Skip to content

Tales of Herding Gods 265

ตอนที่ 265 เทวราชคนที่สี่

จักรพรรดิและราชครูไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ จ้าวลัทธิมารผู้นี้กล้าดีจริงๆ และไม่เหนียมอายกับการที่เป็นจ้าวลัทธิมารแห่งลัทธิมารฟ้า เขานั้นถึงกับจะดึงเอาจักรพรรดิและราชครูเข้าไปในลัทธิมารฟ้าด้วย!

“หากว่าอาการบาดเจ็บของพวกท่านไม่หายดี ก็จะไม่สามารถชิงบัลลังก์กลับมาได้ ตอนนั้นมาเรียนหัตถการกับลัทธินักบุญสวรรค์ของเรา อย่างน้อยพวกท่านก็หาเลี้ยงครอบครัวไหว” ฉินมู่โน้มน้าว

“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพวกท่านเข้าลัทธิมารฟ้าในตอนนี้ ข้าสามารถให้ตําแหน่งสูงๆ แก่พวกท่านได้เลยนะ อย่างเช่นเทวราชลัทธิ หรือผู้อาวุโส แต่หากว่าพวกท่านเพิ่งจะมาอยากเข้าลัทธิตอนที่พิการช่วยเหลือไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้วละก็ อย่างมากข้าคงให้เป็นได้แค่หัวหน้าธูปหรือรองหัวหน้าธูปเท่านั้น ฮูหยินช่วยข้าเกลี้ยกล่อมพวกเขาหน่อย”

ภรรยาราชครูแย้มยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างราบเรียบ “หากว่าข้าเข้าร่วม ข้าอยากเป็นจ้าวลัทธิ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพยักหน้า “ข้าด้วย”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “หากว่าท่านเป็นจ้าวลัทธิ ข้าจะช่วยท่าน”

ฉินมู่ตาลุกวาว “จักรพรรดิอยากเป็นจ้าวลัทธิอย่างนั้นหรือ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพูดอะไรไม่ออกเขาไม่นึกเลยว่าฉินมู่มีแผนที่จะถอยจากตําแหน่งจ้าวลัทธิมารฟ้าให้เขาจริงๆ หากว่าจักรพรรดิกลายเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า เช่นนั้นทั้งจักรวรรดิก็ไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมารฟ้าของเขาอย่างนั้นหรือ

นี่มันเผือกร้อนที่เขาไม่กล้าหยิบขึ้นมาชัดๆ!

ราชครูสันตินิรันดร์ก็ปวดหัวตึ้บและลอบมองไปยังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ส่งสัญญาณให้เขาไม่รับตําแหน่งจ้าวลัทธิ

ภรรยาราชครูหัวเราะแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน พวกเขาไม่เต็มใจ แต่ข้ายินดีเข้าร่วม ข้าอยากรู้ว่าท่านจะให้ตําแหน่งแบบไหนแก่ข้าหรือ”

ฉินมู่ตาลุกวาวและเขาอุทานในใจถึงความฉลาดเฉลียวของหญิงผู้นี้ นางได้ทําลายความเงียบเพื่อมิให้ราชครูและจักรพรรดิกระอักกระอ่วน

“หากฮูหยินเข้าร่วมลัทธิ ข้าจะให้ตําแหน่งที่งานไม่หนักแต่มีหน้ามีตา” ฉินมู่ยิ้ม “ฮูหยินรู้วิธีเย็บปักถักร้อยหรือไม่ เป็นหัวหน้าธูปในโถงเย็บปักถักร้อยดีไหม”

“ได้เลย” ฮูหยินยังสาวแย้มยิ้มและดึงราชครูไปอีกข้างหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเบา “ฮูจุน ทําไมท่านถึงปฏิเสธจ้าวลัทธิฉินล่ะ การกลับไปเมืองหลวงครั้งนี้มีโอกาสชนะเท่าไร”

ราชครูสันตินิรันดร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ทุกผู้คนในโลกนี้สนับสนุนการปฏิรูป และขุนนางบุ๋นบู๊เจ็ดถึงแปดส่วนในสภาราชสํานักเป็นคนของฝ่าบาทและข้า เมื่อพวกเรากลับไปที่เมืองหลวงพวกเราจะสามารถประหารกบฏและชิงบัลลังก์กลับมาได้อย่างแน่นอน”

ภรรยาราชครูยิ้มละไม “ท่านคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ วัดใหญ่ฟ้าคํารามและสํานักเต๋าจะไม่ขัดขวางท่านหรอกหรือ หากว่าเป็นท่าน ก็คงพอป้องกันตนจากยูไลและเจ้าสํานักเต๋าได้ แต่ฝ่าบาทจะป้องกันตนเองจากพวกเขาได้หรือ”

ฉินมู่พยักหน้าน้อยๆ แล้วยิ้มกล่าว “ในบ้านทุกหลังของอ๋อง เจ้านคร และเสนาบดีทุกคนมีหลวงจีนไม่ก็นักพรตนั่งอยู่ในนั้นท่องสวดธรรมะไม่ก็คัมภีร์เต๋า”

ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งงันและภรรยาของเขาผลักฉินมู่ออกไปห่างๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบต่อ “แดนศักดิ์สิทธิ์อีก 2 แห่งกําลังจับตาดูคนของท่านและพวกที่ใกล้ชิดกับท่านไม่ถูกกักตัวในบ้านก็คงถูกขังในคุก ตอนนี้ท่านทําได้แต่หยิบยืมพลังอํานาจจากจ้าวลัทธิฉินและการที่หยิบยืมอํานาจผู้อื่นก็ควรทําให้เขาวางใจด้วย”

ฉินมู่โผล่หน้าเข้ามาอีกและกําลังอ้าปากจะพูดอะไร ภรรยาราชครูก็รีบไสตัวเขาออกไป

ราชครูขบคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินไปหาฉินมู่ “ลัทธินักบุญสวรรค์ขาดเทวราชหนึ่งคนอย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่ผงกหัว “เทวราชคนที่ 4”

ราชครูสันตินิรันดร์จึงกล่าว “ให้ข้าเป็นเทวราชคนที่ 4 ละกัน แต่ทว่าฝ่าบาทมิอาจมีสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์โดยเด็ดขาด ฝ่าบาท ข้าจะเข้าร่วมลัทธินักบุญสวรรค์”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตะลึง สักพักหนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างแช่มช้า “ขออภัยด้วยที่ต้องทําให้ราชครูลําบาก”

ฉินมู่เผยยิ้มและกล่าวกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง “ฝ่าบาทดูเหมือนจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์เรา พวกเราไม่ใช่ลัทธิคลั่งที่ไหนและปรัชญาของพวกเราคือประโยชน์แก่ชีวิตประจําวันของคนทั่วไป มรรคาที่พวกเราก้าวเดินคือมรรคาแห่งนักบุญ การปฏิรูปที่ฝ่าบาทและราชครูทําอยู่นี้ก็มีอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกัน…”

ภรรยาราชครูกล่าว “จ้าวลัทธิ เราควรออกเดินทางได้แล้ว ไม่จําเป็นต้องถ่ายทอดหลักคําสั่งสอนลัทธิให้กับฝ่าบาท ในเมื่ออย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าร่วมลัทธินักบุญสวรรค์”

ภรรยาราชครูเดินขึ้นไปนั่งบนหลังกิเลนมังกร ส่วนฉินมู่ ราชครูสันตินิรันดร์ และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดินอยู่ข้างล่าง ทั้ง 2 คนนั้นขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะที่ฉินมู่สอนให้เพื่อฟื้นฟูปราณชีวิตจํานวนหนึ่ง

ทั้งสองคนนั้นเหมือนกับพระธุดงค์ ฝีเท้าพวกเขาไม่เร็วและย่างก้าวไปด้วยความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไปถึงมณฑลปูชนียาภายใน 3 วัน

ลัทธิมารฟ้าในมณฑลปูชนียาได้ตระเตรียมสมุนไพรไว้แล้ว และในที่สุดฉินมู่ก็สามารถรักษาเยียวยาบาดแผลที่เกิดในดวงวิญญาณของจักรพรรดิ บาดแผลภายนอกของราชครูก็หายดีแล้ว เหลือแต่เศษซากทักษะเทวะที่เทพเจ้าหลงเหลือเอาไว้ในร่างที่ฉินมู่ ไม่อาจเหนี่ยวนําพวกมันออกมาได้

เศษซากทักษะเทวะของเทพนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่หากว่าราชครูสันตินิรันดร์สามารถเคี่ยวป่นมันให้เป็นผุยผงได้ ฉินมู่ก็จะสามารถเยียวยาที่เหลือได้อย่างง่ายดาย ประเด็นสําคัญนั้นอยู่ที่ว่าราชครูสันตินิรันดร์ไม่อาจขับเคลื่อนพลังวัตร เศษซากเหล่านั้นซ่อนอยู่ในร่างกายและสมบัติเทวะของเขา ดังนั้นเขาจึง ต้องใช้พลังวัตรของตนสะกดข่มเอาไว้ หากว่าเขาไม่ระวัง เขาอาจจะไปกระตุ้นพลานุภาพของทักษะเทวะเหล่านั้น

ทั้งจักรพรรดิและราชครูก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ทั้งคู่ ฉินมู่ถอนหายใจอย่างหดหู่

2 สุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิสันตินิรันดร์กลายเป็นคนป่วยอ่อนแอที่ต้องมีคนคอยดูแลบริบาล

ส่วนตัวเขาเองนั้น ก็ฝึกวรยุทธ์อย่างไม่หยุดยั้ง ตราบที่เขายังเดินไปอยู่เขาก็โคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโดยอัตโนมัติ และแสงดาวห้าสีก็จะสาดส่องลงมายังตัวเขา

ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไป ฉินมู่ก็ฝึกเพลงกระบี่ของตนอย่างขะมักเขม้น ฝึก 2 กระบวนท่าเพลงกระบี่ที่ผู้ใหญ่บ้านสอนให้เขา พยายามทํามันให้สมบูรณ์

เมื่อราชครูสันตินิรันดร์เห็น 2 กระบวนท่าจากภาพกระบี่ เขาก็ร้องเบาๆ อย่างตระหนกใจ และอดไม่ได้ที่จะเหลียวดูอีกสองสามรอบ “จ้าวลัทธิ ผู้เฒ่าที่บ้านของเจ้าคนไหนหรือที่สอนอันนี้”

“ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านข้า คนที่อาวุโสที่สุด”

ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “เจ้าพยายามที่จะผนวกท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน 3 ท่าที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเข้าไปในกระบวนท่ากระบี่ทั้ง 2 อย่างนั้นหรือ พวกมันสมบูรณ์แบบดีแล้ว ดังนั้นการเพิ่มท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของข้าเข้าไปจะทําลายสมดุล พลังอาจจะเพิ่มพูนขึ้นแต่จุดอ่อนมากมายก็จะ ปรากฏขึ้นมา ทําไมเจ้าถึงทําเช่นนี้ล่ะ”

ฉินมู่ร่ายรํากระบี่แห่งจักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิต และพลันมีความรู้สึกเศร้าสร้อย ‘กระบี่แห่งจักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิต ขุนเขาและแม่นํ้าทั่วทิศ จิตเวิ้งว้างขมุกขมัว เหลียวแลซ้ายมองขวา มิอาจหาผู้คนในเสื้อผ้ามาตุภูมิ’ นี่เป็นการหวนคํานึงอันเปลี่ยวอ้างว้างถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผู้สละชีพที่ถูกหลงลืมไปเนิ่นนาน มันมีทั้งความเศร้าและความฮึกหาญ

ราชครูสันตินิรันดร์หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาและกล่าว “ยังมีช่องโหว่จํานวนมากในกระบวนท่าของเจ้า ให้ข้าแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเจ้าหน่อยเป็นไร”

ฉินมู่ตาเป็นประกายและแย้มยิ้ม “โปรดชี้แนะด้วย”

“มิกล้า”

ฉินมู่เองก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมา และทั้ง 2 คนใช้กิ่งไม้ต่างกระบี่ ราชครูสันตินิรันดร์โจมตี ขณะที่ฉินมู่ใช้ภาพกระบี่มาป้องกัน ราชครูสันตินิรันดร์ได้ทะลวงผ่านจุดอ่อนและทําลายกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่นาน จุดอ่อนที่ราชครุสันตินิรันดร์ชี้นั้นแตกต่างจากที่ผู้ใหญ่บ้านชี้ให้เห็น ทั้ง 2 คนคือปรมาจารย์ด้านเพลงกระบี่ แต่มรรคาเต๋าของทั้งคู่แตกต่างกัน เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันเข้มข้น ขณะที่เพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์นั้นสงบราบเรียบ ราวกับว่าเขา กําลังเปิดประตูผลักดันการปฏิรูปไปให้เปิดวิสัยทัศน์ขอบฟ้าใหม่

ปรัชญาของพวกเขาแตกต่างกัน ดังนั้นเพลงกระบี่พวกเขาจึงแตกต่างไปเช่นกัน

ได้รับการชี้แนะจากพวกเขาจึงทําให้ฉินมู่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน

คําชี้แนะของผู้ใหญ่บ้านได้ผลักดันให้ฉินมู่รีดเร้นความรู้ทั้งหมดของเขา จนถึงจุดที่รากฐานของเขาไม่เพียงพอที่จะพัฒนาปรับปรุง 2 กระบวนท่านี้ แต่ทว่าการชี้แนะของราชครูได้เปิดมรรคาใหม่ให้กับเขา ทําให้เขาสามารถพัฒนาเพลงกระบี่ของเขาต่อไปได้

พวกเขาเดินไปฝึกวรยุทธ์ไป และปฏิภาณความเข้าใจของฉินมู่ต่อกระบี่ของตนก็เพิ่มสูงขึ้นๆ เขารู้สึกราวกับว่าเพลงกระบี่ของเขากําลังจะก้าวไปสู่เขตขั้นใหม่ แต่ไม่ว่าเขาจะทําอย่างไร มันก็มีม่านบางๆ ที่กีดกั้นมิให้เขาข้ามไป

“ไม่จําเป็นต้องฝึกแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะฝึกมากเท่าไร มันก็ไม่มีความคืบหน้า” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “หากว่าเจ้าต้องการทะลวงไปยังอีกเขตขั้น เจ้าต้องมีการรู้แจ้งของตนเอง”

ฉินมู่พิศวง แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงที่อยู่ข้างๆ เขาเข้าใจที่ราชครูพูด และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ก้าวไปอีกก้าวเจ้าก็จะเป็นปรมาจารย์น้อย ขุนนางฉินอุตส่าห์มาถึงขั้นนี้ด้วยอายุเยาว์ ตอนที่ข้าก้าวไปถึงขั้นนั้น ข้าอายุ 57 ปีไปแล้ว ข้าฝึกวิชามังกรเก้าราชันย์เพื่อดึงดูดปราณจากเก้ามังกร อันเป็นผลให้มี ปราณอันไร้ขีดจํากัด ถึงตอนนั้นข้าจึงรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของปราณมังกรใต้พื้นผิวโลก และความเคลื่อนไหวโดยรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านอันมิอาจคาดเดาได้ ตอนนั้นข้าถึงทะลวงไปอีกเขตขั้นในรวดเดียว เจ้านี่เร็วกว่าข้าไปถึง 40 กว่าปี”

ฉินมู่ยิ้มถาม “ฝ่าบาท วิชามังกรเก้าราชันย์ของท่าน เชี่ยวชาญในแง่ใด”

“ความเชี่ยวชาญของข้าคือการเปลี่ยนแปลง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากว่าเจ้าอยากเรียน ข้าสอนเจ้าได้ ก่อนหน้าข้า วิชามังกรเก้าราชันย์นั้นเป็นวิชาที่เพียงแต่เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์ แต่เมื่อมันตกมาถึงมือข้า ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ใด วิชากระบี่ใด ทักษะเทวะร่างเนื้อใด ก็สามารถช่วงใช้ออกมาได้ทั้งหมด ทําไมน่ะหรือ ก็เพราะว่ามังกรนั้นคือความหมายของการเปลี่ยนแปลง! พวกมันสามารถขยายใหญ่ สามารถหดเล็ก สามารถหายตัว สามารถปรากฏตัว พวกมันสามารถทะยานขึ้นไป

บนอากาศและดําดิ่งลงไปในทะเลลึก ซ่อนตัวอยู่ในเหวหรือนอนอยู่กลางทุ่ง พวกมันสามารถย้ายเมฆเรียกฝน สามารถแผดเผาท้องฟ้าด้วยเพลิงนรกอันบ้าคลั่ง และพวกมันก็สามารถควบคุมพายุสายฟ้าได้อีกเจ้าอยากเรียนไหมล่ะ”

เขาคิดว่าฉินมู่คงปฏิเสธ เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงจ้าวลัทธิมารฟ้า ตัวตนผู้มีศักดิ์ฐานะ นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาผงะไปเมื่อฉินมู่กล่าวโดยไม่คิด “เรียนสิ!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอึ้งไปครู่หนึ่งและพลันหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ใครกันที่บอกว่าวิชามังกรเก้าราชันย์เป็นวิชาของตระกูลหลิงเราและมิอาจแพร่งพรายไปข้างนอกได้ ข้าจะสอนเจ้า”

ภรรยาราชครูมองไปยังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงด้วยความตื่นตะลึง ส่วนราชครูสันตินิรันดร์นั้นมีสีหน้านิ่งสงบ “ฝ่าบาทเป็นคนเช่นนี้แหละ ทั้งห้าวหาญและตรงไปตรงมา มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าใช้สอยข้า ข้าก็เคยได้เห็นคัมภีร์ต้นฉบับวิชามังกรเก้าราชันย์ไม่ตํ่ากว่า 10 ครั้ง”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสอนวิชามังกรเก้าราชันย์แก่ฉินมู่ วิธีการโคจรปราณเช่นเดียวกับวิธีการขับเคลื่อนปราณเก้ามังกร

วิชานี้แตกต่างจากกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และมันดูยิ่งใหญ่ทรงอํานาจเมื่อขับเคลื่อนออกมา ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าของผู้ใช้แฝงไว้ด้วยมหิทธานุภาพของสรวงสวรรค์และพิภพ

“เก้ามังกรเทพสวรรค์บดบังเป็นเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเก้ามังกรเลือดบริสุทธิ์ที่สามารถซ่อนอยู่ในเมฆเพื่อคอยโจมตีศัตรู ดูนะ!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเร่งเร้าปราณชีวิตของเขา และเมฆขนาดเท่าฝ่ามือก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะเขา 3 นิ้ว ปราณมังกรจํานวนหนึ่งที่เล็กละเอียดราวไส้เดือนก็แสยะเขี้ยวอวดเล็บอย่างดุร้าย

เมื่อปราณชีวิตของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแห้งเหือด เมฆและปราณมังกรก็หายวับ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพึมพําพลางหอบหายใจ “ข้าไม่มีพลังวัตรแล้ว แต่เจ้าน่าจะเห็นที่ข้าต้องการแสดงให้ดูแล้ว”

ฉินมู่พยักหน้าและขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ผสานวิชาเก้ามังกรราชันย์เข้ากับปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดิน มังกรพลันปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนลางกลางอากาศ และเก้ามังกรก็เหยียดกรงเล็บออกมาขยุ้มทําลายหินภูเขาในรัศมี 10 วารอบๆ ตัว พวกเขา

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตกตะลึง ราชครูสันตินิรันดร์ก็ยิ่งกว่าคําว่าแตกตื่น พวกเขาเห็นมังกรเก้าตัววนเวียนอยู่บนท้องฟ้า พวกมันพลันแปรเปลี่ยนเป็นมังกรอัคคี และเมื่อเพลิงไฟหมุนเวียนวนบนท้องฟ้า พายุเพลิงมังกรก็ปรากฏรอบๆ ตัวพวกเขา และยกร่างของพวกเขาลอยขึ้นไป

มังกรไฟแปรเปลี่ยน กลายเป็นควบคุมนํ้า ยกพวกเขาขึ้น พลางใช้มัน สายฟ้าพลันผ่าเปรี้ยงตามมาติดๆ เมื่อมันฟาดลงไปทั่วทุกที่

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูหันมามองตากันและเห็นความตื่นตะลึงในสายตาของอีกฝ่าย

วิชามังกรเก้าราชันย์นี้อันฉินมู่เพิ่งฝึกปรือ แต่ดูเหมือนเขาครํ่าหวอดกับมันมานานถึงสิบยี่สิบปี เขาเพิ่งลองขับเคลื่อนวิชา แต่ก็เหนือลํ้ากว่าองค์ชายจํานวนมากในอุทยานราชวงศ์ของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว

ฉินมู่สลายเก้ามังกรเทพสวรรค์บดบัง และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็สอนเขาทุกๆ อย่างที่เขาเรียนรู้และตรึกตรองเข้าใจได้มาทั้งหมด เขาถอนหายใจในท้ายที่สุด “หากว่าเจ้าแซ่หลิง คงจะดีสุดๆ…”

เหลือเพียงแค่สองสามวันพวกเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง และก็เหลือเวลาอีก 3 วันเช่นกันก่อนจะถึงวันขึ้นครองราชย์ของรัชทายาทในวันที่ 6 เดือน 3 ในตอนนั้นเองก็มีนกยักษ์โบกปีก บินมาและร่อนลงกับพื้นเสียงดังตึบ แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวในชุดเขียวซึ่งโค้งคารวะแก่คณะเดินทาง “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “เจ้าล่วงหน้าไปก่อน”

“รับบัญชา” หญิงสาวผู้นั้นหันกายกลับวิ่งไป 2 ก้าวและสั่นร่างของนางเพื่องอกปีก 2 ข้างที่กลางหลังจากนั้นโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

“ในเมื่อวัดใหญ่ฟ้าคําราวกับสํานักเต๋าสามารถสังหารจักรพรรดิได้ ลัทธิมารฟ้าของข้าก็ต้องทําได้ด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเราจะมีหน้ามาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของฝ่ายมารได้อย่างไร” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงนุ่ม

ราชครูสันตินิรันดร์ข์มวดคิ้ว

“เจ้ามีแผนอะไร”

“เข้าเมืองหลวง สังหารจักรพรรดิ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version