Skip to content

Tales of Herding Gods 264

ตอนที่ 264 สองวีรบุรุษแห่งสันตินิรันดร์

ฉินมู่บอกลาท่านยายซีและนําจักรพรรดิออกเดินทางระหว่างที่กิเลนมังกรเดินตามไปข้างหลัง ฉินมู่สอนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงในวิชาวิญญาณเสกสรรของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และถ่ายทอดวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะให้แก่เขา

“ฝึก 2 วิชานี้ควบคู่กันระหว่างที่ท่านเดินไป มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายและยังมีผลดีต่ออาการบาดเจ็บ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตอนแรกก็เชื่อครึ่งและลองฝึกปรือวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะและวิชาวิญญาณเสกสรร สีหน้าของเขาดีขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิชาฝึกปรือนี้เยี่ยมยอด ถึงกับสามารถฝึกไปด้วยระหว่างเดิน ข้ารู้สึกเหมือนพละกําลังค่อยๆ หวนคืนมา”

“อย่างนั้นก็ฝึกมันก่อน เมื่อท่านฝึกสําเร็จเล็กน้อยแล้ว บาดแผลในร่างของท่านก็จะหาย และร่างกายของท่านก็จะแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นข้าจะสอนวิชาภูตผีเสกสรรอันสามารถเสริมความแกร่งให้กับดวงวิญญาณ ให้มั่นคงไม่หวั่นไหว พวกเราก็จะได้ใช้ยาเพื่อรักษาวิญญาณและจัดการปัญหาจาก 2 ทิศทางในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงขั้นนั้น อาการบาดเจ็บบนดวงวิญญาณท่านก็จะหายดี”

ฉินมู่พลันจมในความคิด ตอนนี้เมื่อข้าสอนวิชาในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้แก่จักรพรรดิ เช่นนั้นเขาควรเข้าร่วมลัทธิมารฟ้าของพวกเราไหมนะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ตำแหน่งอะไรกับเขาดีล่ะ

เขาเหลือบแลจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงระหว่างที่กําลังวางแผนชั่วร้า ย ข้ายังคงขาดเทวราชไปคนหนึ่ง หากว่าข้าสามารถทำให้จักรพรรดิเข้าร่วมกับพวกเราได้และกลายเป็นสมาชิกลัทธิมารฟ้า เช่นนั้นทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะกลายเป็นของลัทธิมารฟ้า…

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงฝึกอย่างหนักและร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้น เขาสามารถฝึกปรือปราณชีวิตได้จํานวนหนึ่ง แต่ในเมื่อไม่มีสมบัติเทวะพลังวัตรของเขาก็มีขอบเขตจํากัด

ฉินมู่เองก็ฝึกปรือไปด้วยอย่างไม่เร่งร้อน เมื่อเขาโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ก็มีแสง 5 สีส่องลงมาจากท้องฟ้า 5 ธาตุในร่างเขาเชื่อมต่อกับดาวธาตุทั้ง 5 เบื้องบน ดึงดูดพลังดวงดาวมาเพิ่มพูนพลังวัตร

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเห็นแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย เขายังอยู่ขั้นห้าธาตุหรอกหรือ

เขาคิดมาตลอดว่าฉินมู่สําเร็จเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศแล้ว เพราะว่ากําลังฝีมือของฉินมู่เทียบเท่ากับผู้คนในวรยุทธ์ขั้นนั้น พลังวัตรของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ ดังนั้นเขาจึงไม่คาดคิดว่าฉินมู่จะยังคงอยู่ในขั้นห้าธาตุ

คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอุทานในใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าปราณชีวิตอันเข้มข้นของฉินมู่นั้นส่วนใหญ่มาจากวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ วิชาเดียวกันกับที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกําลังฝึกอยู่นั่นเอง

พลังวัตรของเขาอยู่ในจุดสุดยอดของขั้นห้าธาตุ และไม่ไกลจากขั้นหกทิศ เขาเพียงแต่รอให้จ้าวครองดาวธาตุทั้งห้าเสถียรเสียก่อนจึงจะลองทลายขั้นวรยุทธ์

ทั้ง 2 คนเดินไปเป็นเวลา 4 วันและพักนอนกันกลางแจ้ง เมื่อพวกเขามาถึงเมืองถัดไป ฉินมู่ก็พาจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเข้าเมืองซื้อหาสมุนไพรจํานวนหนึ่ง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง

ต้องตกระกําลําบากขนาดนี้ เท้าทั้ง 2 ของเขาเต็มไปด้วยตุ่มพอง และรอยด้าน

ในโรงเตี๊ยม ฉินมู่วางเขาลงไปในอ่างไม้เพื่อแช่นํ้ายาสมุนไพร 1 คืน จักรพรรดิผล็อยหลับในอ่างไม้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเช้าวันถัดไป เขาก็พบว่ารอยพองตุ่มแตกที่เท้าของเขาหายไปจนหมดสิ้นและรู้สึกตัวเบาขึ้นจนเขาต้องเดาะปากด้วยความทึ่ง

ทั้งคู่เดินทางต่อไปถึงเขตแดนมณฑลภาวนา ที่นั่นพวกเขาเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะจํานวนมากไล่กวดชาวบ้าน ใช้แส้ฟาดและตะคอกใส่พวกเขา

“ที่ดินนี้เป็นของสํานักภูเขาภาวนา!”

ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นน่าจะเป็นศิษย์สํานักภูเขาภาวนา และเขาฝึกวิชาสายฟ้า พวกเขาสามารถควบคุมพยุหะให้โจมตีทุกที่ด้วยอสุนีบาต ดังนั้นพวกเขาจึงกวาดต้อนพวกชาวบ้า นให้มารวมกันที่จุดเดียว

“จักรพรรดิมีราชโองการให้รื้อฟื้นระบบของบรรพบุรุษขึ้นมาใหม่ ดังนั้นที่ดินของสํานักก็จะกลับมาเป็นของสํานัก! จากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าไม่ต้องจ่ายภาษีให้จักรวรรดิ แต่จ่ายเครื่องบรรณาการให้กับสํานักภูเขาภาวนาแทน!”

ชาวบ้านคนหนึ่งไม่ยอมรับเรื่องนี้และอ้าปากจะโต้เถียง แต่เขาถูกสายฟ้าฟาดจนตาย

ฉินมู่หยุดยืนดู ขมวดคิ้วเล็กน้อย จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีสีหน้าดําคลํ้า กล่าวอย่างเย็นเยือก “ต้องทวนนํ้า!”

พวกเขาผ่านอีกมณฑลหนึ่งและเห็นพลังอํานาจของสํานักต่างๆ ย้อนคืนกลับมาราวกับว่าถ่านไฟที่ติดเพลิงอีกครั้ง พวกเขาแย่งชิงที่ดินเขตแดนและปล้นชิงคนรํ่ารวย เมื่อพวกเขาแก่งแย่งเขตแดนกันนั้น ก็ยิ่งทําให้ดินแดนอันโกลาหลสับสนวุ่นวายเข้าไปใหญ่

ภัยพิบัติหิมะได้ทําความเสียหายร้ายกาจพอแรงแล้ว ดังนั้นเมื่อรวมกับการหวนกลับมาของเหล่าสํานักออกมาแย่งชิงดินแดน จับคนธรรมดาสามัญไปเป็นทาสไร่นา ก็เหมือนเติมนํ้ามันเข้ากองไฟ

เจ้าหน้าที่ทางการที่ถูกส่งออกทุกท้องที่เพื่อส่งของบรรเทาภัยพิบัติก็หยุดลง ผู้คนที่อดอยากและหนาวตายก็เพิ่มพูนขึ้นถึงขั้นที่นับไม่หวาดไม่ไหว

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเงียบขรึมไม่พูดจาและยิ่งฝึกปรือหนักกว่าเดิม พยายามที่จะซ่อมแซมสมบัติเทวะของตนเพื่อฟื้นวรยุทธ์กลับมา

เมื่อพวกเขามาถึงมณฑลสมานฉันท์ ฉินมู่ก็ไปยังจวนเจ้าเมือง และผู้ว่าการมณฑลสมานฉันท์ก็ออกมาต้อนรับเขา เขาปรายตามองจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง แต่ไม่สามารถจดจําได้ สายตาของเขาจึงกลับมามองฉินมู่อีกครั้งและกล่าว “จ้าวลัทธิ…”

“คุยกันข้างใน” ฉินมู่เดินเข้าไปในจวนและให้กิเลนมังกรหาที่พักผ่อน เมื่อเขาได้ยินเสียงท้องจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงร้องดังด้วยความหิว เขาก็กล่าว “หัวหน้าโถงเสื้อผ้าสะอาด ให้เจ้าหัวล้าน…ให้ศิษย์พี่ผู้นี้ทานข้าวสักถ้วยเถอะ”

ผู้ว่าการมณฑลสมานฉันท์เป็นหัวหน้าโถงเสื้อผ้าสะอาดแห่งลัทธิมารฟ้าอันมีนามว่าต่วนมู่จิง เขาโบกมือเพื่อเรียกให้บ่าวไพร่พาจักรพรรดิไปทานอาหาร เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ทําไมจ้าวลัทธิถึงพาหลวงจีนใหญ่มาด้วยล่ะนี่”

ฉินมู่ไม่อธิบายแต่ถามกลับ “สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร”

“ไม่ค่อยดีเท่าไร” ต่วนมู่จิงกล่าว “นักพรตและหลวงจีนส่วนใหญ่จากสํานักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคํารามได้ไปยังเมืองหลวง เจ้าสํานักเต๋าและยูไลถ่ายทอดบัญชาให้แต่งตั้งรัชทายาทเป็นจักรพรรดิศานติ ผู้ซึ่งจะขึ้นครองราชย์ในวันที่ 6 เดือน 3 ในตอนนี้ก็ยังมีกองสอดแนมของรัชทายาทวิ่งเพ่นพ่าน เข่นฆ่าสังหารทุกๆ คนที่หน้าตาเหมือนจักรพรรดิ”

ฉินมู่พยักหน้าอย่างเงียบงัน นี่ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่เขาคาดการณ์ไว้

ต่วนมู่จิงกล่าวต่อ “และตอนนี้ เมื่อรัชทายาทได้ขึ้นปกครองจักรวรรดิ เขาก็ได้รับอิทธิพลอํานาจมากมาย ตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ใต้ปีกของสํานักเต๋าไม่ก็ลัทธิพุทธ บางตระกูลในเมืองหลวงก็ได้เปลี่ยนฝั่งฝ่าย ขณะที่หลวงจีนและนักพรตที่อยู่ฝั่งใดก็ปฏิเสธที่จะโยกย้าย ตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่กล้าฉีกหน้ากับพวกเขาจึงปล่อยให้พวกเขาอยู่ต่อเมืองหลวง ในตอนนี้เรียกได้ว่าเหมือนฝูงปลาคลาคลํ่าฝูงมังกร ปะปนไปทั้งคนดีคนชั่ว เรียกได้ว่ามิได้อยู่ในการควบคุมของจักรพรรดิแล้ว”

“รัชทายาทเองก็ประกาศให้รื้อฟื้นระบบที่ก่อตั้งโดยบรรพบุรุษ คืนที่ดินที่เคยเป็นของสํานักเมื่อครั้งกระโน้นกลับไปเป็นของพวกเขาอีกครั้ง ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็จะเป็นของสันตินิรันดร์ และยังมี…”

ต่วนมู่จิงลังเล จากนั้นก็กล่าว “คณะทูตมาจากประเทศรังหมาป่าเพื่อเจรจาเรื่องสงครามที่ชายแดนและทําสัญญาสงบศึกกับรัชทายาท รัชทายาทยอมยก 16 มณฑลให้กับประเทศรังหมาป่า คณะทูตอีกคณะมาจากจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ และพวกเขาเจรจาเรื่องที่จะให้สันตินิรันดร์ม์อบดินแดนเป็นค่าปฏิกรณ์สงคราม…”

“บ่อนทําลายทรัพย์สมบัติของตระกูลนี่มันช่างง่ายดายจริงๆ” ฉินมู่แย้มยิ้ม “รัชทายาทนี้โง่และขี้ขลาดเกินกว่าจะเป็นจักรพรรดิ”

ต่วนมู่จิงงงงัน ฉินมู่ไม่มีท่าทีโกรธแค้น เขากลับทําเหมือนกับไม่มีอะไรผิดแปลก อันที่จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าฉินมู่ไม่เคยนับตนเองเป็นพลเมืองของสันตินิรันดร์เลย ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้เขาก็เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งโดยเทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศ ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรให้โกรธแค้น

ขึ้นครองราชย์ในวันที่ 6 เดือน 3 ช่างเป็นวันมงคลที่เหมาะแก่การฆ่าคนจริงๆ ฉินมู่คิดแล้วก็ถาม “เจ้าได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับราชครูบ้างไหม”

“พวกเราหาเขาเจอแล้ว”

ฉินมู่ฟังแล้วก็ใจฟูขึ้นมา และเขานํากระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง “หัวหน้าโถง ลงไปเตรียมสมุนไพรที่เขียนไว้บนกระดาษเหล่านี้ และเก็บรวบรวมมันไว้ที่เมืองมณฑลปูชนียา”

ต่วนมู่จิงรับคําสั่ง

ฉินมู่เรียกจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและกิเลนมังกรมา “พวกเราออกจากเมืองกันเถอะ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างลนลาน “ข้ายังกินไม่อิ่มเลย”

ฉินมู่ยิ้ม “ข้าจะพาท่านไปเจอราชครูและหาอาการกินไปด้วยระหว่างทาง”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงวางหมั่นโถวลงทันที และสีหน้าเขา เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาตามเด็กหนุ่มไปอย่างเงียบเชียบ สักพักหนึ่งเขาก็โพล่งขึ้นมา “ข้าอยากถามเขานักว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งหลายวันนี้!”

ฉินมู่พาเขาขึ้นหลังกิเลนมังกรทันที จากนั้นกระโดดขึ้นไปยืนเหยียบบนหัวกิเลนมังกร

กิเลนมังกรเหยียบย่างไปบนเมฆอัคคีและวิ่งข้ามฟ้า ลมหนาวพัดใส่หน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ทําให้เขาจามไม่หยุดหย่อน เพลิงไฟอันลุกไหม้รอบๆ ร่างฉินมู่ทําให้จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรู้สึกค่อยยังชั่ว

กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไป 2 วัน ก่อนที่ฉินมู่จะให้สัญญาณให้สัตว์พิสดารนี้ลงจอดข้างล่าง พวกเขาอยู่ในภูเขาอันร้อนระอุ มีแสงสีรุ้งสาดส่องอยู่ในหุบเขา แต่ธารนํ้าระเหยเป็นไอไปหมดเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้

“รังสีเทวะ!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีสีหน้าเครียด และสูดจมูกฟุดฟิดในอากาศแล้วกล่าว “กลิ่นเลือด มันมีเลือดเทพเจ้าอยู่ในหุบเขา!”

ฉินมู่พาเขาเข้าไปในหุบเขา และที่นั่นมีทะเลสาบโลหิตอยู่จริงๆ ข้างๆ ทะเลสาบคือบ้านไม้หลังเล็กๆ อันปลูกอยู่ชิดกับแม่นํ้า หลังไม่ใหญ่ไม่โต นํ้าในแม่นํ้าค่อนข้างอุ่นจากความร้อนระอุของโลหิตเทวะ และหญิงสาวผู้สวมชุดขนเพียงพอนขาวก็ยืนอยู่ข้างๆ แม่นํ้า ท้องของนางเป่งพองออกมาเล็กน้อย

ข้างๆ เท้าของนางคือชายวัยกลางคนที่กําลังถือแท่งไม้สําหรับทุบผ้าบนแผ่นหิน ข้างๆ ตัวเขาคือตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่เสื้อผ้าอันซักเสร็จแล้ว

ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ตามเขามา ทว่าแข้งขาของเขาอ่อนแรงยืนไม่มั่นคงและต้องคลานมาบนพื้น

คู่สามีภรรยาได้ยินเสียงจึงหันกลับมามอง ฉินมู่เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า

“เจ้าช่วยพยุงข้าหน่อยไม่ได้รึอย่างไร!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลุกขึ้นยืนได้ก็รีบเร่งเข้ามา

ชายกลางคนผู้นั้นวางแท่งไม้ลงและเช็ดมือเปียกชื้นกับเสื้อของตน เขาลุกขึ้นยืนข้างๆ หญิงผู้นั้นและส่งยิ้มให้กับฉินมู่และจักรพรรดิที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดขาว

“ราชครู!”

ฝีเท้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเร็วขึ้นๆ และขณะที่เขาจะออกปากต่อว่าราชครูนั่นเอง เขาก็สังเกตเห็นรอยเลือดตรงหน้าอกของราชครูสันตินิรันดร์ สีหน้าของราชครูก็ไม่สู้ดีเช่นกัน จักรพรรดิสะท้านใจอย่างแรงและปาดป้ายนํ้าตา “ราชครูของข้า เจ้ากลายเป็นสภาพนี้ได้อย่างไร”

ราชครูสันตินิรันดร์ต้อนรับจักรพรรดิและสังเกตพบว่าเขาสูญเสียวรยุทธ์ไปทั้งหมด ก็เลยเศร้าใจไม่แพ้กัน “มันจะต่างอะไรกับฝ่าบาทล่ะ?”

หญิงผู้นั้นกล่าวทันที “ท่านก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน อย่าปล่อยให้จิตใจของท่านปั่นป่วนสับสน”

ฉินมู่ตกตะลึง 2 สุดยอดฝีมือแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่!

“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คารวะฮูหยินของราชครู” ฉินมู่ทักทายหญิงผู้นั้น

ภรรยาของราชครูเห็นหัวล้านของจักรพรรดิก็ฉงนฉงาย นางกล่าวทันที “อย่าเอาแต่ยืนอย่างนี้ เข้าไปนั่งในบ้านกันเถอะ”

“หลังจากที่ข้าออกจากนครหยกน้อย ข้าก็หมายจะสืบสวนต้นกําเนิดของภัยพิบัติ และได้พบเทพเจ้าที่กําลังถือขวดนํ้าเต้าในมือ” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยนํ้าเสียงราบเรียบในบ้านไม้เล็กๆ “ภัยธรรมชาตินี้ที่แท้ก็ถูกปล่อยออกมาจากข้างในขวดนํ้าเต้าของเขา ข้าต่อสู้กับเขาจนเขาได้รับบาดเจ็บ แต่อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสกว่า ด้วยฮูหยินของข้ากําลังตั้งครรภ์ พวกเราจึงตัดสินใจรั้งอยู่ที่นี่สักพัก”

เขาเล่าอย่างเรียบง่าย แต่ใครก็นึกภาพออกว่าการต่อสู้นั้นต้องดุเดือดเลือดพล่านสักเพียงใด!

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตรวจดูบาดแผลในร่างของเขาและหันไปมองฉินมู่เชิงไต่ถาม

ฉินมู่ตรวจร่างกายชายผู้นั้นและส่ายหน้า “รอยแผลที่ถูกทิ้งไว้โดยนํ้ามือเทพมีเจตจํานงเทวะอยู่ข้างใน ดังนั้นข้าไม่อาจขจัดต้นตอของอาการบาดเจ็บได้ หากว่าท่านหมายจะขจัดถึงต้นตอ ข้าคงต้องกลับไปที่หมู่บ้านและร้องขอให้ท่านปู่นักปรุงยาช่วยเหลือ”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถจัดการต้นตอของปัญหา ดังนั้นข้าจึงไม่ออกไปตามหาเจ้า อาการบาดเจ็บของข้าในตอนนี้สาหัสสากรรจจนเกินไป ดังนั้นข้าจึงมิอาจกลับไปยังเมืองหลวง ที่นั่นข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บ แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทก็…”

ชายกลางคน 2 คนสบตากันแล้วก็ระเบิดหัวเราะพร้อมๆ กันด้วยเสียงอันดัง ราชครูสันตินิรันดร์หัวเราะจนเขาไออย่างรุนแรง

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปข้างนอกแล้วถาม “ทะเลสาบเลือดข้างนอก?”

“เทพนั้นทิ้งเอาไว้ เขาแข็งแกร่งมากและได้รับบาดเจ็บเพียงผิวเผิน”

อาการบาดเจ็บบนหน้าอกราชครูสันตินิรันดร์ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และฉินมู่ก็ทานํ้าลายมังกรให้เขา แต่ขณะที่แผลกําลังสมานนั่นเอง มันก็ฉีกแยกออกอีกจากเศษซากทักษะเทวะที่เทพเจ้านั้นซ่อนไว้ในบาดแผล

อาการบาดเจ็บเช่นนี้มิอาจเยียวยาได้ด้วยหินยาอีกต่อไป แม้แต่ยาวิญญาณที่สามารถชุบชีวิตผู้คน ก็ไม่อาจเอาเศษซากทักษะเทวะของเทพเจ้าออกไปได้

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนําไจกระบี่ที่เฒ่าใบ้มอบให้เขาออกมา เขาขับเคลื่อนมันอย่างแผ่วเบา และแสงกระบี่ก็ปรากฏ ฉินมู่ผลักมันไปข้างหน้าแทงเข้าไปรอบๆ บาดแผลของราชครูสันตินิรันดร์

ภรรยาราชครูอุทานเสียงเบาขณะที่ราชครูและจักรพรรดิไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

ฉินมู่เหยียดนิ้วชี้ออกและปราณชีวิตอันเข้มข้นก็หมุนวนเหมือนเมฆน้อยที่ปลายนิ้วของเขา เมื่อเขาแตะไจกระบี่อย่างแผ่วเบา ก็มีเสียงฟิ้ว และแสงกระบี่ก็ทะยานพุ่งจากไจกระบี่แทงทะลุบ้านไปยังทะเลสาบเลือด

ตูม!

ทะเลสาบโลหิตสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและระเบิดออกด้วยเสียงกัมปนาท แสงกระบี่จากไจกระบี่พลันถูกทําลายจนแหลกจากแรงสั่นสะเทือนนั้นและกลายเป็นเล็กลง

“หมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์นี่อัจฉริยะจริงๆ” ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจด้วยความนับถือ “ถึงกับสามารถใช้พลังงานในโลหิตเทพมาคัดง้างกับเศษซากทักษะเทวะของเทพเจ้าได้”

ฉินมู่ทานํ้าลายมังกรลงไปอีกครั้ง และแผลนี้ก็ไม่ฉีกปริอีกต่อไป “ข้าไม่อาจเหนี่ยวนําทักษะเทวะอื่นๆ ในร่างท่านออกมาได้ ฝ่าบาท ราชครู ตอนนี้มี 2 ทางเลือก ทางที่หนึ่งคือข้าจะพาพวกท่านไปยังแดนโบราณวินาศเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนทางเลือกที่ 2 คือไปยังเมืองหลวง พวกท่านสามารถเลือกว่า อยากจะทําอย่างไร”

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปยังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และดูเหมือนพวกเขาจะรู้ใจกันเมื่อกล่าวเป็นเสียงเดียว “เมืองหลวง!”

ฉินมู่ชักมีดเชือดหมูออกมา และกดหัวราชครูสันตินิรันดร์ลงกับโต๊ะ ภรรยาราชครูร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก “จ้าวลัทธิฉิน ท่านจะทําอะไร”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลูบหัวโล้นของตนไปมาและกล่าว “ฮูหยิน มองข้าสิ เดี๋ยวเจ้าก็รู้”

มือของฉินมู่เที่ยงตรงคล่องแคล่ว เมื่อเขาโกนหัวราชครูสันตินิรันดร์จนล้านเลี่ยนในพริบตา จากนั้นเขาจึงนําธูปออกมาสี่ห้าดอก แล้วจี้รอยธูปบนหน้าผากของเขา จากนั้นก็นําจีวรเหลืองออกมาจากถุงเต๋าตี้ราวกับคุ้นมือมานาน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้เตรียมอีกชุดไว้เผื่อราชครู รอสักครูให้ข้าเขียนปานสีเขียวที่ครึ่งหน้าราชครูก่อน…”

เมื่อเขาจัดแจงราชครูเสร็จ เขาก็หันไปทางภรรยาราชครู ราชครูสันตินิรันดร์รีบกล่าวทันใด “จ้าวลัทธิ ฮูหยินของข้ากําลังท้อง ในอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ หากว่านางไม่มีเส้นผม…”

“ถ้าอย่างนั้นให้นางเป็นนักพรตหญิง” ฉินมู่นําชุดนักพรตออกมาชุดหนึ่งและยื่นให้กับหญิงผู้นั้น จากนั้นเขาก็กะพริบตาปริบ แล้วส่งยิ้มใสซื่อไปให้ทุกคน “จริงสิ พวกท่านทั้ง 3 อยากเข้าลัทธิของข้าไหม ลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าเลี้ยงดูสาวกดี และหากว่าเจ้าไม่มีทักษะอาชีพ พวกเราก็สามารถสอนงานหัตถการต่างๆ เพื่อใช้ในการดํารงชีพได้ ข้ารับปากว่าพวกท่านจะไม่อดตายแน่นอน ถ้าอยู่กับพวกเรา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version