณ์”
ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น คนหนึ่งที่กําลังต่อแถวรออาหารซึ่งเป็นหลวงจีนชั้นสูงคนหนึ่งอันกําลังอุ้มบาตรอยู่ ก็แย้มยิ้มแล้วกล่าว “นั่นเป็นสุนทรพจน์ที่ดีฝ่าบาท ทว่าบัดนี้เมื่อภัยพิบัติลงมาถึงที่นี่แล้ว ทางที่เที่ยงแท้ถูกต้องก็คือการหยุดยั้งภัยพิบัติเสียก่อน ช่วยชีวิตผู้คนธรรมดาสามัญให้พ้นทุกข์”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังหลวงจีนชั้นสูงคนนี้และตักข้าวต้มให้เขา 1 หนึ่ง กับหมั่นโถว 2 ลูก และผักดอง 1 ทัพพี ก่อนจะตอบไป “ไม่เพียงแต่คําพูดของข้าจะดี ที่ข้าทําก็ยิ่งดีไปใหญ่ ไต้ซือ เชิญท่านทานช้าๆ ไม่ต้องรีบ และไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องราวของผู้คนในโลกีย์วิสัยเลย”
หลวงจีนชั้นสูงนั้นรับคําจากนั้นอุ้มบาตรทองคําของตนจากไป
“ยูไล!” ผู้คนข้างหลังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตระหนกตกใจเมื่อเห็นหลวงจีนชั้นสูงนั้น
เมื่อเขาจากไป ก็มีนักพรตเฒ่ามาจากข้างหลัง เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย และผมเผ้าก็รุงรังเล็กน้อย ระหว่างที่ถือชามมา เขาก็กล่าว “ฝ่าบาททานข้าวหรือยัง”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีสีหน้าเคร่งเครียดและตักข้าวต้มให้อีกฝ่ายพลางส่ายศีรษะ “ยัง”
“ฝ่าบาทควรทานมากอีกหน่อย ถ้าท้องอิ่มร่างกายก็จะเคลื่อนไหวได้ง่าย”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพยักหน้าและหยิบหมั่นโถว 2 ลูกกับข้าวต้ม 1 ถ้วย เขากล่าวแก่ขุนนางบุ๋นบู๊ “มาๆ พวกเจ้าก็มากินด้วย พวกเรามีเรื่องล่ะ”
ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊มองไปยังหลวงจีนและนักพรตราวกับพบศัตรูอันร้ายกาจ แต่ทั้ง 2 คนนั้นก็เพียงแต่นั่งยองๆ ที่มุมกําแพง พวกเขาดื่มนํ้าต้มและกินหมั่นโถวกับผักดอง ทนทุกข์ลําบาก
ขุนนางทั้งหลายก้าวเข้าไปรับอาหารมาชุดหนึ่งก่อนที่จะนั่งติดกําแพงอีกด้าน จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ทําเช่นกันและกินอย่างเงียบงัน
หลังจากทานอาหารเสร็จเขาก็ไปยังหน้ากําแพงเพื่อล้างชามของตน ขุนนางทั้งหลายก็ต่อแถวข้างหลังเขา ยูไลและเจ้าสํานักเต๋าก็มาล้างชามเช่นกันพลางกล่าว “นานแล้วเหมือนกันที่พวกเขาได้ทานอาหารของโลกปุถุชน รสชาติอาหารเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน”
“ข้าและเสนาทั้งหลายกินอาหารพวกนี้เป็นเดือนๆ แล้ว” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างจริงจัง “พี่ทางเต๋าทั้ง 2 ควรกินมันบ่อยกว่านี้และไม่ปล่อยให้ตนเองลอยสูงไปบนฟ้านัก”
“อยู่บนที่สูงก็เพื่อกีดกันตนออกจากโลกปุถุชน” จ้าวสํานักเต๋าแย้มยิ้ม “ท่านเป็นจักรพรรดิของโลกมนุษย์ ดังนั้นย่อมต้องปกครองมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย ส่วนพวกเราผู้บําเพ็ญเต๋าและพุทธ จะต้องหลีกลี้ไกลจากโลกปุถุชน เพราะหากแปดเปื้อนขึ้นมาก็ยากจะสลัดหลุดพันธนาการ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสํานักเต๋า ท่านสามารถสําเร็จเป็นเทพได้ไหม”
เจ้าสํานักเต๋าส่ายหน้า
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงถามยูไล “ยูไล ท่านสามารถสําเร็จเป็นพุทธเจ้าที่แท้จริงได้หรือไม่”
ยูไลส่ายหน้า “สะพานเทวะขาดสะบั้น ใครล่ะจะสามารถสําเร็จเป็นเทพเจ้าและพุทธเจ้าอันแท้จริงได้”
“เช่นนั้นพวกท่านกําลังผายลมเหลวไหลอะไรล่ะหา หลีกลี้จากโลกปุถุชนและกล่าวว่าตนเองนั้นทรงอํานาจนั่น…อาลักษณ์ ข้าสบถอีกละ ไม่ต้องบันทึกนะ ข้ารู้ พวกเจ้าถอยไปได้ ไม่จําเป็นต้องอยู่นี่แล้ว” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวพลางเดินออกไปจากเมือง พร้อมกับเหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊
เขายั้งเท้าแล้วหันกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าเราจะใช้กฎของสภาราชสํานักมิใช่กฎยุทธจักร แต่ก็ไม่จําเป็นต้องใช้ผู้คนเยอะแยะมากมายขนาดนี้ พวกที่มีวรยุทธ์ขั้นสะพานเทวะอยู่ก่อน ที่เหลือถอยไป”
ขุนนางบุ๋นบู๊ส่วนใหญ่หยุดเท้า มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่ติดตามจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง พวกเขาคือจอมทัพหลวงจีนหยวนคง ซีถูจุ้ย เล่อชิง ซีคงเว่ยพิงป๋อ แม่ทัพแผนสวรรค์ฉินเป๋าเยว่ อ๋องแห่งไท่ ซานหลิงจู้ฮวา แม่ทัพใหญ่แห่งม้าขาวกวนติงหวู และขุนนางชั้นสูงสวีอวิ๋นซื่อ รวมแล้วก็เป็น 8 คน
ยูไลและเจ้าสํานักเต๋าไม่ใส่ใจและเดินต่อไปข้างหน้า จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนําทุกคนไปผ่านเขตชานเมือง และเมื่อพวกเขามาถึงทุ่งนานอกเมือง จักรพรรดิก็หยุดมองท้องทุ่งและถามชาวนาชรา “จะได้เก็บเกี่ยวไหมฤดูนี้”
“ได้เก็บเกี่ยวแน่!” ชาวนาชรากล่าวด้วยเสียงอันดัง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้มและหันหลังกลับไปมองเสนาทั้งหลายข้างหลังเขา “ฤดูนี้จะได้เก็บเกี่ยว!”
เจ้าสํานักเต๋ากล่าว “ฝ่าบาท ปีนี้อาจจะมีผลผลิต แต่ปีหน้านั้นไม่แน่ นักพรตเฒ่าผู้นี้ได้นําม้วนคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวของแดนโบราณวินาศ มันเรียกว่าคัมภีร์บันทึกภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้ง ฝ่าบาทสามารถลองอ่านดูช้าๆ ระหว่างที่พวกเราเดินไป หากว่าฝ่าบาทยังคงยืนยันที่จะปฏิรูปหลังจากอ่านม้วนคัมภีร์นี้ โลกนี้ก็จะเปลี่ยนแปลง”
ยูไลถอนหายใจ “เจ้าสํานักเต๋าช่างเมตตา”
เจ้าสํานักเต๋าส่ายหัว “เขาไม่รู้อันตรายของเรื่องนี้ หากว่าเขารู้ เขาอาจจะเป็นเหมือนพวกเรา”
เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ส่งคัมภีร์บันทึกภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้งให้แก่มือจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
“ฝ่าบาท ระวังเล่ห์กล!” ขุนนางชั้นสูงสวีอวิ๋นซื่อร้องเตือน
จักรวรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก”
เขารับคัมภีร์บันทึกภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้งจากมือเจ้าสํานักเต๋าและอ่านมันโดยละเอียด
พวกเขาเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเรียบเรื่อย จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพลิกดูทีละหน้าๆ และอ่านจนตลอดคัมภีร์บันทึกภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้าสํานักเต๋าและยูไลก็ไม่เร่งรัดเขา เดินไปข้างๆ อย่างแช่มช้า
หลังจากเดินไปได้สักร้อยลี้ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็อ่านคัมภีร์บันทึกภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้งจบ และจัดแจงตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแต่ไม่ปริปากเอ่ยวาจา
เจ้าสํานักเต๋าเฒ่าถาม “ฝ่าบาทห่วงใยกังวลความเป็นอยู่ของสรรพชีวิต ดังนั้นท่านน่าจะรู้ว่าควรจะทําอย่างไรใช่ไหม”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็โพล่งขึ้นมา “เมื่อข้ายังเยาว์ จักรวรรดิสันตินิรันดร์มิได้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ และจักรพรรดิก็มิได้มีศักดิ์ฐานะเป็นที่นับถือสักเท่าไร ในตอนนั้น ทุกค่ายสํานักและตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างก็ขี่หัวผู้คนอยู่ ข้าเคยติดตามคณะทูตออกไปจากประเทศเพื่อเยี่ยมเยือนสถานที่ที่เรียกว่าประเทศหยวนชี่ ซึ่งบัดนี้คือมณฑลหยวน ที่นั่นมีภัยพิบัติสายฟ้า และท้องฟ้าก็มืดมิดไปด้วยเมฆดําอันปิดคลุมทั้งประเทศหยวนชี่ สายฟ้าคํารามและฟาดลงมา อย่างไม่หยุดหย่อน สังหารผลาญทั้งปศุสัตว์และผู้คนไม่ต่างกัน”
“จักรพรรดิแห่งประเทศหยวนชี่นําขุนนางบุ๋นและบู๊ของเขาไปคุกเข่าวิงวอนขอความเมตตาจากภัยพิบัติสายฟ้า สามัญชนทั่วทั้งประเทศก็คุกเข่าวิงวอนเช่นกัน ร้องขอสรวงสวรรค์ให้ประทานอภัยโทษ ในภัยพิบัติพายุสายฟ้านั้น จักรพรรดิถูกฟ้าผ่าจนตาย และเวลาให้หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าถึงเพิ่งรู้ว่าสวรรค์ในปากของผู้คนไม่ใช่เทพสวรรค์ที่ไหนแต่เป็นสํานักซ่อนสายฟ้า”
“ในปีนั้นการเก็บเกี่ยวผลผลิตยํ่าแย่ ดังนั้นบรรณาการที่ส่งไปยังสํานักซ่อนสายฟ้าจึงขาดพร่อง สํานักซ่อนสายฟ้าจึงส่งภัยพิบัติมายังพวกเขา สิ่งที่สร้างภัยพิบัติคือสมบัติวิญญาณสืบทอดสํานัก สายล่อฟ้าเก้าสวรรค์ จักรพรรดิรับเอาบาปผิดทั้งหมดมาไว้ที่ตนเอง นั่นจึงเป็นเหตุที่สํานักซ่อนสายฟ้าได้ใช้อสุนีบาตผ่าเขาจนตายและเปลี่ยนตัวจักรพรรดิ ในตอนนั้น ข้าก็คิดแล้วละว่า…”
เขามองไปยังเจ้าสํานักเต๋าและยูไลจากนั้นกล่าวอย่างแช่มช้าเน้นยํ้าทุกๆ คํา “ข้าจะต้องล้มล้างพวกเจ้า! บัดนี้ข้าทําได้สําเร็จ แต่สิ่งที่ข้าและราชครูกระทํานั้นยังไม่มากพอ ดังนั้นภัยพิบัติหิมะนี้ มันถูกส่งมาจากเทพเจ้าหรือ เช่นนั้นข้าก็จะล้มล้างทวยเทพ!”
เจ้าสํานักเต๋าถามอย่างอดใจไม่ไหว “ฝ่าบาทจะไม่นําสวัสดิภาพของสรรพชีวิตมาใส่ใจจริงๆ น่ะหรือ หรือท่านหมายจะให้สันตินิรันดร์ก์ลายเป็นเหมือนกับแดนโบราณวินาศ? เมื่อท่านกับราชครู ดําเนินการปฏิรูปและล้มล้างสํานักมากมายเพื่อยึดครองดินแดนกว้างใหญ่ปานนี้ นักพรตเฒ่าผู้นี้ออกมาขัดขวางท่านหรือ แต่ทว่า หากท่านยังคงดื้อดึงกับการปฏิรูปต่อไป สวรรค์ก็จะพิโรธ และทุกสรรพชีวิตก็จะตกอยู่ในอันตราย!”
ยูไลเฒ่ากล่าว “ฝ่าบาทโปรดทบทวนอีก 3 ครั้ง”
“พวกเจ้ามีความเชื่อของพวกเจ้า ส่วนข้าก็มีความเชื่อของข้า ”
ยูไลเฒ่าถอนหายใจและกล่าวกับเจ้าสํานักเต๋า “สหายเต๋าเฒ่า พวกเราเปลี่ยนตัวจักรพรรดิดีกว่า”
เจ้าสํานักเต๋าชักกระบี่เต๋าของเขาออกมาและผงกหัว “ข้าก็พูดสิ่งที่ข้าพูดได้ไปหมดแล้ว ข้าจะทําอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฝ่าบาทยังคงดื้อรั้นหัวแข็ง พวกเราคงมีแต่ต้องเปลี่ยนตัวจักรพรรดิ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปรอบๆ และเห็นกลุ่มนักพรตชรา กลุ่มหลวงจีนเฒ่า อาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ เดินออกมาจากทุกทิศทาง ล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง จํานวนของอีกฝ่ายมากกว่ากลุ่มจักรพรรดินัก
สีหน้าของแม่ทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตกตะลึง แต่แล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ยูไล เจ้าสํานักเต๋า ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะเล่นตามกฎยุทธจักรเสียอีก ใครจะนึกว่าพวกเจ้าจะเล่นตามกติกาสภาราชสํานัก”
ยูไลส่ายหน้า “พวกเราไม่มีทางเลือก ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ด้วย เจ้าสํานักเต๋า สหายเต๋าทั้งหลาย มาร่วมกันส่งฝ่าบาทสู่สวรรคาลัย”