27. วิชาทารกวิญญาณ
ซู้มมม!
ในป่านอกหมู่บ้านพิการชรา ฉินมู่ซัดฝ่ามือออกไป ปราณชีวิตพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาราวกับมังกรอัคคีรัดพันรอบๆ ฝ่ามือ อากาศเบื้องหน้าเขาพลันแห้งผากราวกับว่าจะสันดาปเป็นไฟได้ทุกขณะ!
ท่าเท้าของเขาย่างก้าวเปลี่ยนแปร ฝ่ามือก็รัวซัดอย่างไม่หยุดยั้ง อากาศยิ่งมายิ่งร้อนระอุคล้ายกับว่ามีดวงอาทิตย์สิบดวงแย่งกันแผดแสงใส่ทะเลทรายแห้งผาก!
ฝ่ามือนี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเท่าหม่า กระบวนท่าที่สี่ กั๋วฟู่ล่าตะวัน
ทันใดนั้น ท่าเท้าของฉินมู่ก็แปรเปลี่ยนซับซ้อน ท่วงทีร่างกายเขาก็เปลี่ยนแปรตามไปด้วย ทั้งการเคลื่อนไหวและท่าร่างไม่ต่างอะไรกับแม่น้ำเชี่ยวกรากทะลวงทะเล ปราณของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นธาตุน้ำ มังกรอัคคีที่พัวพันแขนก็กลายร่างเป็นมังกรวารีอันสร้างรูปจากกระแสน้ำ เสียงสะท้อนก้องจากกระบวนท่าก็กึกก้องออกเป็นเสียงมหาอุทกที่โถมท่วมรอบๆ ตัวเขา
กระบวนท่าของเขาพลิกผันอีกครา คราวนี้สองมือเขากุมจับอากาศธาตุคล้ายท่าถือคันทวนควงพลิกประดุจมังกรทะลวงคลื่นทลายทะเล
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉินมู่อยู่ในหมู่บ้านตลอดเพื่อฝึกการใช้ปราณคุมกระบี่บินทั้งเพิ่มพูนเสริมสร้างพลังปราณ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงต้องเพ่งสังเกตไฟก่อนจึงจะเรียกใช้ธาตุไฟมาสถิตในพลังปราณชีวิตได้ จากนั้นจึงใช้ปราณไฟนั้นคุมกระบี่บินอีกที
แต่เมื่อเขาฝึกไปถึงจุดหนึ่ง เวลาที่เขาใช้ในการเพ่งสังเกตไฟก่อนจะเรียกธาตุไฟเข้ามาในปราณก็หดสั้นลงสั้นลงทุกที และถึงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเพ่งไฟในเตาแล้ว เพียงแค่เขาจินตภาพไฟเตาหลอมขึ้นมาในหัว ปราณชีวิตของเขาก็ลุกเป็นไฟทันที
แต่ฉินมู่ก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในการใช้วิชามีดเชือดหมูในการฝึกปราณคุมกระบี่บิน ด้วยเพราะว่าวิชามีดเชือดหมูโดยเนื้อแท้ดั้งเดิมแล้วเป็นวิชาสายบู๊
อีกทางหนึ่งการฝึกปรือฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่า และวิชาหอกของเฒ่าบอดกลับได้ผลรุดหน้ารวดเร็ว
และวันนี้เมื่อเขาร่ายรำฟ้าคำรามแปดจู่โจมกระบวนท่าที่สี่ กั๋วฟู่ล่าตะวัน ท่าร่างของเขาก็เหมือนกับยักษ์กั๋วฟู่โจนทะยาน อากาศรอบข้างระเบิดจากความรุนแรงของฝ่ามือ นี่คือพลานุภาพปราณชีวิตของเขา!
แน่ล่ะว่าปราณหงส์แดงไม่อาจสำแดงฤทธานุภาพของฟ้าคำรามแปดจู่โจมได้อย่างเต็มพิกัด ถึงอย่างไรปราณมังกรเขียวก็เหมาะใช้กับฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่าที่สุดแล้ว
ในทางกลับกัน คุณสมบัติธาตุน้ำของปราณชีวิตเต่าดำสามารถปลดปล่อยฤทธานุภาพของวิชาหอกเฒ่าบอดได้อย่างไร้ที่ติ
ฝึกอยู่นาน ฉินมู่ก็หยุดพักแล้วกลืนกินยาเซียนฟื้นชีวาไปสองเม็ดเพื่อฟื้นฟูปราณชีวิตอันเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็วของเขา จากนั้นจึงนั่งใคร่ครวญว่าการใช้ปราณชีวิตประกอบวิทยายุทธของตนยังบกพร่องที่ใดบ้าง
แต่เดิมแล้วยาเซียนฟื้นชีวาเม็ดเดียวทำให้เขาต้องวิ่งพล่านเพื่อปลดปล่อยพลังงานส่วนเกิน แต่หลังจากที่ทารกวิญญาณของเขาปลุกพลังครั้งที่สอง กินยาเซียนฟื้นชีวาทีละสองเม็ดกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพียงแค่จะรู้สึกจุกแน่นหน่อยๆ
ลิงยักษ์อสูรจะสามารถกลืนกินยาวิเศษแบบยาเซียนฟื้นชีวาได้ไหมนะ แต่คงไม่ได้มั้ง เพราะจากที่ท่านปู่นักปรุงยาบอกว่ายาชนิดนี้มีพลังงานสี่ธาตุผสมผสานกันอยู่และจะกลายเป็นยาพิษสำหรับผู้ที่ไม่มีกายาจ้าวแดนดิน หรือบางทีข้าคงกลั่นปรุงยาเซียนฟื้นชีวาตำรับเฉพาะสำหรับลิงยักษ์อสูรได้ในอนาคต
ความคิดของฉินมู่เร่นึกไปถึงเจ้าตัวยักษ์ที่คอยประลองฝีมือกับเขา เขามิได้ไปเยี่ยมเยียนมันมาหลายวันแล้ว และไม่รู้ว่าสัตว์พิสดารตนนี้จะฝึกกายาจ้าวแดนดินสามอมตะได้ถึงขั้นใด
เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งเร็วรี่ไปยังเขตแดนของลิงยักษ์อสูรทันที เพราะถึงอย่างไรฉินมู่ก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเดียวดายไร้เพื่อนอยู่แต่กับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน เขากับลิงยักษ์อสูรนั้นเรียกว่าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักหน้า ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็ยังนึกถึงมันอยู่เรื่อยๆ
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็มาถึงนอกหุบเขาที่ลิงยักษ์อสูรอาศัยอยู่ ทันใดนั้น ร่างใหญ่ยักษ์เหมือนกับภูเขาลูกหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นจากป่า ก็ไม่ใช่ใครอื่น…ลิงยักษ์อสูรนั่นเอง
ไม่ได้พบพานกันมาสามสี่วัน ร่างกายของลิงยักษ์อสูรดูใหญ่โตมโหฬารขึ้น มันดูคึกคักเป็นพิเศษเมื่อเห็นหน้าฉินมู่ และเริ่มทุบอกตนเองปึกๆ แล้วให้สัญญาณบอกฉินมู่ให้กระโดดขึ้นมาบนไหล่ของมัน
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเจ้าตัวยักษ์ ซึ่งวิ่งตะบึงข้ามป่าราวกับเท้าติดปีกล่วงลึกเข้าไปในหุบเขา
เป็นครั้งแรกที่ฉินมู่ได้ย่างกรายเข้าไปในรังพักของลิงยักษ์อสูร เขาเห็นกวางป่าม้าเถื่อนอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งยังมีกวางชะมด เก้งหน้าเซ่อ และซากโบราณสถานรกร้างอันเต็มไปด้วยเสาหักกำแพงพังแทบไม่เหลือชิ้นดี
สถานที่พักอาศัยของลิงยักษ์อสูรเป็นราชวังเก่าๆ ที่ถล่มพังไปครึ่งนึง หน้าวังนั้นมีรูปสลักหินแตกบิ่นสลักเป็นรูปกึ่งคนกึ่งสัตว์ร้าย ฉินมู่ทดลองปลุกเนตรสวรรค์มองและรู้สึกสะท้านใจ
รูปสลักหินที่นี่เหมือนกับรูปสลักหินในหมู่บ้าน เมื่อมองผ่านเนตรสวรรค์ สง่าราศีของรูปสลักก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์อสูรเทพเจ้าผู้มีไฟพิโรธแผดผลาญท้องฟ้า!
ลิงยักษ์อสูรคงพึ่งรูปสลักนี่ปกปักษ์รักษาชีวิตตนจากความมืดรุกรานยามราตรี
“รังสีสูงส่งสง่าเช่นนี้ หรือว่ารูปสลักนี่ก็ถูกเทพสลักเสลาเพื่อยอยศเทพเช่นกันนะ”
ฉินมู่กระโดดลงจากหัวไหล่ลิงยักษ์อสูร เก้งน้อยหน้าเซ่อที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ก็รี่เข้ามาดมชายเสื้อเขาฟุดฟิดและงับเคี้ยวเข้าไปในปาก
ลิงยักษ์อสูรคีบเก้งน้อยอย่างเบามือ ยกมันไปวางข้างๆ จากนั้นโบกมือเรียกให้ฉินมู่ตามมันไป
มันเป็นทั้งเจ้าผู้ปกครองและผู้พิทักษ์แห่งหุบเขา ปกป้องทะนุถนอมสัตว์เหล่านี้ และจะแยกเขี้ยวใส่ผู้รุกรานล่วงล้ำเท่านั้น
ฉินมู่ตามมันเข้าไปในราชวังผุพังและขมวดคิ้วยู่หน้า กลิ่นสาบสางของสัตว์ป่าเกลื่อนกรุ่นไปหมด ด้วยเพราะสัตว์เหล่านั้นต้องเข้ามาหลบภัยในวังร้างทุกๆ คืน
“เด็กกระจ้อยร้อย…ดู!” ลิงยักษ์อสูรชี้ไปที่กำแพง
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่หลุดล่อนอันวาดไว้บนผนังราชวัง ภาพจิตรกรรมนั้นทั้งเป็นด่างเป็นดวงและลอกหายหลายๆ จุด บางทีสีก็ซีดจาง มีเพียงไม่กี่ส่วนที่ยังรักษาสภาพสมบูรณ์เอาไว้ได้
สิ่งที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้แสดงภาพคนที่กำลังนั่งฝึกปรือพลังปราณอยู่ ลูกศรวาดในร่างแสดงถึงทิศทางการโคจรปราณ
กวาดตาดูสองสามที ฉินมู่ก็ใจเต้นตึกตัก เขาเห็นว่าทิศทางที่ลูกศรแสดงนั้นเป็นทิศทางการโคจรปราณของ ‘วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ’!
คงเพราะว่าลิงยักษ์อสูรทดลองฝึกปรือกายาจ้าวแดนดินสามอมตะแล้วพบว่าทิศทางโคจรปราณคล้ายคลึงกับภาพวาดบนกำแพง จึงชักนำเขามาที่นี่!
แต่ฉินมู่ก็พบความแตกต่างในเวลาไม่นาน ภาพแรกบนจิตรกรรมฝาผนังไม่ผิดเพี้ยนจากวิธีโคจรปราณของกายาจ้าวแดนดินสามอมตะก็จริง แต่ภาพที่สองเส้นทางการโคจรปราณแตกต่างออกไปประมาณหนึ่ง แม้ว่าโดยภาพรวมจะเป็นแนวทางเดียวกับกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ แต่มันมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมา
เส้นทางโคจรปราณในภาพที่สอง ชี้นำแนวทางปราณเข้าไปในสมบัติเทวะทารกวิญญาณที่อยู่ใจกลางระหว่างคิ้ว!
หลังจากปราณชีวิตโคจรเข้าไปในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ภาพที่สามก็ปรากฎขึ้นมา ในภาพที่สามนั้นเส้นทางปราณชี้นำอันโคจรภายในสมบัติเทวะ มิใช่การให้ทารกวิญญาณสูดปราณเข้าปล่อยปราณออกโดยตรง แต่ให้ปราณชีวิตสร้างลวดลายพยุหะค่ายกลอันลึกลับภายใต้เท้าของทารกวิญญาณ
ลวดลายพยุหะนี้ซับซ้อนมหัศจรรย์ ซับซ้อนเสียยิ่งกว่ารอยสวรรค์พยุหะเจ็ดดาวที่เฒ่าบอดถ่ายทอดให้เสียอีก ฉินมู่เพ่งมองภาพดังกล่าวและจดจำจนขึ้นใจ จากนั้นเลียนแบบวิธีการใช้ปราณชีวิตสร้างลวดลายพยุหะภายใต้เท้าทารกวิญญาณตนเหมือนกับในภาพนั้น
เมื่อเขาสร้างลวดลายพยุหะทารกวิญญาณสำเร็จ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มขึ้นมา และสัมผัสรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงประหลาดพิสดารระหว่างตัวเขาและทารกวิญญาณของเขา!
เมื่อเขาสูดลมหายใจ ทารกวิญญาณก็หายใจเข้าไปเช่นกัน เมื่อเขายกมือขยับขา ทารกวิญญาณก็ยกมือขยับขาเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งเมื่อเขาโคจรปราณกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณก็โคจรปราณกายาจ้าวแดนดินสามอมตะตามไปด้วย!
ฉินมู่ตะลึงงันไปครู่ ก่อนโลดเต้นด้วยความดีใจ อย่างงี้ก็แปลว่าข้าสองคนฝึกปรือวิทยายุทธพร้อมๆ กันน่ะสิ
แต่เขาก็พบอีกว่า เมื่อทารกวิญญาณโคจรกายาจ้าวแดนดินสามอมตะ พลังวัตรปราณชีวิตไม่ได้เพิ่มพูนเร็วขึ้น แต่กลับขัดเกลาฟอนเฟ้นเพิ่มคุณภาพของปราณชีวิตแทน
ระหว่างที่ปราณชีวิตของเขาวิ่งตามลวดลายวงจรพยุหะใต้เท้าทารกวิญญาณ มันก็ดูดซึมเอารัศมีแสงในทะเลทองคำไปด้วยก่อนที่จะไหลเข้าไปในร่างทารกวิญญาณ และเมื่อปราณเหล่านั้นถูกปลดปล่อยออกมาอีกครา ปราณชีวิตก็กลายเป็นพิสุทธิ์สะอาดและทนทายาดเหนียวแน่นจากการผสมผสานกับแสงทอง
แต่ก่อนนั้น ทารกวิญญาณของเขาดูดซึมแสงทองเข้าไปร่างได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่รวดเร็วเป็นระบบเหมือนกับวิธีดูดซึมผ่านลวดลายพยุหะที่ชี้แนะไว้ในภาพที่สาม
หรือว่านี่จะเป็น…วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะสำหรับฝึกปรือในขั้นทารกวิญญาณ
ฉินมู่ใจเต้นตึกตักแรงขึ้น ผู้ใหญ่บ้านเคยบอกว่าไม่รู้วิธีการฝึกระดับขั้นต่อไปของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ อันฉินมู่ไม่คาดคิดว่าจะได้มาพบวิธีฝึกวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะในขั้นทารกวิญญาณเข้าที่นี่!
เขาเลื่อนสายตาไปมองภาพที่สี่ และขมวดคิ้วเล็กน้อย ภาพที่สี่นั้นหลุดล่อนออกไปเยอะ เหลือเพียงครึ่งภาพ ภาพจิตรกรรมนั้นน่าจะเป็นคัมภีร์วิธีฝึกในขั้นห้าธาตุ
ตรงภาพส่วนที่หลุดล่อนหายมีร่องรอยขีดข่วนของสัตว์ต่างๆ ดูเหมือนว่ามันน่าจะถูกทำลายโดยสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ที่นี่
ภาพที่ห้าก็พังเละ ส่วนภาพที่หกหายไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือยิ่งดูไม่ได้มองไม่ออกว่ามีเค้าโครงยังไง
ขนาดราชวังยังพังทลายไป ใครจะรู้ว่าภาพพวกนี้จะคงทนได้อีกนานแค่ไหน
ฉินมู่ถอนหายใจ ไม่ง่ายเลยที่ภาพฝาผนังส่วนที่ยังดีจะยังเหลือรอดมาได้จนถึงบัดนี้ เขาจดจำภาพที่สองและสาม ทบทวนมันเงียบๆ ในใจ ก่อนจะค่อยรู้สึกโล่งอก
แม้ว่าภาพจิตรกรรมในราชวังจะถูกทำลายจนสิ้นซาก แต่เขาก็ยังสามารถส่งต่อภูมิปัญญานี้ไปยังผู้ครอบครอง ‘กายาจ้าวแดนดิน’ คนต่อไป!
นอกจากภาพแสดง ‘วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ’ ก็ไม่ค่อยมีภาพอื่นหลงเหลือ เว้นก็แต่ผนังด้านหนึ่งที่รูปภาพบนผนังยังอยู่ดี
มันเป็นภาพวาดแผนที่ เมื่อเขม้นมองใกล้ๆ ฉินมู่ก็พบตำแหน่งของแม่น้ำหย่ง เขาคิดด้วยใจระทึก หรือว่านี่คือแผนที่แดนโบราณวินาศ
ไล่มองตามเส้นสายแสดงแม่น้ำหย่ง เขาก็พบตำแหน่งหมู่บ้านพิการชราโดยดูจากคุ้งน้ำและโค้งฝั่ง
เอ๋? ทำไมตรงนี้วาดภาพมังกรเอาไว้ล่ะ
ตำแหน่งหมู่บ้านพิการชราในแผนที่ วาดภาพมังกรไว้หนึ่งตัวซึ่งดูน่าพิศวง
ราชามังกรแม่น้ำหย่ง!
ฉินมู่ใจเต้นตึกๆ เขาไม่เก็ตว่าสี่คำนี้ ‘ราชามังกรแม่น้ำหย่ง’ หมายความว่าอย่างไร
ที่แปลกแบบนี้ไม่ได้มีอยู่แห่งเดียวในแผนที่ มันยังมีรูปบ่อน้ำประหลาดที่วาดไว้ห่างจากหมู่บ้านพิการชราไปประมาณสามสิบลี้ และมีสี่อักษรกำกับบ่อน้ำนั้นไว้ ‘ราชามังกรบ่อสวรรค์’
และมีบ่อน้ำอีกบ่อบนแผนที่เขียนไว้ว่า ‘ราชามังกรเนตรสมุทร’
เขายังเห็นจุดไกลๆ ของแผนที่แดนโบราณวินาศวาดไว้ซึ่งรูปเรือสำเภายักษ์ บนเรือสำเภาแบกดวงอาทิตย์เอาไว้ พร้อมกับมีสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ่อตะวัน’ คู่กันนั้นมีเรือแบกพระจันทร์วาดไว้อีกทิศทางจากเรือพระอาทิตย์ และก็มีสถานที่ประหลาดที่เรียกว่า ‘บ่อจันทรา’
ฉินมู่ไล่สายตาดูรอบๆ แผนที่แต่มิอาจพบกับวัดโบราณใจกลางแม่น้ำที่ผนึกกักขังแม่นางอู๋ไว้ ทั้งยังไม่พบเมืองเขตมังกรซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปร้อยลี้ทางปลายน้ำ
แผนที่นี้…หรือว่าจะเป็นแผนที่ก่อนจะมหาภัยพิบัติในแดนโบราณวินาศ
มองดูสักพัก เขาก็ใจเต้นตึกๆ เมื่อพบกับตำแหน่งซากโบราณที่เขาเคยเข้าไปหลบจากความมืดเมื่อคราวก่อน ทว่าบนแผนที่มันไม่ได้เรียกว่าซากโบราณ แต่เรียกว่า ‘ด่านเทพธิดา’!
นี่มันแผนที่ก่อนมหาภัยพิบัติจริงๆ ด้วย!