28. เงาบนผนัง
ฉินมู่ระงับความตื่นเต้น แผนที่ก่อนมหาภัยพิบัตินั้นดูท่าจะมีประโยชน์ยิ่ง ในเมื่อมันเขียนบอกตำแหน่งโบราณสถานไว้หลายแห่ง หากว่าเขาออกป่าล่าสัตว์และไม่สามารถกลับถึงหมู่บ้านพิการชราได้ก่อนค่ำ เขาก็จะสามารถเสาะหาโบราณที่ระบุไว้บนแผนที่เพื่ออาศัยหลบการรุกรานของความมืด
มีแผนที่นี้ ข้าคงหลบภัยอันตรายได้เยอะ
เขาจดจำแผนที่จนขึ้นใจ และหาพบหุบเขาที่ซึ่งเขากำลังยืนอยู่ หุบเขานี้ในแผนที่เรียกว่า ‘วังเสินหยาง’
วังเสินหยาง? หยางตัวนี้แปลว่าเภทภัย หรือก็แปลว่ามหาภัยพิบัติสินะ
ฉินมู่เรียนพู่กันคัดอักษรวาดภาพจากเฒ่าใบ้ แม้จะไม่ถึงขนาดว่าอ้าปากก็ร่ายบทกวีได้ แต่ก็นับว่ามีความรู้ด้านอักษรเต็มพุง “หากวังเสินหยาง แปลว่าวังที่สะกดผนึกไว้ซึ่งเภทภัย แล้วภัยพิบัติร้ายชนิดใดล่ะที่สถานที่นี้สะกดไว้”เขาพึมพำกับตนเอง
เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าลิงยักษ์อสูรไม่ได้อยู่ในราชวังแห่งนี้แล้ว มันจากไปอย่างเงียบเชียบ ดูท่ามันคงไม่อยากรบกวนสมาธิของเขาจึงปล่อยฉินมู่ไว้คนเดียว
เจ้าตัวใหญ่นี่ ใส่ใจดีจังแฮะ
เดินออกมาจากราชวัง ฉินมู่ร้องเรียกลิงยักษ์อสูรและเอ่ยถาม “เจ้าตัวใหญ่ แถวนี้ยังมีสถานที่แปลกๆ อีกไหม”
ลิงยักษ์เกาหัวคิดอยู่พักหนึ่ง จึงวิ่งนำไปที่ปีกตึกหนึ่งภายในวังเสินหยาง ฉินมู่ตามไปไม่รีรอ กวางชะมดเซ่อซ่าตัวเดิมก็วิ่งดุ๊กดิ๊กตามไปเช่นกัน
เมื่อเข้าไปในโถงฝั่งปีกตึกของวัง ลิงยักษ์อสูรก็ชี้นิ้วให้ดู เมื่อมองตามที่มันชี้ ฉินมู่ก็เห็นผนังสีขาวอันมีเงาคล้ายมนุษย์ขนาดเท่าหัวแม่มือวาดทาไว้อยู่
ฉินมู่เข้าไปดูใกล้ๆ ผนังนั้น แต่ไม่พบสิ่งอื่นใดอีกนอกจากเงารูปมนุษย์ขนาดเท่าหัวแม่มือนั้น
กวางชะมดหน้าเซ่อเดินเข้าไปใกล้ผนังและดมเงาบนกำแพงฟุดฟิด ขณะที่มันจะเลียผนังนั่นเอง ก็มีมือโผล่มาจากกำแพงกำกระชากกวางชะมดนั้นหายเข้าไปในผนัง!
ฉินมู่ตกใจจนกระโดดโหยง ลิงยักษ์ทุบอกคำรามด้วยความโกรธใส่ผนังนั้น แต่มันก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้
บนผนังนั้น ภาพวาดชัดเจนของกวางชะมดพลันปรากฎข้างๆ เงารูปคนเล็กๆ นั้น จากนั้นฉินมู่เห็นเงานั้นเปลี่ยนรูปเคลื่อนไหวช้าๆ เมื่อมันอ้าปากของมัน ปากของมันอ้ากว้างขึ้นกว้างขึ้นจนผิดมนุษย์มนา ในปากนั้นเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมงับฮุบกวางชะมดทั้งตัวหายเข้าไปในปาก!
ฉินมู่ตกตะลึง หลังจากเงารูปคนนั้นจัดการกินกวางชะมดเรียบร้อยแล้ว มันก็เปลี่ยนความสนใจย่างเท้าเข้ามาหาพวกเขา!
ฉินมู่พบว่า แม้เงารูปคนนั้นจะไม่ได้ก้าวออกมาจากผนังกำแพงจริงๆ แต่ขนาดเงาขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น จนกระทั่งมีขนาดเท่ากับตัวคนปกติ ทว่ามันไม่ยอมหยุดแค่นั้น มันยังคงก้าวคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ
ไม่นานนัก แม้ว่าเงารูปคนจะไม่ก้าวออกมาจากกำแพง แต่เงานั้นขยายใหญ่จนเหยียดสูงถึงเพดานวัง มันเป็นเงาของศีรษะที่อ้าปากกว้างและแขนสองข้างที่โอบเลยไปถึงผนังอีกสองด้าน
“เด็กกระจ้อยร่อย…ไป!” ลิงยักษ์คว้าฉินมู่ แล้วกระโดดหนีออกจากโถงนั้นเพื่อมิให้เงาบนผนังจับพวกเขาได้
เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังมาจากผนัง พร้อมกับผนังนั้นสั่นครืนๆ ไม่หยุด ทำเอาผงคลีร่วงลอยเต็มอากาศ เงามืดนั้นพลันสยายแผ่จากโถงข้างมาสู่โถงกลางและกลืนปีกตึกด้านนั้นเข้าไปในเงามืดในพริบตา!
เงามืดพยายามสลัดหลุดจากผนังของโถงปีกตึก ทว่าไม่อาจหลุดออกมาได้ไม่ว่าจะดิ้นรนหนักแค่ไหนก็ตาม
นี่คือมารใช่ไหม ฉินมู่ยั้งเท้าที่กำลังวิ่งหนี เขากะพริบตาปริบแล้วหันกลับไปทดสอบ “ฉีเก่อตั๋ว ซาโมเยว่ บอเรบอเรซาโมเยว่ ฉีเก่อตั๋วบอเรซาโมเยว่”
เงามืดที่พลุ่งพล่านในโถงปีกตึกพลันสงบลง กรอบหน้าต่างสองบานของโถงปีกตึกนั้นพลันเปิดออกมาคล้ายกับดวงตามืดดำสองดวง ฉินมู่รู้สึกถึงสายตาอันน่าพรั่นพรึงที่จับจ้องมองเขา ทำเอาเสียวสันหลังหนาวกระดูก
ทันใดนั้น ประตูใหญ่ของโถงปีกตึกก็เปิดออกแล้วปิดลง ระหว่างนั้นเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นมา “คาถามหามายา เจ้าเป็นทายาทรุ่นหลังของเผ่าข้าอย่างนั้นรึ แต่น่าสังเวชอะไรอย่างนี้ คาถากระท่อนกระแท่นเจ้าสืบทอดมาก็ไม่หมด เผ่าพันธุ์ของข้าตกต่ำเสื่อมโทรมถึงขนาดนี้แล้วหรือ”
ฉินมู่ถามดูต่อ “ผู้อาวุโสรู้จักคาถามหามายาด้วยหรือ”
“รู้สิ!”
ประตูเปิดปิดไปมา เมื่อน้ำเสียงหยิ่งยโสดังกังวาน “คาถามหามายาของเผ่าข้ามีฤทธานุภาพไร้เทียมทาน ฤทธานุภาพที่สามารถสรรสร้างโลก ฤทธานุภาพแห่งมหามายา–มหาอิสระเสรี! ไฉนมันถึงถูกถ่ายทอดมายังเจ้าแค่ซากกระผีกเช่นนี้ ไล่เจ้าลิงนี้ออกไปซิ แล้วข้าจะถ่ายทอดคาถาฉบับจริงแท้ต้นตำรับให้เจ้าเอง!”
ฉินมู่เหลียวไปมองลิงยักษ์อสูร ลิงยักษ์อสูรส่ายหน้าแล้วเตือนด้วยเสียงต่ำ “เชื่อ…โง่!”
“ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า และคงไม่คิดร้ายข้าหรอก เจ้าออกไปก่อนแล้วรอสักครู่” ฉินมู่ปลอบโยนมันให้เบาใจ
ลิงยักษ์ยังไม่วางใจดีนัก แต่ก็ถูกฉินมู่ดันออกไปจากโถง
ประตูโถงปีกตึกหุบหับไปมา ส่งเสียงมารชวนเคลิบเคลิ้มล่อลวง “การร่ายคาถาเป็นวิธีพิสดารในการใช้วิชา เจ้าเรียนรู้มาแค่ถ้อยคำ แต่มิได้หยั่งถึงสง่าราศีของมัน นอกจากนั้นเจ้ายังมิได้เรียนรู้วิธีปลุกฤทธานุภาพในคาถา วิธีนี้เรียกว่า ‘มุทรามหามายา’ เป็นวิชาลับของเผ่าข้า! ข้าถูกสะกดไว้ในโถงตึก คงมีกำลังสื่อสารกับเจ้าได้ไม่นาน เจ้ารีบตระเตรียมล้างหูรับฟัง ข้าจะสอนเจ้าเพียงหนเดียว จำได้เท่าใดก็ขึ้นกับความสามารถเจ้าแล้ว!”
เงาดำบนผนังกำแพงปีกตึกค่อยๆ หดตัวลงจนเหลือขนาดเท่าตัวฉินมู่ เส้นทิศทางชี้นำการไหลเวียนปรากฏภายในร่างของเงาดำนั้นแสดงถึงเส้นทางการโคจรปราณ
เสียงมารกล่าวอธิบายต่อ “มีมุทราสี่ท่วงท่า หรือผนึกมือทั้งหมดสี่ท่ามือในวิชามุทรามหามายา มุทรามารมหาอานุภาพ มุทรามารมหาอิสระ มุทรามารมหาปัญญา และท่าผนึกมือสุดท้ายรวมเอาทั้งสามท่าผนึกมือเข้าด้วยกันเรียกว่า…มุทรามารฟ้ามหามายา! และนี่คือท่าแรก มุทรามารมหาอานุภาพ! เจ้าจะต้องร่ายคาถามารไปพร้อมๆ กันด้วย จึงจะสำแดงฤทธิ์เดชได้ ฉีเก๋อตั๋ว!”
ฉินมู่จ้องไม่กระพริบถึงวิธีโคจรปราณของเงามืดบนกำแพง จดจำท่วงท่าผนึกมือ และโคจรปราณชีวิตตามเส้นทางนั้น
“ฉีเก่อตั๋ว!”
ปากเขาเปล่งเสียงมารออกมา ฉินมู่พลันรู้สึกถึงอานุภาพมหาศาลน่าพรั่นพรึงที่พวยพุ่งออกมาจากภายในร่างของเขา พลังอานุภาพนั้นผลักในมือเขาอันนิ้วทั้งห้าสร้างผนึกมือแปลกประหลาด ให้มือขยับไปเบื้องหน้าอย่างควบคุมไม่ได้!
เปรี้ยง!
เสียงหนักแน่นดังกึกก้อง เมื่อฝ่ามือของฉินมู่พลันสร้างเสียงสายฟ้าที่เขาหมายมาดมาเนิ่นนาน สายฟ้าในฝ่ามือ!
ฉินมู่ยืนตะลึง เพราะนี่มันเกินความคาดหมายของเขา
มุทรามารมหาอานุภาพที่เงาดำบนผนังถ่ายทอดให้เขา รุนแรงทรงพลังอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่าในด้านความพลิกแพลงเปลี่ยนแปร แต่ถ้าวัดด้านพลานุภาพ มันเหนือล้ำกว่าฟ้าคำรามแปดจู่โจมไปหลายขุม
ทว่ากระบวนท่ามุทรามารมหาอานุภาพก็สูบใช้พลังปราณชีวิตของเขาอย่างหนัก มันต้องใช้ปราณชีวิตขับเคลื่อนกระบวนท่ามากกว่าฟ้าคำรามแปดจู่โจมไปหลายเท่าตัว!
เงาดำบนกำแพงสั่นเทิ้มบิดเบี้ยวราวกับว่าถูกฉุดรั้งโดยอะไรบางอย่างจากข้างหลัง เมื่อมันถูกดึงกลับไปที่กำแพงอย่างไม่อาจดิ้นรนได้ มันก็หอบแฮกๆ แล้วกล่าว “พลังสะกดของโถงปีกตึกนี้แข็งแกร่งเกินไป กดทับผนึกข้าไว้ตลอดเวลา ข้าไม่มีเวลาเหลือมาก เจ้ารีบดู มุทราที่สอง มุทรามารมหาอิสระ! ซาโมเยว่!”
บนผนังชั้นในห้องโถง ทิศทางโคจรปราณชีวิตบนร่างเงาดำแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่ด้วยเพราะแสงขมุกขมัวในโถงปีกตึก ทำให้มองเห็นไม่ถนัดจากระยะไกล
ฉินมู่เพ่งจนลืมตัว สืบเท้าเข้าไปก้าวหนึ่ง จนเห็นวงจรไหลเวียนปราณชัดเจน
“ซาโมเยว่!”
เขาท่องคาถามารเสียงแผ่วเบา และโคจรปราณชีวิตตามรูปเงา ทันใดนั้นพลังประหลาดพิสดารก็แผ่พุ่งจากภายในกายของเขา และบังคับให้ร่างกายของเขาขยับเปลี่ยนท่าทาง
ใบหน้าของเขาเผยรอยแย้มยิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ ส่วนนิ้วของเขาก็จีบเป็นสัญลักษณ์รูปดอกไม้ พลางดันมือโจมตีไปข้างหน้า
พลานุภาพของมุทรานี้ไม่ได้กร้าวแกร่งรุนแรง เรียกได้ว่าไม่มีพลังโจมตีเลยด้วยซ้ำ แต่ฉินมู่กลับรู้สึกว่าฤทธานุภาพของมันคล้ายคลึงกับผนึกมือท่าหนึ่งในฟ้าคำรามแปดจู่โจม
ฟ้าคำรามแปดจู่โจม กระบวนท่าที่ห้า–แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง
กระบวนท่านี้ที่เฒ่าหม่าถ่ายทอดให้ฉินมู่มิได้โดดเด่นด้านพลังโจมตี แต่พลังที่แท้จริงของมันคือการทำลายล้างผลาญพล่าวิญญาณของผู้ฝึกยุทธทักษะเทวะ!
ความลับของแสงตะวันเผาวิญญาณหยางอยู่ที่การใช้หมัดประหนึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า ใช้แสงแดดและสายฟ้าในฝ่ามือผลาญพร่าวิญญาณศัตรู!
มุทรามารมหาอิสระซึ่งเงาบนผนังสอนฉินมู่ ก็ดูคล้ายไม่มีกำลัง ก็เพราะว่ามันมุ่งเน้นผลาญพร่าทำลายวิญญาณนั่นเอง ซึ่งก็คล้ายคลึงกับแสงตะวันเผาวิญญาณหยางของเฒ่าหม่า
ความแตกต่างของสองกระบวนท่านี้มีเพียงแค่วิชาหมัดของเฒ่าหม่าใช้ดวงตะวันและสายฟ้าทำลายล้างวิญญาณศัตรูด้วยความรุนแรงดุดัน ขณะที่มุทรามารมหาอิสระใช้ท่าผนึกมือดึงดูดล่อลวงวิญญาณศัตรูเข้ามาไว้ในกำมือ ซึ่งดูชั่วร้ายเลือดเย็นกว่ามาก ยากที่จะระวังป้องกัน
การป้องกันพลังโจมตีอันรุนแรงดุดันของดวงตะวันและสายฟ้านั้นพอเป็นไปได้ แต่จะหลบหลีกจากวิชามุทรามารมหาอิสระนั้น…อย่าหวัง
ฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่านั้นเหมาะสำหรับต่อสู้รบรากับศัตรูซึ่งๆ หน้า และบดขยี้พวกมันด้วยเพลงหมัดกร้าวแกร่งดุดัน ขณะที่มุทรามารมหาอิสระนั้นเหมาะแก่การลอบจู่โจม กระชากวิญญาณศัตรูโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
เงารูปคนบนกำแพงหดเล็กลงไปอีก ราวกับว่ามันไม่อาจทนแรงกดดันพันธนาการจากวังเสินหยางได้ มันอ้าปากหอบหายใจพักหนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ตั้งใจดูให้ดี นี่คือมุทราที่สาม มุทรามารมหาปัญญา…”
เงาบนผนังดูสั่นไหวพร่าเลือน ทำให้ฉินมู่เผลอก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกสองก้าว แต่ในจังหวะที่เขาเกือบย่างเท้าเข้าไปในโถงปีกตึกนั่นเอง เขาก็หยุดชะงัก แล้วโคจรปราณเรียกใช้วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าอันเฒ่าบอดถ่ายทอดให้ วงแหวนเนตรหนึ่งชั้นพลันปรากฎบนแก้วตาของเขา คราวนี้แม้ว่าเงาบนกำแพงจะดูลางเลือน แต่ในสายตาเขา มันกลับชัดเจนกระจ่างตาสุดๆ
“ถ้าเจ้าไม่เข้ามาใกล้ๆ เจ้าจะเห็นกระบวนท่าชัดหรือ” เงาบนผนังเอ่ยถาม