Skip to content

Tales of Herding Gods 55

55. เพลงกระบี่อันดับหนึ่งในแดนดิน

“ข้าคือผู้นำโถงสายฝนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา และผู้คนก็เรียกข้าว่าอาจารย์น้อยเรียกฝน แล้วเจ้าเก่งเรื่องเวทมนตร์ไหมล่ะ”

ฉินมู่ก้าวเข้าไปในห้องถัดไป ในนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่ บนใบหน้าของนางมีรอยสักแปลกประหลาด และบนศีรษะนางมีเครื่องประดับหัวทำจากขนนก ในมือนางมีไม้เท้าทำจากหางสัตว์ป่าที่เขาไม่รู้จักซึ่งมีข้อต่อยี่สิบสี่ข้อต่อสอดคล้องกับยี่สิบสี่ภูมิอากาศ นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราจะแข่งขันใช้เวทมนตร์กันในห้องนี้!”

ฉินมู่ส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้เวทมนตร์อะไรเลย ผู้ฝึกยุทธระดับทารกวิญญาณก็เรียนรู้เวทมนตร์ได้ด้วยหรือ”

หญิงผู้นั้นตอบ “ทำไมจะไม่ล่ะ ปราณชีวิตนั่นแหละคือพลังเวทมนตร์ และเจ้าสามารถร่ายมนตร์เมื่อเจ้าเรียนรู้เวทใดๆ ฮูหยินลัทธิเราเป็นจอมขมังเวทของลัทธิเรา นางไม่ได้สอนเจ้าบ้างเลยหรือ เมื่อข้ายังอยู่ขั้นทารกวิญญาณ ข้าก็ออกท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพเพื่อเรียกฝนฟ้าให้กับคนธรรมดาสามัญ เมื่อใดก็ตามที่เจอภัยแล้ง ผู้คนเหล่านั้นก็จะเชื้อเชิญข้าให้ไปช่วย ดังนั้นพวกเขาเรียกข้าว่าแม่มด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังวัตรของข้าแข็งแกร่งขึ้นและชื่อเสียงข้าเลื่องลือไปไกล พวกเขาก็เรียกข้าว่าอาจารย์น้อยเรียกฝนแทน ข้าเป็นหนี้บุญคุณจ้าวลัทธิที่ไว้วางใจและมอบหมายโถงสายฝนให้ข้าดูแล แต่ถึงอย่างไร ความสามารถข้าก็ยังต่ำต้อยกว่าฮูหยินลัทธิ ในตอนนั้นเป็นนางที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นธิดาเทพ มิใช่ข้า”

ฉินมู่ถามด้วยความฉงน “ถ้าข้าจะสู้ด้วยเวทมนตร์จะต้องทำอย่างไร”

หัวหน้าโถงสายฝนกุมขมับตนเองแล้วถอนหายใจ “ทำไมเจ้าถึงไม่รู้อะไรเลยเนี่ย ความขัดแย้งของสำนักเวทมนตร์กับสำนักวิชาบู๊มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล แต่ก่อนนี้ผู้คนที่ฝึกเวทมนตร์กับผู้คนที่ฝึกวิชาบู๊ต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ทั้งสองแนวทางสำนักต่างชี้กันว่าอีกฝ่ายคือพวกนอกรีตและหมายจะกวาดล้างอีกฝ่ายให้เหี้ยนเตียน ตอนนี้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้ก็จริง แต่ถ้าเจ้าวิ่งโร่เข้าไปหาผู้ฝึกวิชาเทวะแล้วบอกว่าเจ้าฝึกวิชาบู๊ เจ้าต้องโดนสับเป็นลูกเต๋าในทันทีแน่! พลังการต่อสู้ของจอมเวทนั้นสูงส่งเหนือเจ้าจะจินตนาการ!”

ฉินมู่ถามต่อ “แล้ววิชาคุมกระบี่บินนับว่าเป็นเวทมนตร์ด้วยไหม”

“ไม่หรอก ไม่นับ”

หัวหน้าโถงสายฝนส่ายหน้า “ในอดีตวิชาคุมกระบี่บินถูกนับเป็นวิชาสายบู๊ แต่พวกเขาอวดอ้างว่าแนวทางของพวกเขาเป็นมรรคาที่เที่ยงแท้ ส่วนผู้คนที่ฝึกเวทมนตร์และวิชาบู๊ล้วนแต่เดินทางผิด ดังนั้นพวกมันจึงต้องตาย นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมราชครูสันตินิรันดร์จึงจัดการชุมนุมยุทธจักรเพื่อท้าทายยอดยุทธสายวิชาบู๊ทั้งหมดในแดนดิน แล้วทำลายพลังฝีมือแขนขาผู้พ่ายแพ้ซะ ฮูหยินลัทธิไม่ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังเลยหรือ”

ฉินมู่ขมวดคิ้ว “ทำไมพวกเขาต้องเอาแต่สู้กันตลอดด้วย ไม่ใช่ว่าวิชาบู๊ วิชากระบี่ และวิชาเวทมนตร์ ก็ล้วนแต่เป็นวิชาเทวะมิใช่หรือ มันจะไม่ดีกว่าหรืออย่างไรถ้าจะรวบรวมเอาจุดเด่นของทุกอย่างเข้ามาไว้ด้วยกัน”

หัวหน้าโถงสายฝนไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “พละกำลังผู้คนมีจำกัด ใครล่ะจะมีเวลาฝึกปรือวิชาทั้งสามแนวทางถึงขั้นลึกซึ้ง ผู้คนมากมายอุทิศเวลาและสติปัญญาทั้งหมดในการคร่ำเคร่งศึกษาแนวทางใดแนวทางหนึ่งอย่างจริงจัง แต่ก็ยังยากที่จะไปถึงจุดสูงสุด และในเมื่อผู้คนฝึกปรือสิ่งที่แตกต่างกัน การแก่งแย่งชิงดีว่าใครดีกว่าใครย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันนำไปสู่การที่พวกเขามิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน”

ฉินมู่ฟังแล้วก็ครึ้มใจ ร้องถาม “พี่สาว งั้นแสดงเวทมนตร์ให้ข้าดูที ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์มาก่อน!”

หัวหน้าโถงสายฝนยกมือขาวบอบบางของนางขึ้นมา และคว่ำนิ้วทั้งห้าลงสู่พื้น ด้วยการฟูฟ่องขึ้นและสั่นสะเทือน หมอกขาวก็เริ่มก่อตัวขึ้นในห้อง ควบแน่นเป็นเมฆและปล่อยหยาดฝนลงมา

ฉินมู่สังเกตสังกาอย่างใกล้ชิดและพบว่าเมื่อหยาดฝนร่วงลงสู่พื้น มันก็ลอยกลับขึ้นไปที่ข้างกำแพง สร้างวงโคจรไม่รู้จบ

หัวหน้าโถงสายฝนโบกมือของนางวูบ และหยาดฝนก็กลายเป็นเส้นสายราวกับเส้นขิมเส้นพิณ นางใช้นิ้วทั้งสิบดีดลงไปบนเส้นเหล่านั้น สร้างเสียงดนตรีก้องสะท้อนขึ้นมาในห้อง และเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง สายฝนพลันเปลี่ยนรูปก่อตัวเป็นมังกรไร้เขาพุ่งวาบเข้าใส่ฉินมู่

ฉินมือยื่นมือออกไป คว้าจับคอเจ็ดนิ้วของมังกรไร้เขาอันก่อจากน้ำนั้น บีบขยี้มันให้แตกกระจายเป็นเศษน้ำ

หัวหน้าโถงสายฝนตระหนกตกใจ นางรีบรัวนิ้วกับสายพิณฝนอย่างเร่งร้อน เปลี่ยนหยาดฝนให้กลายเป็นอาวุธแหลมคมอันพุ่งโจมตีใส่ฉินมู่อย่างบ้าคลั่งจากทุกทิศทาง อุณหภูมิในห้องพลันลดต่ำอย่างรวดเร็ว จนแช่เม็ดฝนให้กลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้อาวุธแหลมคมเหล่านั้นยิ่งร้ายกาจซ่อนเล่ห์!

ด้วยปลายนิ้วทั้งสิบที่ดีดสะบัดอย่างต่อเนื่อง ฉินมู่ทำลายอาวุธที่พุ่งเข้าใส่เขาจากรอบทิศนั้น “ที่แท้เวทมนตร์ก็เป็นแบบนี้ พี่สาว..แล้วกระบวนท่านี้เรียกว่าเวทมนตร์ไหม”

มือของเขาพลันสันดาปติดไฟเพลิง และด้วยมือต่างมีด เขาสะบัดมีดไฟของตนอย่างต่อเนื่องรวดเร็ว และซัดเอาหัวหน้าโถงสายฝนกระเด็นออกไป

นางร่วงหล่นลงตรงที่ลานบ้าน กรีดร้องด้วยเสียงที่ทั้งตระหนกทั้งโมโห “เจ้าคือพวกนอกรีตจากสำนักวิชาบู๊ กล้าดียังไงถึงกับใช้วิชาบู๊เลียนแบบเวทมนตร์…”

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องถัดไป เขาก็พบกับชายร่างบึกบึนที่มีหนวดเคราขึ้นเป็นตอๆ และนั่งบนม้านั่งเตี้ย ชายผู้นั้นกล่าว “เจ้าถือถุงกระบี่มาด้วย ดังนั้นเจ้าก็น่าจะรู้เพลงกระบี่ วันนี้เราจะประลองวิชากระบี่กัน”

ฉินมู่ส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยเรียนเพลงกระบี่มาก่อน”

หัวหน้าโถงกระบี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “หากว่าเจ้าไม่เคยเรียนเพลงกระบี่ ไฉนถึงหอบหิ้วถุงกระบี่ ฮูหยินลัทธิไม่เคยสอนเพลงกระบี่ให้เจ้าบ้างหรืออย่างไร”

ฉินมู่ส่ายหน้าอีกครั้งและตอบ “ท่านยายกล่าวว่าในหมู่บ้านนี้มีคนผู้หนึ่งที่มีเพลงกระบี่อันดับหนึ่งในแดนดิน ดังนั้นนางจึงไม่สอนเพลงกระบี่ลัทธิมารฟ้าให้ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนผู้นั้นไม่ยอมสอนเพลงกระบี่ให้ข้าในอนาคต”

“เพลงกระบี่อันดับหนึ่งในแดนดิน?”

หัวหน้าโถงกระบี่เบิ่งตาจ้องด้วยดวงตาโปนโตราวกระดิ่ง สายตาคมกล้าเขาเหมือนกับรังสีกระบี่สองเส้นที่เสียดแทงเข้าไปในหัวใจฉินมู่ เขาแค่นหัวเราะเย็นชา “ใครมันกล้าคุยโวโอหังขนาดนี้? ไปเรียนเพลงกระบี่สักกระบวนท่าจากคนผู้นั้้นมาซิ ข้าอยากเห็นนักว่าเพลงกระบี่อันดับหนึ่งในแดนดินจะมีน้ำยาแค่ไหนกันเชียวเมื่อเทียบกับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!”

ฉินมู่กะพริบตาปริบท่าทางใสซื่อ แล้วกล่าว “ข้ายังเรียนวิชาอื่นๆ นะ อย่างฟ้าคำรามแปดจู่โจม ขาเทวะขโมยสวรรค์ เพลงมีดเชือดหมู วิชาทวน วิชาพู่กัน วิชาค้อน…”

หัวหน้าโถงกระบี่ลูบไล้กล่องกระบี่ของตนอย่างรักใคร่ แล้วยืนกรานด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ข้าต้องการเห็นแค่เพลงกระบี่อันดับหนึ่งในแดนดิน! ที่เหลือล้วนเหลวไหลไร้สาระ!”

ฉินมู่จึงได้แต่เดินออกมาจากห้องไม้นั้นอย่างช่วยไม่ได้ เขากลับไปที่หมู่บ้านพิการชราอธิบายให้ท่านยายซีทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

ยายเฒ่าซีฮึ่มฮั่มขุ่นเคือง “โถงกระบี่ดื้อด้านหัวแข็ง ไม่รู้จักยืดหยุ่น! งั้นเจ้าก็เอาบ้างสิ มู่เอ๋อ ก็ใช้มีดเจ้าหั่นมันเป็นชิ้นไปเลย!”

ฉินมู่พึมพำ “แบบนั้นก็แค่เอาชัยแต่ไร้ฝีมือน่ะสิ”

ท่านยายซีจูงมือเขาไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ที่ประตูหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านกับนักปรุงยายังคงนั่งชงชากันอยู่ และปรมาจารย์เยาว์ก็นั่งอยู่ด้วย พวกเขาทั้งสามกำลังละเลียดจิบชา

“ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำโถงกระบี่ดื้อดึงจะให้มู่เอ๋อประลองกับเขาด้วยเพลงกระบี่”

ท่านยายซียิ้มแก้มปริ “ทำไมท่านไม่สอนเขาสักสองสามอย่างล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ด้วยระยะเวลาสั้นแค่นี้ ต่อให้ข้าชี้แนะก็คงยากจะเอาชัยคู่ต่อสู้ เพราะถึงที่สุดแล้วใครจะรู้ว่าหัวหน้าโถงกระบี่คร่ำเคร่งกับการฝึกกระบี่มากี่ชั่วนาตาปี เขาคงมีความสำเร็จบรรลุของเขา เจ้าอยากให้ข้าสอนมู่เอ๋อสองสามอย่าง แล้วให้เขาเอาชนะหัวหน้าโถงกระบี่ได้ทันทีทันใด ปีนขึ้นไปเก็บดาวลงมายังง่ายกว่าไหม”

“ต้องเป็นไปได้สิ เพราะมู่เอ๋อครอบครองกายาจ้าวแดนดินนี่นา จริงไหม” ท่านยายซีกระพริบตาปริบอย่างใสซื่อ

“กายาจ้าวแดนดิน…”

หางตาผู้ใหญ่บ้านกระตุกรัวๆ เขาเริ่มสำนึกเสียใจกับเรื่องโกหกคำโตที่เขาสร้างขึ้น

เพราะเขานี่แหละที่เป็นคนยืนยันคำลวงว่ามู่เอ๋อครอบครองกายาจ้าวแดนดิน ฉินมู่สามารถปลุกทารกวิญญาณของเขาขึ้นมาได้ก็นับว่าเกินความคาดหมายเขาไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าต่อให้เป็นปาฏิหาริย์มันก็มีขีดจำกัด การที่จะสอนให้ฉินมู่สามารถต่อสู้กับยอดฝีมือด้านกระบี่จากลัทธิมารฟ้าในระยะเวลาอันสั้นนั้นยากพอๆ กับไปเด็ดดาวเด็ดเดือน

ท่านยายซีผลักหน้าที่สอนนี้ให้เขา และก็เพราะเป็นเขา จึงไม่อาจปฏิเสธนางได้

ผู้ใหญ่บ้านพึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “มู่เอ๋อ เจ้าท่องเคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะที่เรียนมาจากกู่ลี่หนวนให้ข้าฟังหน่อยซิ”

ฉินมู่ท่องเคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะหนึ่งรอบ ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม “ราชครูสันตินิรันดร์อุตส่าห์สร้างงานชิ้นเอกนี้ขึ้นมาได้ ด้วยการรวบรวมยอดฝีมือกระบี่จากทั่วหล้ามาระดมสมอง วิชาคุมกระบี่เคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะมีความโดดเด่นเฉพาะตัวจริงๆ”

ปรมาจารย์เยาว์เบื้องหน้าเขาก็ถอนใจด้วยความชื่นชมดุจเดียวกัน “ราชครูสันตินิรันดร์เป็นอัจฉริยะที่ยากพบพาน”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “คราวนี้บอกข้าว่ากู่ลี่หนวนอธิบายเคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะให้เจ้าฟังอย่างไร”

ฉินมู่บอกเล่าคำอธิบายของกู่ลี่หนวนคำต่อคำ ผู้ใหญ่บ้านยิ้มหัวแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดออกมา “กู่ลี่หนวนเหมือนจะจงใจงำความรู้บางส่วน”

เขาชี้ข้อผิดพลาดในคำอธิบายนั้น และฉินมู่ก็รีบทดลองใช้ปราณคุมกระบี่ตามเคล็ดวิชาหลังแก้ไขข้อผิดพลาด เขารู้สึกมหัศจรรย์ใจมากๆ ที่พบว่าการควบคุมกระบี่นั้นง่ายดายขึ้นและรวดเร็วขึ้น

ปรมาจารย์เยาว์ตาเป็นประกายขึ้นมา เขายิ้มกล่าว “กูลี่หนวนไม่ได้งำวิชา แต่เป็นเพราะว่าความเข้าใจของเขาจำกัด ไม่ลึกล้ำเหมือนสหาย เจ้าได้ยินมันเพียงแค่ครั้งเดียวแต่ก็กระจ่างแจ้งแทงทะลุความลึกซึ้งของเคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะ ขณะที่เขาฝึกมันมาทั้งปีชาติแต่ก็ยังเข้าใจผิดๆ”

“สหายกล่าวชมเกินไป”

ผู้ใหญ่บ้านหันไปมองฉินมู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ข้าจะไม่สอนเพลงกระบี่เจ้า แต่จะสอนท่วงท่าการใช้กระบี่หนึ่งท่วงท่า นั่นคือการแทง”

“การแทง?”

ฉินมู่ชะงัก การแทงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพียงแค่ใช้ปราณชีวิตบังคับกระบี่ให้แทงไปข้างหน้าหรอกหรือ มีอะไรต้องเรียนด้วย

“ใช้กระบี่แทงนั้นมิได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้านึกคิด แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้เพลงกระบี่ แต่ตราบเท่าที่เจ้าบรรลุความเชี่ยวชาญในท่วงท่าการแทงกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ระดับทารกวิญญาณทั่วโลกหล้า แทบจะไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้อย่างแน่นอน”

ผู้ใหญ่บ้านอธิบายต่อไป “ลองใช้กระบี่ธรรมดา ใช้ปราณคุมกระบี่ แล้วแทงเข้าไปในเสาที่หน้าร้านคนแล่เนื้อดู”

ฉินมู่ใช้เคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะ และปราณชีวิตของเขาที่หนาเท่าท่อนแขนก็คว้าจับกระบี่บินในถุงกระบี่ของเขา ให้มันพุ่งเข้าไปใส่เสาหน้าร้านของคนแล่เนื้อ

ฉึก!

ฉินมู่แทงกระบี่ทะลุเสาหน้าร้านคนแล่เนื้อ จนปลายกระบี่โผล่ไปอีกด้านของเสา เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราจึงหันไปมองผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่บ้านชะงักงัน เขารีบกระแอมไอแล้วกล่าวต่อ “งั้นลองแทงหินก้อนนี้”

ปราณชีวิตของฉินมู่ดึงกระบี่ออกจากเสาด้วยเสียงดังเคร้ง กระบี่คมกล้าแทงทะลุก้อนหินภูเขาตรงหน้าผู้ใหญ่บ้าน เด็กเลี้ยงวัวผู้นี้จึงหันไปมองด้วยสายตาไร้เดียงสายังผู้ใหญ่บ้านที่สีหน้าแข็งทื่อโดยสมบูรณ์แบบ

ปรมาจารย์เยาว์ทั้งตระหนกทั้งขำในเวลาเดียวกัน แต่เขาต้องกลั้นหัวเราะไว้เพื่อมิให้ดูไม่สุภาพ

“ข้าลืมไปว่าพลังวัตรของเด็กผู้นี้หนาแน่นเข้มข้นอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เพลงกระบี่เขาจะเซ่อซ่าขนาดไหน แต่ด้วยกำลังของปราณชีวิตที่หนาแน่นขนาดนี้ พลังการแทงของเขาก็เพิ่มพูนคูณเข้าไปหลายเท่าตัว”

ผู้ใหญ่บ้านกลบความกระดากของเขาด้วยการกระแอมไออีกสองสามที แล้วกล่าวต่อ “ทีนี้ลองแทงมีดเชือดหมูของเจ้าให้ทะลุดูซิ”

เสียงเคร้งดังขึ้นมา แต่ฉินมู่ไม่อาจแทงทะลุมีดเชือดหมูได้ในรอบนี้

โชคยังดีที่เขาแทงไม่ทะลุ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้จะสอนเขาอย่างไรแล้ว…

ผู้ใหญ่บ้านลอบถอนใจโล่งอก และชี้แนะอย่างใจเย็น “แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรตอนที่เจ้าแทงกระบี่ออกไป”

ฉินมู่ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน และทันใดนั้นตาเขาก็เป็นประกาย “ข้ารู้สึกว่าปราณชีวิตข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ เมื่อข้าใช้ปราณคุมกระบี่บิน ปราณของข้าเหมือนค้างเติ่งคาอยู่ที่ปลายกระบี่ มันเหมือนกับว่าข้ามีพละกำลังทั้งร่าง แต่ข้าต้องใช้เส้นผมเส้นเดียวไปไล่ฟาดตีผู้คน เส้นด้ายปราณชีวิตของข้า มันเล็กบางเกินไป เลยรองรับพละกำลังทั้งหมดไม่ได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version