64. ไม้เท้าเดียวพลิกทิวทัศน์
แม่น้ำฤดูใบไม้ผลิค่อยอุ่นขึ้น นับจากที่ฉินมู่และแม่นางอู๋ช่วยกันทลายเขื่อนก็ผ่านมาสิบวันแล้ว ต้นหลิวริมฝั่งน้ำกลับมาผลิใบชอุ่ม พร้อมด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นยวนใจของมวลบุปผาหลังจากคลื่นน้ำแข็งผ่านพ้น
ในใจกลางแม่น้ำนั้นเอง ฉินมู่ยั้งเท้ายืนอยู่ แต่เขาก็ไม่จมลงไปในน้ำ และเหยียบเท้าบนผิวน้ำได้ ส่งให้คลื่นกระจายออกไปจากเท้าเขาเป็นริ้วงามตา
เขาใช้ปราณชีวิตเต่าดำในการควบคุมธาตุน้ำเพื่อให้เขาสามารถยืนหยัดบนมวลน้ำได้เหมือนกับพื้นดินราบเรียบ
ชี่…
เสียงกระบี่พุ่งแหวกอากาศเสียดแทงฟ้า ฉินมู่ลองใช้ปลายนิ้วของเขาควบคุมกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ ส่งให้มันพลิกขึ้นไปข้างบน กรีดข้ามขอบฟ้า แล้วฟาดฟันลงมายังพสุธา กระบี่เคลื่อนไหวตามท่วงท่าของเขา อันกำลังฝึกท่วงท่าพื้นฐานของการใช้กระบี่อยู่
ในช่วงนี้เขาได้เรียนท่วงท่าพื้นฐานของการใช้กระบี่จากผู้ใหญ่บ้าน นอกจากการแทงแล้ว ก็ยังเรียนวิธีฟัน วาด ป้อง สะบัด ทิ่ม แย็บ เฉือน และเฉียด
แต่ว่าผู้ใหญ่บ้านก็ไม่สอนเพลงกระบี่ใดๆ ให้เขา นอกจากให้เขาฝึกท่วงท่าพื้นฐานเหล่านี้ทุกวี่วัน
ขณะที่ฉินมู่ฝึกกระบี่อยู่ เฒ่าบอดก็ยืนกุมไม้เท้าของเขานิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นอยู่ข้างแม่น้ำ
ตั้งแต่เมื่อฉินมู่แยกทางกับแม่นางอู๋ครานั้น เขาได้กลับมาบอกเล่าเรื่องราวการปลดปล่อยแม่นางอู๋ให้ผู้เฒ่าในหมู่บ้านฟัง และเมื่อเขาเล่าถึงตอนที่กล่าวถึงวัดน้อยฟ้าคำราม เฒ่าหม่ากับคนอื่นๆ ก็ห้ามมิให้เขาออกจากหมู่บ้านทันที หรือหากจะออกไป ก็ต้องมีหนึ่งในผู้เฒ่าตามไปดูแลด้วย
บนแม่น้ำหย่ง เสียงของลมอึงคะนึงขึ้นทุกคราที่ฉินมู่ปล่อยท่วงท่ากระบี่ของเขา เรียกลมเรียกคลื่นให้โหมกระพือ สิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านสอนมีแต่ท่วงท่าพื้นฐาน แต่มันปลดปล่อยพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อถูกใช้ด้วยมือฉินมู่!
ด้วยการวาดกระบี่ไปแต่ละครั้ง คลื่นก็โหม ลมก็แรง ด้วยการแทงของกระบี่ ผิวแม่น้ำก็จะปริแยกไปไกลหลายสิบวา และกรีดน้ำลึกเกือบสองวา ทำเอาปลายักษ์และสัตว์ประหลาดแม่น้ำหลีกลี้ไปไกล
ด้วยหนึ่งพลิก น้ำในแม่น้ำก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนร่วงลงมาเป็นละอองน้ำซู่ซ่า จากนั้นเขาตามด้วยการวาดกระบี่เป็นวงโค้งให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นมังกรวารีโจนทะยานไปเบื้องหน้า
แม้ว่ามันจะเป็นท่วงท่าพื้นฐานในการใช้ปราณบังคับกระบี่ พลานุภาพของท่วงท่าเหล่านั้นในมือเขาก็สูงล้ำจนน่าตระหนก
เขาได้ฝึกปรือท่วงท่าพื้นฐานเหล่านี้มากว่าสองปีแล้ว และรู้เคล็ดวิธีกระจ่างแจ้งใจ แต่ถึงกระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังไม่ยอมถ่ายทอดกระบวนท่าครบสมบูรณ์เลยสักกระบวนท่า
ทันใดนั้น ใบหูของเฒ่าบอดก็กระดิก เขาตะโกนเรียก “มู่เอ๋อ หยุดฝึกได้แล้ว มีเรือกำลังมา”
ฉินมู่เก็บกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์กลับใส่ถุงกระบี่ และเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นเรือสำเภากำลังล่องลงมาตามน้ำและตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพราะว่าสำเภาลำนั้นคือเรือลำที่กำลังวาดแผนที่ภูมิประเทศของแม่น้ำหย่ง
เขาก้าวปราดๆ สองสามที หลบหลีกเส้นทางการล่องเรือ
ล่องมาตามน้ำ ความเร็วสำเภานั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง และไม่มานานก็มาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ เสียงอุทานด้วยความทึ่งดังมาจากเรือนั้น “สามารถยืนบนน้ำได้โดยไม่ต้องเคลื่อนไหว ทั้งทักษะดีและปราณชีวิตเข้มข้นอะไรอย่างนี้”
ฉินมู่มองไปตามทิศทางเสียง และเห็นแม่ทัพฉินยืนอยู่ที่หัวเรือมองมายังเขา ข้างๆ มีหนุ่มน้อยแก้มยุ้ยถือพัดจีบ
“น้ำแข็งลึกลับจากวังมังกร!”
ฉินมู่ใจหนาวเยือกขึ้นมา เมื่อเขามองเห็นแท่งน้ำแข็งลึกลับ ในแท่งน้ำแข็งลึกลับนั้นมีลูกแก้วมังกรลอยอยู่ตรงกลาง พร้อมกับมือที่จับกำมันไว้อยู่!
เขามองเห็นเพียงแค่นี้ เพราะส่วนที่เหลือของแท่งน้ำแข็งถูกบดบังเอาไว้ด้วยกราบเรือ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าแท่งน้ำแข็งนี้มาจากที่ไหน และมือในนั้นเป็นของใคร
ประจักษ์ชัดเจนว่าเมื่อแม่ทัพและกำลังพลของเขาวาดแผนที่ภูมิประเทศแม่น้ำหย่ง พวกเขาได้ค้นพบวังมังกรใต้แม่น้ำ และเมื่อเขาสำรวจเข้าไปในวังมังกร พวกเขาคงจะได้พบกับกู่ลี่หนวนและมังกรน้อยที่ถูกผนึกไว้โดยลูกแก้วมังกร!
ในขณะนี้ มังกรน้อยน่าจะยังอยู่ในน้ำแข็ง แม่ทัพผู้นี้มิได้สังหารวิญญาณแม่มังกร และคงจะเก็บวิญญาณแม่มังกรเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้น้ำแข็งลึกลับละลาย
เป้าหมายของเขาคงเป็นมังกรน้อยที่อยู่ในน้ำแข็ง หากว่าน้ำแข็งลึกลับละลายหายไป มังกรน้อยก็คงสิ้นชีพ เขาต้องมุ่งหมายที่จะนำแท่งน้ำแข็งลึกลับนี้กลับไปยังจักรวรรดิสันตินิรันดร์เพื่อเชื้อเชิญผู้มีฝีมือมาเยียวยามังกรน้อยนี้ ดังนั้นเขาจึงยังมิได้ปลดปล่อยกู่ลี่หนวนออกมา
“นั่นเป็นเด็กที่อยู่บนยอดเขากับลิงยักษ์อสูรนี่”
หนุ่มน้อยแก้มยุ้ยกล่าวอย่างตกตะลึง “ข้าไม่นึกว่าปราณชีวิตเขาจะเข้มข้นถึงเพียงนี้ หนาแน่นแข็งแกร่งกว่าข้าอีก”
ทันใดนั้น เสียงของกู่ลี่หนวนก็ดังออกมาจากน้ำแข็ง “ข้าสัมผัสได้ถึงกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์! แม่ทัพฉินเฟยเยว่ หยุดเรือเร็วเข้า กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของข้าอยู่ใกล้ๆ นี้ เจ้าเด็กร้ายกาจที่หลอกตุ๋นต้องอยู่ไม่ไกลด้วยแน่ ๆ!”
เรือสำเภาหยุดแล่นทันที และสายตาของแม่ทัพฉินจับจ้องมายังฉินมู่ “เจ้าคือคนที่หลอกเอากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์จากผู้พิทักษ์เยาว์ขององค์รัชทายาทใช่หรือไม่”
ฉินมู่ตอบกลับไป “ก็เขาจะกินข้า ข้าก็เลยหลอกตุ๋นกระบี่เขาเสียหน่อย ในเมื่อเจ้าพาเขาออกมาจากวังมังกรได้ รบกวนเจ้าส่งฝักกระบี่เขามาให้ข้าด้วยได้ไหม มีแต่กระบี่อย่างเดียวมันไม่ครบยังไงก็ไม่รู้”
สายตาของฉินเฟยเยว่วูบไหว “ให้เจ้าน่ะนะ? นี่เป็นกระบี่ของราชสำนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เจ้า โปรดคืนกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้กับราชสำนัก”
ฉินมู่ส่ายศีรษะอย่างงุนงง “ทำไมข้าต้องคืนสิ่งที่ข้าหลอกตุ๋นมันมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของข้าด้วย”
หนุ่มน้อยแก้มยุ้ยที่ถูกเรียกว่าคุณชายเจ็ด ระเบิดหัวร่อออกมา “ฮ่าๆ ที่เด็กคนนี้พูดน่าสนใจจริงๆ”
ฉินเฟยเยว่แค่นเสียงเฮอะเย็นชา จากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าตึง “หลอกลวงข้าราชสำนักของจักรวรรดิ และหมายฮุบงำสมบัติของข้าราชสำนักจักรวรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษของเจ้าสถานหนักเพียงใด”
“แดนโบราณวินาศไม่มีราชสำนัก”
ฉินมู่ถามต่ออย่างฉงน “ในดินแดนไร้ขื่อแปแบบนี้ ใครจะมาจับข้าล่ะ”
“ปากกล้าขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเจ้ามีคนคอยหนุนหลัง”
ฉินเฟยเยว่มองไปยังฝั่งน้ำ ทันใดรูม่านตาเขาก็หรี่เท่ารูเข็ม จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผู้เยาว์ฉินเฟยเยว่ ศิษย์ของราชครูสันตินิรันดร์ แม่ทัพชั้นสี่ระดับสูงแห่งหน่วยภักดียุทธ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่ทราบว่าข้าสามารถเรียกหาผู้อาวุโสบนฝั่งด้วยนามใด”
เฒ่าบอดขยับตัวเอนพิงไม้เท้าไผ่ แล้วหัวเราะเบาๆ “ก็แค่คนตาบอด เจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรได้ล่ะ นอกจากตาแก่พิการ”
ฉินเฟยเยว่สีหน้ามืดครึ้มทันที เมื่อเขามองเลยไปและเห็นหมู่บ้านพิการชราอยู่ไกลๆ จากนั้นจึงแย้มยิ้มกล่าว “เมื่อสามปีก่อน มู่เป่ยเฝิง เจ้ามลฑลของห้าแคว้นเหมี่ยวของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เราได้นำยอดฝีมือสำนักกระบี่แม่น้ำหลี่จำนวนมากเข้ามาในแดนโบราณวินาศเพื่อทวงถามบุญคุณความแค้น ไม่นานนัก ก็มีผู้คนพบร่างของพวกเขาลอยมาตามน้ำ ข้าได้ตรวจสอบชันสูตรร่างของมู่เป่ยเฝิงและยอดฝีมือเหล่านั้น พบว่าพวกเขาถูกสังหารโดยการแทงด้วยทวน ทว่าผู้ที่แทงพวกเขามิได้ใช้ทวนจริง แต่ใช้เพียงแค่ไม้เท้าไผ่แทน ผู้อาวุโส ท่านก็ใช้ไม้เท้าไผ่หรือไม่”
ด้วยไม้เท้าไผ่ในมือเฒ่าบอด เขายิ้มแฉ่ง “คนตาบอดจะใช้อะไรได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่ไม้เท้าไผ่ ไม้เท้านี้ข้าใช้นำทางเดิน เผื่อว่าจะเผลอไปเตะหินเข้าเพราะมองไม่เห็น”
ฉินเฟยเยว่ได้ยินความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำตอบของเฒ่าบอดอันยืนยันการคาดคะเนของเขา เขาจึงยิ้มหยันแล้วกล่าว “ผู้อาวุโส ดูท่ามู่เป่ยเฝิงคงตกตายแถวๆ นี้ ข้าพูดถูกหรือไม่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเห็นเบาะแสอะไรบ้างไหมตอนนั้น”
เฒ่าบอดตอบด้วยน้ำเสียงทอดอาลัย “ตาข้าบอดอย่างนี้ ข้าจะเห็นอะไรได้ ท่านแม่ทัพ ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เป่ยเฝิงมาก่อน เขากลับต้องมาตายภายใต้น้ำมือของคนชั่วร้าย? นี่ทำให้ข้าปวดหัวใจ…เมื่อฝูงลิงร้องระเบ็งเซ็งแซ่จากแม่น้ำฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง ทิ้งให้ยอดคนและชนรุ่นหลังต้องร่ำไห้แก่พวกเขา! รวดร้าวใจอะไรอย่างนี้ น่าโศกสลดอะไรอย่างนี้!”
เขายกไม้เท้าไผ่ของตนแล้วแตะมันลงไปที่ผิวแม่น้ำอย่างแผ่วเบา
คลื่นพลันโถมขึ้นมาจากผิวแม่น้ำกว้างไพศาล ทำให้ทั้งแม่น้ำสั่นไหวสะท้านอย่างรุนแรงสองสามที่ คลื่นบนสองฝั่งแม่น้ำก็พลันพวยพุ่งขึ้นกว่าสิบห้าวาราวกับจะแยกฟ้า แม้แต่สำเภายักษ์ลำนั้นก็โคลงเคลงอย่างไร้ทิศทาง ทำให้เหล่าทหารที่อยู่บนเรือยืนกันไม่อยู่
ภายใต้แม่น้ำ มวลน้ำถูกแยกออกเป็นสองเสี่ยง เผยให้เห็นสันหลังของสัตว์ยักษ์ตัวมหึมาสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ราวกับว่าสันหลังของมันคือเกาะที่โผล่ผุดขึ้นมากลางแม่น้ำ
แม่น้ำหย่งสั่นสะเทือน ดีดสัตว์ยักษ์เหล่านี้ออกมาจากมวลน้ำ ตีลังกาหงายบนอากาศ แล้วหล่นโครมลงไปในน้ำอีกครา
ฉินมู่พลันสังเกตเห็นว่าบนตัวสัตว์ยักษ์พวกนั้นมีโซ่ล่ามพวกมันไว้อยู่ ปลายอีกด้านของโซ่ผูกโยงไว้กับเรือ ซึ่งคลายข้อสงสัยว่าทำไมเรือจึงแล่นเร็วนัก ที่แท้ก็เป็นพละกำลังการลากของสัตว์ยักษ์พวกนี้
สิ่งที่ประหลาดก็คือ ทุกตารางนิ้วของแม่น้ำเขย่าสะท้านสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง แต่เฉพาะผิวแม่น้ำใต้เท้าฉินมู่เท่านั้นที่สงบราบเรียบไม่สะเทือนแม้แต่น้อย
คุณชายเจ็ดพลันรีบยึดจับกราบเรือเอาไว้ไม่ให้ตกลงไปในน้ำ แต่ก็ยังไม่วายร้องบอกว่า ”ผู้อาวุโสเฒ่า กวีบทนี้ต้องท่องว่า ‘น่าเศร้าใจที่เขาต้องมรณาก่อนได้รับชัย ทิ้งให้ยอดคนและชนรุ่นหลังต้องร่ำไห้แก่เขา!’ ท่านท่องผิดแล้ว”
ฉินมู่ฟังแล้วอดไม่ได้ตอบกลับไป “คุณชายท่านนี้ ท่านปู่บอดหมายความว่า หากพวกเจ้าทั้งหมดพากันมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ มันถึงจะเป็นเรื่องเศร้าที่พวกเจ้าตายก่อนได้สำเร็จงานใหญ่ แต่ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนล้วนยังมีชีวิตอยู่ และพูดเอาอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากฝูงลิงที่ร้องระเบ็งเซ็งแซ่ข้ามแม่น้ำ แต่หากว่าเจ้ายังยืนยันที่จะสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องตายที่นี่ กวีของท่านปู่บอดจริงๆ แล้วเต็มไปด้วยภูมิปัญญา”
เฒ่าบอดมีสีหน้าภาคภูมิใจแล้วหัวเราะในคอ “มู่เอ๋อยังคงรู้ใจข้าดีที่สุด หากว่าเป็นเฒ่าเป๋หรือเฒ่าหนวก ตาแก่หนังเหนียวพวกนั้นคงหัวเราะเยาะเย้ยว่าข้าทำเป็นเท่”
หางตาฉินเฟยเยว่กระตุกรัวๆ กำลังฝีมือของชายตาบอดผู้นี้สูงส่งเกินความคาดหมายของเขา เคราะห์ยังดีที่ชายตาบอดเพียงแค่แตะผิวน้ำเบาๆ หากว่าเขาตวัดพลิกไม้เท้า ทั้งแม่น้ำหย่งอาจถูกพลิกกลับด้านด้วยด้วยน้ำมือเขา!
ในแท่งน้ำแข็งลึกลับ กูลี่หนวนหุบปากสนิท ดูท่าเขาคงคาดเดาความสูงล้ำของกำลังฝีมือเฒ่าบอดได้จากการที่อีกฝ่ายใช้ไม้เท้าแตะผิวน้ำ เขารู้ทันทีว่าไม่อาจตอแยเฒ่าบอดผู้นี้ และหากเขายังยืนยันจะเอากระบี่คืน คงต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
“เราจะปล่อยกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ไว้ที่นี่ไปก่อน พวกเราไป แล่นเรือ!”
ฉินเฟยเยว่ออกคำสั่ง และทหารก็พลันยกแตรเขาสัตว์ขึ้นมาเป่า เสียงอันออกมาจากแตรเขาสัตว์นั้นทุ้มลึกเป็นพิเศษ และเมื่อสัตว์ยักษ์ใต้น้ำได้ยินเสียงแตรนั้น พวกมันก็ตีแปลงมุดน้ำ น้ำในแม่น้ำผุดสูงขึ้นราวกับภูเขามวลน้ำอันสูงกว่าพื้นน้ำใด เมื่อมันลากเรือสำเภานั้นแล้วแล่นรี่ลงไปทางปลายน้ำ!
“แม่ทัพฉิน ไม่ใช่ว่าท่านกำลังถามชายตาบอดผู้นั้นหรอกหรือว่าใครเป็นคนสังหารมู่เป่ยเฝิง ทำไมยังไม่ทันได้คำตอบท่านก็ไปซะแล้ว” คุณชายเจ็ดโผล่หัวมาจากเหล่านางกำนัลที่ห้อมล้อมเขาอยู่และถามอย่างฉงน
“คุณชาย ข้าได้รับคำตอบแล้ว”
แม่ทัพฉินแค่นเสียง “มู่เป่ยเฝิงตายในน้ำมือของชายตาบอดเมื่อครู่ ทวนเทวะผู้เกรียงไกรกลับตกต่ำกลายเป็นชายตาบอดที่จับเจ่าในหมู่บ้านเล็กๆ! แล้วจะยังมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อนคนอื่นๆ เร้นกายอยู่กับเขาด้วยหรือไม่ ข้าไม่สามารถรับมือกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องกลับไปขอกำลังหนุน!”
เกราะของเขาพลันกระทบกันโกร่งกร่าง และประกายในดวงตาก็ฉายแสงกล้าประดุจหอกดาบ “ภายใต้ฟากฟ้าผืนนี้ ทุกที่คือแผ่นดินของจักรพรรดิ ประชาชนทุกคนบนผืนแผ่นดิน ล้วนแต่เป็นไพร่ฟ้าของจักรพรรดิ แดนโบราณวินาศก็เป็นดินแดนของราชสำนัก หากใช่แดนเถื่อนไร้กฎหมาย! มู่เป่ยเฝิงเป็นขุนนางข้าราชสำนัก ไฉนจะปล่อยให้เขาตายในแดนรกร้างโดยไม่ทวงถาม หมู่บ้านแห่งนี้ต้องถูกรื้อทำลายให้สิ้นซากเพื่อสำแดงแสนยานุภาพของจักรวรรดิและท่านราชครู ประกาศความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิให้ลือชาไปในแดนโบราณวินาศ!”
“น่าประทับใจจริงๆ”
มีเสียงพลันสอดวาจาขึ้นมา ทำแม่ทัพฉินหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง เขาเหลียวกลับไปอย่างยากเย็น และเห็นชายพิการขาขาดมาปรากฎอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ ชายเป๋ผู้นั้นเอนตัวพิงกราบเรือด้วยรอยยิ้มสัตย์ซื่อ
หางตาฉินเฟยเยว่กระตุกอีกหลายที ร่างของเฒ่าเป๋หายวับไปวูบ จากนั้นโผล่มาประชิดติดหลังเขา เขามองไม่เห็นสักนิดว่าชายขาขาดผู้นี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร!
หน้าผากของฉินเฟยเยว่หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ มือเขากุมที่ด้ามกระบี่ แต่เขาไม่กล้าขยับเลยแม้แต่นิด
“นี่ราชครูรู้หรือเปล่าว่าเจ้าทะเยอทะยานขนาดนี้”
เฒ่าเป๋โน้มตัวลงไปดูแผนที่ภูมิประเทศแม่น้ำหย่งบนเรือจากนั้นหัวร่อขึ้นมา “ราชครูวางแผนจะส่งกำลังพลเข้ามาในแดนโบราณวินาศเลยส่งเจ้าเข้ามาวาดแผนที่แม่น้ำหย่งหรือนี่ เคะๆ โอ้ มังกรน้อยตัวนี้น่าสงสารเสียจริง เอ๋? กู่ลี่หนวน ทำหน้าบูดอะไรแบบนั้นล่ะ? ข้าแค่จะเอาฝักกระบี่เจ้าไปสักหน่อย เอ๊ะ ธงของเจ้าก็ไม่เลว เอาไปด้วยล่ะกัน…น้องชายผู้นี้ จี้หยกของเจ้าดูดีทีเดียว พัดนี่ก็ใช้ได้… บ๊ะ บ๊ะ! ที่แท้เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง? ซวยอะไรอย่างนี้!”
ทันใดนั้น ฉินเฟยเยว่ก็เห็นช่องโหว่เล็กน้อยของเฒ่าเป๋ เขาพลันหันกายกลับชักกระบี่ฟาดฟันลงไป ทว่าชายขาเดียวข้างหลังเขาหายวับไปเรียบร้อยแล้ว!
เสียงของชายขาเดียวหัวเราะดังมาไกลหลายลี้ “เจ้ากลับไปบอกราชครูว่าให้เก็บขาข้าไว้ดีๆ อย่าทำหายเสียล่ะ เพราะวันนึงข้าจะตามไปทวงมันคืน!”