32. พบพานหอกเทวะ
ฉินมู่ตระหนกจนขนหัวลุก เขารีบยกมือขึ้นคว้าจับกระบี่เล่มที่สองนี้โดยไม่ลังเล ฝ่ามือพลันเจ็บแปลบ ถูกกระบี่วิญญาณบาดเป็นแผล
“มู่…”
ท่านยายซีตกใจร้องอุทาน แต่ร้องได้คำเดียวก็เจอสายตาพิฆาตของผู้ใหญ่บ้าน จึงชะงักปากไว้
เมื่อฉินมู่คว้าจับกระบี่ มันก็ดิ้นรนหมายหลุดจากมือเขา สร้างบาดแผลเพิ่มจนมือเขาเหวอะหวะ แต่ด้วยปราณชีวิตที่เข้มข้นหนาแน่นของเขา กระบี่วิญญาณจึงไม่ถึงกับเฉือนฝ่ามือเขาขาดไปได้
แต่ในพริบตาถัดมา กระบี่วิญญาณเล่มที่สามก็แยกออกจากขบวนกระบี่ ตามด้วยเล่มที่สี่ เล่มที่ห้า!
เฉียนชิ่วหรี่ตา ชัยชนะเป็นของเขาแน่นอน สำหรับฉินมู่ที่ฝึกปรือถึงขั้นนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้นับว่าไม่ง่ายดายเลย ทว่าฉินมู่มีมือแค่สองมือ เขาจะจับกระบี่ทั้งหมดได้อย่างไร
ทันใดนั้น ม่านตาของเฉียนชิ่วหดแคบเท่ารูเข็ม เมื่อเขาเห็นมือของฉินมู่คว้าจับกระบี่นับสิบเล่มที่พุ่งเข้ามาจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าฉินมู่มีแขนงอกเงยหลายสิบแขน!
ก่อนที่กระบี่จะเข้าทิ่มแทงฉินมู่ พวกมันก็ถูกเขาคว้าจับที่ด้ามจนหมดสิ้น
ฟ้าคำรามแปดจู่โจม กระบวนท่าที่แปด — พุทธองค์พันกร!
สีหน้าเฉียนชิ่วแปรเปลี่ยน เขารีบกระตุกสะเทือนด้ายปราณชีวิต กระบี่วิญญาณที่อยู่ในมือของฉินมู่เหล่านั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรงดิ้นรนหมายโบยบินหนีไปจากมือฉินมู่ และในจังหวะเดียวกันนั้น กระบี่บินที่เหลือก็พุ่งเข้ามาจู่โจมฉินมู่ที่ดวงตาและคอหอย!
ฉินมู่คว้าจับด้ามกระบี่ได้ห้าเล่ม เหลืออีกเจ็ดเล่มที่พุ่งวาบกรีดฟ้าใส่เขาในขณะนี้ กระบี่ส่งเสียงหึ่งๆ เมื่อมันหมุนควงเหมือนสว่าน หมายจะทะลวงรูใหญ่ทะลุสมองและคอของเขา
ท่านยายซีแทบหวีดร้องเมื่อเห็นฉินมู่ทำท่าจะเพลี้ยงพล้ำ ทันใดนั้นฉินมู่ก็กู่ร้องเสียงกังวาน ปราณชีวิตหนาแน่นพลันระเบิดออกจากร่างกาย เขาชักมีดเชือดหมูที่หลังออกมาทันใด และฟาดฟันสวนกระบี่เหล่านั้น
เคร้ง!
กระบี่ทั้งเจ็ดเล่มถูกฟาดฟันจนหักครึ่งร่วงกราวลงกับพื้น!
“ปราณชีวิตหนาแน่นอะไรอย่างนี้!”
เฉียนชิ่วมองดูด้วยสายตาแตกตื่น มีดที่ฟันสวนกระบี่ของฉินมู่ฉับไวไร้ปี่ไร้ขลุ่ย ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว ไม่เพียงเท่านั้นปราณชีวิตของฉินมู่หนาแน่นเข้มข้นเกินมนุษย์มนา ทั้งพละกำลังอันแฝงในเพลงมีดก็แรงร้ายเกินคะเนคำนวณ
มีดเชือดหมูคมกริบ คมบาดใจ คมและทนทานเสียยิ่งกว่าอาวุธวิญญาณ
ด้วยพลังกายสูงเยี่ยมของฉินมู่บวกกับความคมกล้าของมีดเชือดหมู การเฉือนฟันกระบี่เจ็ดเล่มจนหักไม่ได้ยากเย็นเลยสักนิด!
ก่อนที่ความตกตะลึงจะจางหายไปจากสีหน้าของเฉียนชิ่ว ฉินมู่ก็สะบัดข้อมือซัดกระบี่ห้าเล่มในมือสวนกลับไปหาศัตรู กระบี่ทั้งห้าหวีดหวือแหวกอากาศด้วยความเร็วสุดขีดขั้น
แทนที่จะตระหนกกว่าเดิม เฉียนชิ่วกลับเผยรอยยิ้ม เขยกมือขึ้นยิงเส้นด้ายปราณชีวิตไปยังกระบี่บินทั้งห้า และพร้อมๆ กันนั้น ก็กระบี่วิญญาณอีกหลายเล่มลอยออกมาจากถุงกระบี่เขาอีกครั้ง
ถุงกระบี่ของเฉียนชิ่วนั้นดูไม่เล็กไม่ใหญ่ และไม่น่าจะเก็บกระบี่ไว้ได้มากมายขนาดนี้ แต่พูดไปก็น่าแปลก เมื่อมีกระบี่วิญญาณจำนวนมากโบยบินออกจากถุงได้เรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน
โดยไม่ได้คาดคิด เมื่อเส้นด้ายปราณชีวิตของเฉียนชิ่วเข้าไปรัดพันกระบี่บินทั้งห้าที่พุ่งเข้ามา สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว ปราณชีวิตน่าสะพรึงของฉินมู่อันซุ่มซ่อนในกระบี่พลันโถมทะลักทำลายล้างเส้นด้ายปราณชีวิตของเขาก่อนที่มันจะสามารถรัดพันกระบี่เหล่านั้นได้
เฉียนชิ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว เขาใช้กระบี่ที่เพิ่งบินออกมาจากถุงปะทะต่อต้านกระบี่ห้าเล่มนั้น
และในจังหวะเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็สะกิดเท้าพุ่งเข้าใส่เฉียนชิ่ว เฉียนชิ่วรีบรับมือชี้นิ้วไปข้างหน้า กระบี่วิญญาณอีกเล่มพวยพุ่งเป็นเส้นรุ้งใส่ฉินมู่!
ศัพท์สำเนียงแปลกประหลาดพลันเปล่งออกมาจากปากฉินมู่ วลีนั้นสั้นไม่กี่พยางค์ทว่าแฝงฝังไว้ด้วยอารมณ์จังหวะอันไม่อาจบรรยายได้ เสียงอันชั่วร้ายและพิลึกประหลาดเปล่งออกมาพร้อมกับที่ฉินมู่สร้างผนึกมือเป็นมุทรารูปดอกไม้ ผลักดันมุทราใส่เฉียนชิ่วจากระยะหลายวา
“ซาโมเยว่!”
เฉียนชิ่วรู้สึกเพียงแค่อากาศอันถูกผลักจากฝ่ามือ แต่มันไม่มีพละกำลังแฝงอยู่ในนั้น และขณะที่เขากำลังจะมุ่งสมาธิกลับไปต่อต้านกระบี่ทรยศทั้งห้าเล่ม วิญญาณของเขาก็พลันถูกดึงดูดออกจากร่าง และถูกกอบกำเข้าไว้ในฝ่ามือฉินมู่ ร่างของเขาพลันไร้วิญญาณควบคุมบังคับทันที
ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงฉึกหนักๆ ดังขึ้นมาเมื่อกระบี่วิญญาณทั้งห้าเล่มเสียบแทงเข้าไปในร่างของเขา เมื่อเฉียนชิ่วสูญเสียการควบคุมกระบี่วิญญาณที่จะใช้ต่อต้าน กระบี่ทั้งห้าเล่มที่ฉินมู่บังคับก็แทงเสียบร่างเขากระเด็นขึ้นไปบนฟ้าด้วยความแรง และร่วงลงไปไม่ไกล
ครึ่ม!
ต้นเสาผูกธงร้านขายเนื้อของคนแล่เนื้อสั่นไหวสะเทือน เมื่อศพของเฉียนชิ่วร่วงลงไปเสียบอยู่บนนั้นโดยห้อยหัวลง
โลหิตยังคงหลั่นไหลจากฝ่ามือของฉินมู่ เมื่อเขาฝืนรวบกำมือเข้าหากัน ทำเอาเลือดในมือของเขากระเซ็นซ่านพร้อมกับบดขยี้วิญญาณเฉียนชิ่วจนแหลกเป็นชิ้นๆ
มุทรามารมหาอิสระ เหมาะเหม็งใช้พร่าผลาญวิญญาณ
ฉินมู่จึงหันกลับไปแล้วเผยรอยยิ้ม “ท่านยาย ข้าชนะแล้ว!”
ท่านยายซีคลายใจในที่สุด แต่แล้วก็เต้นเร่าด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กแสบ ทำมือตัวเองเจ็บทำไม เดี๋ยวเถอะ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย! นั่น เช็ดเลือดกับเสื้อผ้าอีก! หากว่าชุดใหม่ของเจ้าเปื้อนสกปรกจนซักไม่ออก ข้าจะตีเจ้าให้ตายเหมือนกัน!”
สายตาของผู้ใหญ่บ้านกลับมาจับจ้องมู่เปยเฝิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วเอ่ยถาม “พี่มู่ ศิษย์ของท่านพ่ายแพ้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะไปเอาเขาลงมาสวมชุดศพนอนในโลงหรือไม่”
มู่เป่ยเฝิงเงยหน้าขึ้น มองซากร่างของเฉียนชิ่วที่ยังคงแขวนเสียบอยู่บนเสา เขาสั่นศีรษะแล้วตอบ “ข้าจะนำศพเขากลับไปทำพิธีส่งที่เหมาะสม แต่อีกเรื่องหนึ่ง น้องชายผู้นี้มีพลังวัตรที่กล้าแข็งอัศจรรย์แต่กลับพึ่งพาเสียงมารในวิชามาร ข้าดูแคลนวิธีอันต่ำช้าเยี่ยงนี้”
เขาหมายถึงกระบวนท่าที่สังหารเฉียนชิ่ว มุทรามารมหาอิสระ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมุทรานี้มาก่อน แต่เสียงที่ออกมาจากปากของฉินมู่ชัดเจนว่าเป็นเสียงมาร ดังนั้นวิชาที่ฉินมู่ใช้ย่อมเป็นวิชามาร
เขายังพบว่าฉินมู่มีพลังวัตรอันกล้าแข็งหนาแน่น เข้มข้นยิ่งกว่าพลังวัตรของเฉียนชิ่ว แต่ดูเหมือนว่าฉินมู่จะมิใคร่มีประสบการณ์ฝ่าเป็นตาย จึงมิอาจสำแดงพลังของตนจนถึงขีดสุดได้
ใช้วิชามารเอาชนะ เป็นแค่เล่ห์กลต่ำช้าในสายตาของเขา มู่เป่ยเฝิงจึงดูแคลนฉินมู่
ประกายตาของผู้ใหญ่บ้านไหวหวั่น เขาก็ไม่รู้ว่าฉินมู่ฝึกปรือวิชามาร จนถึงขั้นที่สามารถดึงวิญญาณออกมาจากร่างศัตรูเพื่อสังหารมัน
ยายเฒ่าซีเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านนี้ที่ฝึกปรือวิถีมารอย่างแท้จริง หรือว่านางจะถ่ายทอดวิชานี้ให้ฉินมู่
ผู้ใหญ่บ้านสั่งสอนอย่างอ่อนโยน “มู่เอ๋อ ทำลายวิญญาณมนุษย์เท่ากับทิ่มแทงฟ้าดิน วิชานี้เจ้าใช้มันให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
ฉินมู่รีบผงกหัว
ผู้ใหญ่บ้านหันกลับไปมองมู่เป่ยเฝิงแล้วกล่าว “ยังมีสิบเอ็ดโลงที่ไม่มีผู้จับจอง”
คิ้วของมู่เป่ยเฝิงลู่ลง แล้วตอบ “ในเมื่อมีทั้งเสื้อผ้าและโลงศพ พวกเราต้องใช้มันอยู่แล้วล่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเชิญ “พี่ท่านเชิญ”
มู่เป่ยเฝิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เชิญ”
ค่ายกลมังกรวารีแม่น้ำหลี่พลันเคลื่อนคล้อยสำแดงฤทธานุภาพ สิบยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังเปล่งรังสีน่าเกรงขาม เชื่อมโยงออร่าของพวกเขาเข้ากับมู่เป่ยเฝิง
ซู่มมม!
น้ำในแม่น้ำพลันถั่งโถม เมื่อไอน้ำในอากาศควบแน่นเข้าหากัน ในหมู่บ้านพิการชราเล็กๆ แม่น้ำสายใหญ่พลันปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า คลื่นลมมันครั่นครื้นกระเซ็นสาดถึงสวรรค์!
แม่น้ำเชี่ยวกรากนี้ รูปลักษณ์ไม่ผิดเพี้ยนจากแม่น้ำหลี่ในแดนใต้!
มู่เป่ยเฝิงและยอดฝีมือสำนักแม่น้ำหลี่ยืนเหยียบอยู่บนแม่น้ำหลี่ขนาดย่อส่วนนี้ กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายไปมาในแม่น้ำ ดูคล้ายกับปลาสีเงินตัวเล็กๆ
สำนักแม่น้ำหลี่มีชื่อเสียงโด่งดังในวิชาคุมกระบี่บิน วิชากระบี่ของสำนักเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุดในแดนใต้ เมื่อยอดฝีมือสำนักสิบคนร่วมมือกันก่อค่ายกลพยุหะมังกรวารีพร้อมกับเจ้าสำนักมู่เป่ยเฝิง จำนวนของกระบี่บินที่พวกเขาใช้สร้างค่ายกลจึงมากมายมหาศาลเกินจินตนาการ!
ย้อนไปตอนที่ท่านยายซีต่อสู้กับห้าอาวุโสแม่น้ำหลี่ ผู้นำห้าอาวุโส ฉีเอี๋ยนปิ่งได้ซ่อนกระบี่หกพันแปดร้อยสี่สิบสองเล่มไว้ในไจกระบี่ของเขา นั่นนับว่าน่ากลัวแล้วนะ
แต่มาบัดนี้ จำนวนกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในค่ายกลมังกรวารีแม่น้ำหลี่มีมากเป็นสิบเท่าของกระบี่ที่ฉีเอี๋ยนปิ่งซ่อนในไจกระบี่ของเขา!
กระบี่กว่าหมื่นเล่มก่อรูปกันเป็นมังกรเงินละล่องคลื่น ประกายคมกล้าของกระบี่ละลานตาแหวกว่ายไปมาในร่างมังกร พร้อมที่จะระเบิดพลังสังหารศัตรูได้ทุกเวลา!
เป็นครั้งแรกที่ฉินมู่ได้เห็นค่ายกลกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ ชนิดที่ว่าเขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน!
หากค่ายกลกระบี่ปลดปล่อยอานุภาพของมัน หมู่บ้านพิการชราคงถูกทำลายล้างไม่เหลือซาก!
ผู้ใหญ่บ้านยังคงเอนตัวอยู่แคร่ของเขา สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปรหวั่นไหวแม้จะถูกคุกคามด้วยค่ายกลกระบี่น่าพรั่นพรึงเบื้องหน้า เขาเพียงแต่เรียกด้วยน้ำเสียงเบา “เฒ่าบอด”
เฒ่าบอดเงยหน้าราวกับว่ากำลังจ้องมองความลี้ลับของค่ายกลมังกรวารีแม่น้ำหลี่ แต่ว่าในเมื่อสองตาของเขากลวงโบ๋ เขาจะมองเห็นได้อย่างไรโดยปราศจากลูกตา
ดาบหมื่นเล่มเสียดสีกันกรีดเสียงแสบแก้วหู ราวกับเสียงหวีดขู่ของมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยวดุร้าย มันม้วนพลิกตัวในอากาศพุ่งฉกทะลวงลงมาจากบนฟ้าสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่หมู่บ้านพิการชรา!
เฒ่าบอดยกไม้เท้าไผ่ของตนขึ้นด้วยมือข้างเดียว ชี้ไปยังกระบี่นับไม่ถ้วนพลางร่ายวาจา “ด้วยข้ามีวิชาสังหารมังกร แม่น้ำหลี่จักสูญสิ้นไปในวันนี้”
ติง!
เสียงกังวานสดใสหนึ่งเดียวพลันสยบเสียงหวีดหวือของกระบี่ทั้งหมด มังกรเงินร้ายฤทธิ์คล้ายจะกวาดล้างทุกสรรพสิ่งบนอากาศพลันนิ่งชะงัก กระบี่นับหมื่นที่ประกอบร่างเป็นมังกรพลันปักทิ่มลงมายังพื้นราวกับฝนดาวตก
เฒ่าบอดวาดไม้เท้าอย่างเบามือ แม่น้ำหลี่ขนาดย่อซึ่งประกอบจากมวลน้ำไหลบ่ามหาศาลก็ถูกยกเกี่ยวตรงบั้นกลางลำน้ำ ก่อนจะแยกขาดออกจากกัน แม่น้ำหลี่มิอาจเป็นแม่น้ำหลี่อีกต่อไป มันร่วงกระจัดกระจายลงมาบนพื้นกลายเป็นแอ่งน้ำเกลื่อนกลาด
คำร่ายกวีของเฒ่าบอดยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเขาก้าวอย่างอาจหาญฝ่าน้ำเจิ่งนอง เท้าของเขาไม่แตะพื้นน้ำ และไม้เท้าไผ่ก็ทิ่มซ้ายป่ายขวา ด้วยการแทงหนเดียว หน้าผากของยอดฝีมือแม่น้ำหลี่คนหนึ่งก็ระเบิดออก เมื่อไม้เท้าทะลุผ่านสมองของเขา
ยอดฝีมืออีกคนยกมือขึ้นตั้งท่าป้องกัน แต่ไม้เท้าไร้ใจนั้นทะลวงฝ่ามือทะลุไปถึงหน้าอก
เฒ่าบอดเดินท่องลำน้ำจากต้นทางไปยังปลายสาย เบื้องหลังเขาศพเหล่ายอดฝีมือร่วงลงมาจากท้องฟ้าทีละคนทีละคน จนกระทั่งเขาเดินมาถึงเบื้องหน้าของมู่เป่ยเฝิง และเมื่อทั้งคู่ประมือกัน ฉินมู่ก็ไม่อาจมองเห็นทันได้ว่าพวกเขาปะทะกันกี่ครั้งและใช้กี่ทักษะเทวะ
มู่เป่ยเผิง ลอยจากอากาศมาเหยียบพื้น และเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว
ขณะนั้นเฒ่าบอดเพิ่งร่ายคำว่า ‘วันนี้’ ใน ‘แม่น้ำหลี่จักสูญสิ้นไปในวันนี้’ จบ
“ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร เฒ่าบอด! ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะซ่อนอยู่ที่นี่ และนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังแข็งแกร่งขนาดนี้หลังจากที่สูญเสียดวงตาไป!”
เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของมู่เป่ยเฝิงก็ซีดเผือด เขาทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าผู้ใหญ่บ้าน แล้ววิงวอนด้วยเสียงแผ่วเบา “พวกข้า สำนักแม่น้ำหลี่ เติบโตอยู่กินในแม่น้ำ ธรรมเนียมของพวกเราคือการลอยศพลงน้ำมิอาจกลบฝังในดิน ข้าหวังว่าท่านคงช่วยตามคำขอสุดท้าย”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับคำ “ไม่ต้องห่วง มีแม่น้ำไหลผ่านข้างๆ หมู่บ้านนี้อยู่”
“ได้พบพานหอกเทวะ ข้าตายก็ตายตาหลับ!”
ลมหายใจของมู่เป่ยเฝิงสิ้นสุดลง พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ฉินมู่ซึ่งเดินอ้อมมาข้างหลัง แทบกระโดดด้วยความตกใจเมื่อเห็นรูแผลใหญ่โบ๋ที่กลางหลังหัวของมู่เป่ยเฝิง