Skip to content

Tales of Herding Gods 263

ตอนที่ 263 ข้าจะประหารเจ้า

พวกเขาเก็บกวาดเศษซากทักษะเทวะที่ถูกเจ้าสํานักเต๋าและยูไลทิ้งเอาไว้ อันให้ความคิดแก่ฉินมู่ว่าจะเยียวยาจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงต่ออย่างไร เขาคิดคํานวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เมื่อไม่มีเศษซากทักษะเทวะพวกนั้น วิญญาณ และจิตของเขาก็มั่นคงไม่หวั่นไหวในที่สุด แม้ว่าสมบัติเทวะของจักรพรรดิจะยังคงพังทลาย แต่ด้วยยาวิญญาณที่มากพอ ข้าสามารถใช้วิชาเงามายาและวิชาเม็ดผักกาดสวรรค์เพื่อเข้าไปในสมบัติเทวะของเขา หากว่าข้าหลอมปรุงยาเม็ดและยานํ้าที่นั่น ข้าก็อาจจะสามารถซ่อมแซม อาการบาดเจ็บของสมบัติเทวะของเขาได้ แม้ว่า…”

เขาไม่เคยรักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความมั่นใจในฝีมือการรักษาของตน

หากว่ามันเป็นแค่รอยร้าวในสมบัติเทวะ เขาก็ยังคงรักษามันได้ แต่สมบัติเทวะของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถูกทําลาย นักปรุงยาสอนความรู้วิชาแพทย์ให้เขามากมาย แต่ไม่มีวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้เลย

แต่ทว่ามันมีสมุนไพรบางตัวที่สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บของสมบัติเทวะได้ และคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็มีวิชาที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สมบัติเทวะ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาสามารถใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน มันน่าจะพอมีโอกาส

เมื่อทั้งคู่ออกมาจากสมบัติเทวะของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิ ง ท้องฟ้าก็ใกล้จะสว่าง ท่านยายซีตื่นขึ้นมา และหลี่เทียนซิ่งก็จมลงไปในนิทรา

ฉินมู่ปลดวิชามารฟ้าเสกสรรออกและกล่าว “ฝ่าบาท ข้าจะออกไปหาซื้อสมุนไพรหลายอย่าง ดังนั้นข้าอาจจะหายไปสี่ห้าวัน ระหว่างช่วงเวลานั้น อย่าออกไปจากห้องเด็ดขาด เดี๋ยวจะมีคนนําอาหารมาส่งให้ท่านที่หน้าประตู เมื่อราตรีมาถึง ไม่ว่าท่านจะได้ยินเสียงอะไร ท่านห้ามออกจากห้อง หากว่าใครเรียกท่านให้มองดู ท่านห้ามมองดูเด็ดขาด”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างอ่อนระโหย “ขุนนางฉิน เจ้าพาข้ามาสถานที่แบบไหนกัน ทําไมมันลึกลับขนาดนี้”

ฉินมู่มีสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท นี่คือสถานที่ที่ท่านยายของข้ากับหลี่เทียนซิ่งอาศัยอยู่ ท่านเพียงแต่ต้องรู้ว่าผู้ที่มาหาท่านตอนกลางคืนจะเป็นหลี่เทียนซิ่งอย่างแน่นอน หากว่าท่านมองออกไป ท่านจะต้องตาย แต่ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะล่มสลายตามท่านไปด้วย! หากว่าท่านเดินออกจากประตูนี้ไปก็จะต้องตายเป็นแน่แท้!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดจริงจังในนํ้าเสียงและยิ้มกล่าว “ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจ ข้าไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น”

ฉินมู่ปิดประตูและวาดพู่กันอันจุ่มในนํ้าหมึก ร่างของเขาสั่นสะท้านเมื่อเขาจําแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์ครึ่งคนครึ่งงู จากนั้นโคจรพลังเวทมนตร์ของตน เมื่อเขายกพู่กันขึ้น เขาก็วาดประตูไว้

บนประตู และเขียนคําว่าประตูน้อมสวรรค์เอาไว้ด้วยภาษาแดนใต้พิภพ

ร่างของเขาพลันกลับเป็นปกติ และเขาก็เขียนข้อความบนพื้น พลางกล่าว “นี่คือประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิชาแท้จ้าวครองธาตุดินเทพครองดาวเสาร์ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต หากว่าท่านสามารถอ่านมันออก ท่านเข้าไปในประตูนี้ได้ แต่ถ้าอ่านไม่ออก จงอย่าเข้าไป”

ฉินมู่เก็บพู่กันและหมึกก่อนที่จะบอกท่านยายซี “ท่านยาย อย่าแตะต้องประตูนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อท่านส่งอาหารให้จักรพรรดิ ส่งมันผ่านแท่งไม้ไผ่ ห้ามเดินผ่านประตูนี้เด็ดขาด”

ท่านยายซีกวาดตามองข้อความบนประตูและกะพริบตาปริบ “ประตูนี้คือ?”

ฉินมู่ก็กะพริบตาปริบ แต่ไม่กล่าวอะไร ท่านยายซีเข้าใจ “ข้าจะไม่เข้าไปเด็ดขาด”

ฉินมู่เดินออกไปจากลานบ้านและกระโดดขึ้นหลังกิเลนมังกร หันกลับไปมองห้องที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพักอยู่ พลางครุ่นคิดในใจ ‘ไม่เป็นไรถ้าหลี่เทียนซิ่งจะเข้าใจภาษาแดนใต้พิภพ แต่หากว่าเขา

ไม่รู้จักมันและพยายามบุกเข้าไป ดวงวิญญาณของเขาก็จะถูกดึงไปยังแดนใต้พิภพและตกเป็นของภูติบดี! แล้วท่านยายก็จะเป็นอิสระ’

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรู้สึกดีขึ้นมาก และเขาสามารถเดินไปรอบๆ ได้แม้ว่าจะลําบากเสียหน่อย แต่ทว่าเขาทําตามคําบอกของฉินมู่อย่างเคร่งครัด และไม่ออกไปจากห้อง เมื่อถึงเวลาอาหารยายเฒ่าซีก็จะใช้แท่งไม้ไผ่ส่งตะกร้าเข้ามาในห้อง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็จะนั่งยองๆ และเปิดประตูเล็กน้อยนําตะกร้าเข้ามา เมื่อเขาทานเสร็จ แล้วก็จะวางตะกร้ากลับคืนที่หน้าประตูไม่ย่างกรายออกไปเลยสักนิด

ตั้งแต่เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดขัดข้องขนาดนี้

หลังจากอาหารเย็น เขาก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอันไพเราะราวดนตรีดังมาจากอีกฟากประตู เสียงนั้นราวกับจะทะลวงเข้ามาในส่วนลึกสมองของเขา และมันน่ารื่นหูรื่นใจที่ได้ฟัง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงฟังจนหลงใหลและรู้สึกว่าสาวงามทั้ง 3,000 ในวังของเขาไม่มีใครมีเสียงอันทําให้ชายใจเต้นระรัวแบบนี้ได้

“ในเมื่อจ้าวลัทธิไม่อยู่ เช่นนั้นข้าจะเล่นสนุกกับจักรพรรดิ หากว่าข้าชอบใจ ข้าก็แค่จะถลกหนังเขาเอาไปทําเสื้อผ้า และไปยังเมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดินี”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหวาดกลัวกับข้อความนั้นแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเสียงนี้ฟังแล้วน่ายินดี ป่วนใจเขาไปหมด เขาอยากจะเปิดประตู และมองไปยังรูปโฉมของหญิงผู้นี้สักหนแต่พลันจําได้ถึงที่ฉินมู่บอกและคํานึงในใจ ‘นี่คือจ้าวลัทธิหลี่เทียนซิ่งใช้เสียงมารล่อลวงข้าออกไป! ไอ้มารเฒ่านี่ถึงกับเลียนเสียงหญิงสาว ไร้ยางอายจริงๆ’

เขาปิดหู แต่เสียงอันน่าลุ่มหลงก็ราวกับเข้าไปเกาะติดกับขั้วสมองของเขาแล้ว ทําให้เขาไม่อาจจะลืมเลือน

“ฮึ่ม เด็กร้ายกาจนั่นกล้าทดสอบข้างั้นรึ! ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ…แต่ถึงแม้ว่าข้าจะอ่านถ้อยคําพวกนี้ไม่ออก แต่เราทั้งคู่ก็ฝึกวิชาแม้จ้าวครองธาตุดินเทพครองดาวเสาร์เหมือนกัน ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะด้อยไปกว่าเขา!”

….

หญิงสาวนอกประตูพยายามแก้ปริศนาของแง่อัศจรรย์ของถ้อยคําบนประตู และฝึกวิชาแท้จ้าวครองธาตุดินซํ้าแล้วซํ้าอีก แต่ไม่ประสบผลสําเร็จ โดยไม่ทันรู้ตัว นางได้ใช้เวลาไปมากมาย และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ผล็อยหลับไปแล้วหลังจากกระสับกระส่ายมาตลอดทั้งคืน

เมื่อวันถัดไปมาถึง ก็เหมือนกับวันก่อน มีหญิงสาวโผล่ออกมาในตอนกลางคืน หญิงผู้นั้นกลับมาไขปริศนาความหมายของถ้อยคําบนประตู ส่วนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็แทบจะงอกเงยมารจิตจากการฟังเสียงนางเพียงอย่างเดียว เขาได้ยินแต่เสียงอันหวานฉํ่า น่ารักใคร่ เรียกร้องให้เขาเปิดประตูออกไปมองดู

เมื่อคืนที่สามมาถึง หญิงสาวผู้นั้นก็กระฟัดกระเฟียด “ข้าไม่อาจฝึกปรือมันจนเป็นปฏิภาณความเข้าใจ และข้าก็ไม่อาจไขความหมายของมันได้! ทําไมข้าต้องยอมแพ้ด้วย หากว่าข้าแค่บุกเข้าไปและสังหารจักรพรรดิเพื่อถลกหนังของเขาออกมา ทําไมข้าต้องนั่งแก้ปริศนากิ๊กก๊อก”

จักรพรรดิเอี้ยนตระหนกตกใจ แต่พลันหญิงผู้นั้นก็กล่าว “ไม่ๆ …เมื่อจ้าวลัทธิฉินใช้วิชานี้ ตาที่สามของเขาปรากฏและทั้งห้องก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นและแสงทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวนั่นดูไม่เหมือนโลกมนุษย์…มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับประตูนี้ มันอาจจะนําไปสู่โลกมิติอื่นหากข้าก้าวล่วงเข้าไป เด็กเปรตนี่กลอกกลิ้งนักเขาต้องคิดวางแผนร้ายอะไรอยู่แน่ๆ…”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตกตะลึง หญิงผู้นี้ชาญฉลาด…ไม่ ต้องเรียกว่าจ้าวลัทธิหลี่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์! แต่ว่า จ้าวลัทธิหลี่เป็นชายชราไม่ใช่หรือ ทำไมเขาต้องเลียนเสียงหญิงสาวที่น่ารักใคร่ขนาดนั้นด้วยล่ะ?

เขาข่มใจไม่ไหวอยากจะแอบมองและคิดในใจ แค่ดูแวบเดียว คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

ขณะที่เขาจะแอบมองผ่านช่องในหน้าต่าง เสียงมังกรคํารามก็ดังมาจากข้างนอก ฉินมู่ก้าวอาดๆ เข้ามาและทําให้เขาละความคิดที่จะแอบดู

“จ้าวลัทธิหลีไม่ได้เข้าประตูไปหรอกหรือ หรือว่าเจ้าไม่รู้จักข้อความบนประตู? เจ้ายอมรับหรือยังว่าเจ้าฝึกปรือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอย่างผิดๆ น่ะ”

“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรล่ะ”

“ความหมายของถ้อยคําบนบานประตูคือ ประตูน้อมสวรรค์ ข้าจะสอนเจ้า”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็สอนวลีแดนใต้พิภพนี้แก่หลี่เทียนซิ่ง แล้วกล่าว “จ้าวลัทธิหลี่ บัดนี้เมื่อเจ้าเรียนมัน เจ้าก็สามารถเดินผ่านประตูไปได้แล้ว”

จ้าวลัทธิหลี่หัวเราะคิกคัก “ข้าได้เรียนวลีแดนใต้พิภพนี้และเข้าใจความหมายของถ้อยคําบนประตู แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะปลอดภัยเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป ใช่ไหมล่ะ จ้าวลัทธิฉิน ข้าก็เป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์และเป็นคนกลอกกลิ้งมากเล่ห์ผู้หนึ่ง เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก”

ฉินมู่ส่ายหัวและเดินเข้าไป เขาเดินผ่านประตูและแงะหมึกข้อความบนประตูออกด้วยปราณชีวิตของเขาก่อนที่จะกล่าวกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง “ฝ่าบาท ข้าได้ไปยังหลายต่อหลายเมืองเพื่อซื้อหาสมุนไพร แต่ในเมื่อผู้คนประสบภัยพิบัติต่างๆ นานา จึงมีสมุนไพรในร้านขายยาอยู่ไม่มาก ข้าเพียงแต่ซื้อหามาได้จํานวน เล็กน้อยและไม่รู้ว่ามันจะมีผลดีแค่ไหน”

“ขุนนางฉิน ทําเท่าที่ทําได้” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว “ขุนนางฉินออกไปคราวนี้ ได้ยินข่าวอะไรบ้างไหม”

“ฝ่าบาทตายแล้ว” ฉินมู่มองไปที่เขาและกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ข่าวจากเมืองหลวงกล่าวว่า ฝ่าบาทกรํางานหนักในการบริหารบ้านเมืองและเหนื่อยจนตาย ตอนนี้รัชทายาทกําลังจัดเตรียมงานศพให้ท่านและทั้งจักรวรรดิก็กําลังไว้ทุกข์”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสะท้านใจเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “ข้าตายไปแล้วงั้นหรือ ช่างเป็นลูกที่ดีของข้า บุตรอันประเสริฐ…แล้วแม่ทัพแผนสวรรค์กับคนอื่นๆ ล่ะ? พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

ระหว่างที่จัดเตรียมสมุนไพรในการหลอมปรุงยา ฉินมู่กล่าว “ในการต่อสู้นอกเมืองป้าโจวนั้น ผู้คนในลัทธิมารฟ้ามุ่งแต่จะช่วยชีวิตจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนย้ายระยะไกลหนีเมื่อท่านจากไป แม่ทัพแผนสวรรค์ ขุนนางชั้นสูง ขุนนางซีถู ขุนนางซีคง และคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกจับเอาไว้ เจ้าสํานักเต๋าและยูไลไม่ทําอะไรพวกเขา เพียงแต่ส่งตัวพวกเขาให้กับรัชทายาท พวกเขานั้นเป็นหัวหน้าตระกูลใหญ่มากอิทธิพลในเมืองหลวง ดังนั้นฝ่าบาทไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขา รัชทายาทยังคง ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลใหญ่อยู่”

“อภิชาตบุตรของข้า…” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจ อํานาจที่แม่ทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ ถือครองอยู่นั้นยิ่งใหญ่นัก พวกเขาถือครองอํานาจมากกว่าครึ่งเมืองหลวง ทั้งทางทหารและทุกชนชั้นสังคม หากว่ารัชทายาทหมายจะขึ้นครองบัลลังก์ เขาต้องการการสนับสนุนจากตัวตนเหล่านี้

“จักรวรรดิไม่อาจขาดผู้ปกครอง ดังนั้นการขึ้นครองราชย์ของรัชทายาทจะมีขึ้นในครึ่งแรกของเดือน 3  วันที่ 6 เดือน 3 นั้น เป็นฤกษ์มงคล ดังนั้นรัชทายาทน่าจะขึ้นครองราชย์ในวันนั้น ด้วยการสนับสนุนของสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคําราม การที่เขาจะขึ้นเป็นจักรพรรดินั้นแน่นอนเหมือนสลักลงไปในหิน ใครก็ตามที่กล้าคัดค้านก็จะถูกประหารทั้งโคตร”

“แล้วราชครูอยู่ที่ไหน ข้าคงไม่ตกทุกข์ได้ยากขนาดนี้ถ้าเขาอยู่ด้วย”

“ราชครูสันตินิรันดร์อ์อกไปดื่มนํ้าผึ้งพระจันทร์ และยังคงไม่มีข่าวคราว เมื่อข้าออกไปรอบนี้ ข้าก็ได้พบเจอกับกองสอดแนมจํานวนมากที่กําลังเสาะหาร่องรอยของฝ่าบาท ข้าได้ยินว่ารัชทายาทสั่งให้ค้นหาร่างของท่านแม้ว่าท่านจะตายหรือเป็น”

ฉินมู่ใช้วิชาเงามายาและมุดเข้าไปในสมบัติเทวะของจักรพรรดิ ในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ เขาใช้ฤทธิ์พลังยาในยาวิญญาณ แต่แม้ว่ามันจะย่อยในนี้ สมบัติเทวะทารกวิญญาณก็ยังไม่อาจซ่อมแซมขึ้นมา ผลของยานั้นน้อยนิด

ฉินมู่ขมวดคิ้วและเปลี่ยนยาวิญญาณอื่นๆ อีกสามสี่ชนิด แต่ทุกตัวก็แทบไม่มีผลเหมือนกันหมด

จากนั้นเขาจึงแปรเปลี่ยนเป็นเงาดําและลอยออกมาจากหว่างคิ้วของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เขากลับคืนร่างเดิมเมื่อกลับมาเหยียบลงบนพื้นและเดินไปเดินมา ทันใดนั้น เขาก็ถาม “ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บของท่านยากจะเยียวยา ข้าสามารถรักษาร่างกายและแม้แต่ดวงวิญญาณของท่านแต่ไม่อาจรับมือกับอาการบาดเจ็บในสมบัติเทวะ แต่ทว่าท่านปู่นักปรุงยาของข้าน่าจะเยียวยาท่านได้ ฝ่าบาทยินดีจะติดตามข้าไปยังแดนโบราณวินาศหรือไม่”

ความหวังจุดติดขึ้นมาใหม่ในหัวใจของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง “นักปรุงยาผู้นี้คือ?”

ฉินมู่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “ราชาพิษหน้าหยก”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสีหน้ามืดคลํ้า และเขาร้องอย่างเดือดดาล “ราชาพิษหน้าหยก?”

เขาเป็นจักรพรรดิและพระพันปีหลวงเป็นมารดาของเขา แต่ ทว่าราชาพิษหน้าหยกมีความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับนาง และก่อนที่ตัวตนของนักปรุงยาจะถูกเปิดโปง เขาก็เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ยอดรักหน้าหยก ที่มีคนรักอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้แต่แม่ชีที่มีชื่อเสียงก็ยังคงพัวพันกับเขา

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงย่อมรู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่สะดวกที่จะออกปากอะไรไป เขาได้สั่งให้ผู้คนไปลอบสังหารราชาพิษหน้าหยกครั้งหนึ่ง เพื่อขจัดไอ้หนุ่มหน้าขาวของพระพันปีหลวง ส่วนหนึ่งของเหตุที่ท่านปู่นักปรุงยาต้องหลบหนีมาอยู่ในแดนโบราณวินาศก็เป็นฝีมือของจักรพรรดิ

เขานั้นไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างสุดๆ ที่จะไปพบเจอกับราชาพิษหน้าหยก

“ขุนนางฉิน ข้าไม่ไปแดนโบราณวินาศ บุตรอกตัญญูของข้ากําลังจะขึ้นครองบัลลังก์และทําลายการปฏิรูปที่ข้าลงแรงมากกว่า 200 ปี ข้าไม่อาจปล่อยให้รากฐานนี้ถูกทําลายในวันเดียว”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราจะไปเมืองหลวง!”

ฉินมู่ใจไหววูบเล็กน้อย และเขามองไปที่อีกฝ่าย “ฝ่าบาทแน่ใจหรือว่าจะไปเมืองหลวง”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพยักหน้า “เมืองหลวงนั้นเป็นสถานที่สายแร่มังกรมารวมกันและวิชามังกรเก้าราชันย์ของตระกูลหลิงข้าสามารถฝึกปรือด้วยความเร็วเป็น 2 เท่าที่นั่นข้าอาจจะสามารถหยิบยืมปราณเก้ามังกรเพื่อก่อสร้างสมบัติเทวะของข้าขึ้นมาใหม่ หยาดเหงื่อและโลหิตของข้ากับราชครูจะต้องไม่สูญเสียไปโดยไร้ค่า! ตราบเท่าที่ข้ากลับไปยังเมืองหลวง ข้าสามารถกําจัดลูกอกตัญญูนั่นได้!”

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแย้มยิ้ม “ขออภัย”

เขานํามีดเชือดหมูออกมา และปลดมงกุฎกับชุดจักรพรรดิสีเหลืองของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงออก

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “ขุนนางฉิน เจ้าจะทําอะไร”

ฉินมู่กดหัวเขาลงและใช้มีดเชือดหมูกล้อนเกลา สักพักหนึ่งหัวของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ล้านเลี่ยน ไม่เหลือเส้นผมสักเส้น

จากนั้นฉินมู่ก็นําธูปออกมาสามสี่ดอกแล้วจุดมันก่อนที่จะจิ้มลงไปที่หนังหัวของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เขานั้นเจ็บปวดจากการหนังหัวเกรียมจากการถูกธูปจี้ สร้างรอยแผลเป็นขึ้นมา

ฉินมู่มองเขาขึ้นๆ ลงๆ แล้วยิ้ม “ยอดเยี่ยม ทีนี้ท่านก็แค่ต้องมีจีวรพระกับรองเท้าหญ้าฟาง และลูกประคํา หนวดเคราท่านก็ต้องโกนออก”

หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็กดจักรพรรดิลงแล้วโกนหนวดเคราออกจนเกลี้ยง

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดือดดาล แต่เขาโต้ตอบอะไรไม่ได้ ผ่านไปสักพักเขาก็สะอาดเอี่ยมอ่อง สวมใส่จีวรเหลืองของหลวงจีนชั้นสูง ส่งให้จักรพรรดิผู้ซึ่งแผ่ศักดิ์ฐานะและอํานาจหายไป

ฉินมู่จึงนําพู่กันออกมาปรับแต่งสีของหมึกก่อนที่จะวาดลงไปบนใบหน้าของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง อีกฝ่ายหมายจะต่อสู้ดิ้นรนแต่การเคลื่อนไหวของเขาถูกปิดผนึกเขาได้แต่ยืนนิ่งขึงอยู่ที่นั่นและปล่อยให้ฉินมู่ทําอะไรต่อมิอะไรตามใจ

เมื่อฉินมู่วาดเสร็จแล้ว เขาก็นํากระจกออกมาและยกให้เขาดู พลางแย้มยิ้ม “ฝ่าบาทยังจําตัวเองได้ไหม”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังบุคคลในกระจกและเห็นหลวงจีนวัยกลางคนอันมีรอยแผลเป็นที่พาดจากตาซ้ายของเขาจนถึงสันจมูก ผ่านไปถึงแก้มข้างขวาตลอดจนติ่งหูซ้าย เขาให้ความรู้สึกแก่ผู้คนถึงหลวงจีนดุร้ายใจโหดที่จะกินเจสวดมนตร์บูชาพุทธเจ้าเฉพาะเวลาว่าง และจะฆ่าคนวางเพลิงเมื่อรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว

ฉินมู่นําฝักมีดของเขาออกและแขวนห้อยไว้ที่หลังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงครางหนักและร่วงลงไปบนพื้น เขาขยับไม่ได้และร้องออกมา “กระดูก โอ๊ยกระดูกข้ากําลังหัก! เอามันออกไปเร็วเข้า ข้าหายใจ…ไม่ออก…”

“โอ้ ข้าลืมไปว่าวรยุทธ์ของฝ่าบาทยังใช้งานไม่ได้ และร่างกายท่านก็ไม่แข็งแรงเหมือนที่เคย”

ฉินมู่รีบนํามีดเชือดหมู 2 เล่มออกมา และนําแผ่นไม้จากข้างนอกเขาสลักมีดไม้ 2 เล่มและทาสีมันด้วยสีเงาแบบโลหะ แต่งแต้มดําและขาวให้ตัดกันสมจริง จากนั้นเขาก็สร้างฝักมีด 2 ฝัก และเสียบมีดเชือดหมูไม้ 2 เล่มไว้สะพายหลังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง

ฉินมู่มองเขาขึ้น ๆ ลงๆ แล้วยิ้มกล่าว “ตอนนี้ฝ่าบาทไปกับข้าได้แล้ว”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงชักมีดไม้ 2 เล่มออกมาแล้วกล่าวอย่างโกรธกริ้ว “ขุนนางฉิน กล้าดีอย่างไรถึงเล่นกับข้าเป็นตัวตลก ข้าจะประหารเจ้า! ยื่นคอเจ้าออกมา!”

ฉินมู่ยื่นคอออกไปด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ฝ่าบาท เชิญ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสับไปที่คอของเขาอย่างดุร้าย 2 ครั้ง และเริ่มหอบหายใจจากความเหน็ดเหนื่อย ฉินมู่จึงยื่นมีดเชือดหมู่ของตนให้และกล่าว “ฝ่าบาทใช้มีดจริงก็ได้นะ”

มือของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจับที่ด้ามดาบ แต่เขาไม่อาจยกมันขึ้นมาได้ไม่ว่าจะเค้นแรงเท่าไรก็ตาม เขาโยนมีดลงกับพื้นอย่างเดือดดาลและกล่าวด้วยความฉิว “ตอนนี้ข้าจะจดเอาไว้ก่อน พวกเราออกเดินทาง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version