65. กลิ่นหอมหวานของโบตั๋น
“แย่ล่ะ ตราขุนนางชั้นสี่ของข้า!” ฉินเฟยเยว่สีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และรีบตบหาข้าวของตามเอวของเขา ตราขุนนางชั้นสี่ที่เขาห้อยไว้ข้างเอว หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำเหงื่อเย็นไหลโซมหน้าผาก
การทำตราขุนนางหายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ในเมื่อเขาเป็นลูกศิษย์ของท่านราชครู ก็ยังพอระงับเรื่องราวไม่ให้ขยายวงได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาขนหัวลุกยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าชายเป๋ผู้นั้นขโมยตราขุนนางเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหากว่าชายเป๋มิได้แค่ขโมยตรา แต่ใช้มีดเสียบหัวใจเขาแทน…
เขาตัวสั่นเทาจากความคิดนั้น
ใบหน้าของคุณชายเจ็ดกลับกลายเป็นแดงฉานจากความอับอาย เขากอดหน้าอกของตัวเองแน่น และสั่งนางกำนัลรับใช้ในวังให้เข้ามาล้อมรอบเขาไว้มิให้ใครเข้าใกล้ได้
เมื่อเฒ่าเป๋ลักเล็กขโมยของจากเนื้อตัวของเขา เฒ่าเป๋ก็พบว่า ‘เขา’ ที่แท้ก็คือเด็กสาว เมื่อขโมยได้เสื้อชั้นในผู้หญิงไป
เฒ่าเป๋ถือว่าการแตะเนื้อต้องตัวสตรีระหว่างที่เขาลักขโมยนั้นเป็นข้อห้ามถือสา นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาชะงักจนเปิดช่องว่าง และฉินเฟยเยว่ก็ใช้ช่องว่างนั้นโจมตีเขา ทำให้เขามีโอกาสเพียงแค่หลบหนีออกไปเท่านั้น
“ชายขาเดียวผู้นี้คือโจรเทวะที่ลอบย่องเบาเข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อขโมยห่วงหยกจักรพรรดิ จอมโจรขโมยสวรรค์!”
ฉินเฟยเยว่ระงับความตะหนกในใจ เมื่อเห็นว่าคุณชายเจ็ดยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ปล่อยลมถอนใจด้วยความโล่งอก “คุณ…คุณชายต้องตระหนกแล้ว เพราะข้าไร้ความสามารถ…”
กู่ลี่หนวนในน้ำแข็งลึกลับยิ่งแตกตื่นกว่า ชายขาเดียวผู้นั้นถึงกับสามารถหยิบฉวยเอาฝักกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ไปจากร่างของเขา!
ไม่เพียงเท่านั้น ธงดำในมือเขาอีกข้างยังถูกชายขาเดียวนั่นขโมยไปอีก!
ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งลึกลับ เขารู้ดีว่าน้ำแข็งลึกลับนี้แข็งแกร่งและเยือกเย็นเพียงใด แม้แต่ยอดฝีมือระดับเขายังถูกแช่เอาไว้และไม่อาจหลบหนีไปได้ เมื่อฉินมู่หลอกตุ๋นกระบี่ของเขา เขารีดเร้นพลังปราณจนหมดตัวเพียงเพื่อส่งกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกจากน้ำแข็งลึกลับ
แต่ทว่า ชายขาพิการผู้นี้กลับหยิบฉวยสิ่งของโดยแผ่วเบา โดยไม่สนใจน้ำแข็งลึกลับ ราวกับว่าเป็นมือผีสางที่กวาดเอาฝักกระบี่และธงของเขาไป!
“ใต้เท้ากู่ ชายขาเดียวผู้นี้เคยลอบเข้าไปในวังหลวง และบุกรุกคลังสมบัติของจักรวรรดิภายใต้จมูกของยอดยุทธนับไม่ถ้วน ซ้ำยังมีกับดักจำนวนไร้ประมาณในคลังสมบัติ ขนาดนี้เขายังคงขโมยห่วงหยกจักรพรรดิไปได้โดยไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้ง”
ฉินเฟยเยว่กล่าวต่อ “โชคยังดี ที่ท่านราชครูขัดขวางเขาไว้ และตัดขาเทวะเขาไปได้ข้างหนึ่ง แต่กระนั้น ท่านราชครูก็มิอาจยับยั้งเขาไม่ให้หลบหนีไปพร้อมกับห่วงหยกจักรพรรดิได้ สุดท้ายเขาก็หายไปโดยไร้ร่องรอย”
กู่ลี่หนวนช็อกจนพูดไม่ออก สักพักเขาจึงได้สติ แล้วเอ่ยถาม “ขนาดขาขาดไปข้างหนึ่ง เขายังหนีหายไปโดยไร้ร่องรอยได้อีก? ความสามารถเยี่ยงนี้เพราะเขาใช้มือเทวะหรือขาเทวะ?”
ทันใดนั้น เสียงสัตว์ยักษ์ก็ดังก้องมาจากทางหน้าเรือ ฉินเฟยเยว่ตื่นตระหนกและรีบวิ่งรี่ไปทางหัวเรือ ม่านตาเขาหรี่หดอย่างไม่อาจควบคุมได้เมื่อเขาเห็นใยแมงมุมขึงกางขวางทางเดินเรือเอาไว้ ระเกะระกะไปในคุ้งน้ำเป็นสิบลี้!
สัตว์ยักษ์ซึ่งกำลังลากเรืออยู่ ชนเข้าไปติดกับใยแมงมุมจนสลัดไม่หลุด ไม่ว่ามันจะดิ้นรนมากแค่ไหน แม่น้ำพลักแยกปริออกเห็นแมงมุมตัวมโหฬารปีนไต่ออกมาจากใต้แม่น้ำ ลากสัตว์ยักษ์ที่ติดอยู่บนใยของมันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ระหว่างที่ปากมันพ่นใยเสริมเข้าไปอีก จนกระทั่งมันฝังเขี้ยวลงไปในร่างสัตว์ยักษ์ลากเรือได้ในที่สุด
ทหารจำนวนมากพยายามใช้ปราณคุมกระบี่บิน และใช้วิชาเทวะต่าง ๆ เพื่อโจมตีแมงมุม แต่ไม่อาจบีบให้มันล่าถอยไปได้ กระทั่งใยสักเส้นก็ยังตัดไม่ขาด!
ไม่นานนักสัตว์ยักษ์นั้นก็ตัวสั่นเทิ้ม ร่างของมันแห้งเหี่ยวจนเหลือแต่หนังว่างเปล่า
ฉินเฟยเยว่ก็ตัวสั่นไม่แพ้กัน กระทั่งมือเขาที่กุมกระบี่วิเศษอยู่ก็สั่นเทาไม่หยุด เขาอยากจะฟันไอ้แมงมุมนี่ให้ตายๆ ไป แต่ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว
เขาเห็นนักปรุงยาในชุดเขียว ยืนถือตะกร้ายาอยู่บนฝั่งน้ำ นักปรุงยาผู้นั้นดูธรรมดาสามัญแต่โฉมหน้าของเขาถูกทำลายจนมองไม่ออกว่าไหนปากไหนจมูก ทำให้ดูชั่วร้ายอัปลักษณ์
นักปรุงยาโบกมือของเขา จากนั้นแมงมุมยักษ์ก็เริ่มม้วนดึงใยของมันเก็บคืน จากนั้นมันก็ไต่ไปตามใยจนกระทั่งคืบคลานไปหานักปรุงยา ร่างของมันย่อเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหดลงเหลือเพียงจุดเล็กๆ มุดหายเข้าไปในตะกร้ายาในมือเขา
เมื่อไม่มีใยแมงมุมขวางกั้นแล้ว เรือก็ล่องลงไปตามน้ำเช่นเดิม ฉินเฟยเยว่ได้ยินเสียงเบาบางล่องลอยมาข้างหูของเขา “บอกราชครูให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะมารังควาญแดนโบราณวินาศ ระวังตัวอย่าเผลอตอแยพวกเราผู้เฒ่าพิการชราเข้าล่ะ…”
เสียงของกู่ลี่หนวนสั่นสะท้านมาจากภายในแท่งน้ำแข็งลึกลับ “นั่น…นั่นคือ ราชาพิษ…”
ฉินเฟยเยว่พยายามระงับหัวใจที่เต้นแทบหลุดจากอกของตนเอง แล้วกล่าว “ทหารทุกนายรับคำสั่ง ยกใบพายขึ้นแล้วพายกลับไปสันตินิรันดร์!”
หลังจากแล่นไปได้สักสองสามลี้ ทหารนายหนึ่งก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงสั่น “ท่านแม่ทัพฉิน มีคนอยู่บนแม่น้ำ!”
ฉินเฟยเยว่กัดฟันกรอด หน้าเขาดำคร่ำเครียดราวกับถ่าน “มารปีศาจที่ไหนบังอาจขวางเรือข้า พวกมันคิดว่าข้ารังแกง่ายนักหรือไง ชนมันให้ตาย…”
กล่าวได้ครึ่งประโยค เขาก็พบว่าชายที่อยู่บนแม่น้ำมีเพียงร่างครึ่งท่อนบน ไม่รู้ว่าใครตัดฟันครึ่งท่อนล่างของเขา
ชายประหลาดผู้นั้นถือมีดใหญ่โตหน้าตาพิลึก ขณะที่ตั้งตัวนิ่งอยู่บนแก่งหิน
และทันใดนั้น แสงมีดก็ฉีกทึ้งท้องฟ้าสะเทือนพสุธา ฉินเฟยเยว่มองขึ้นไปเบื้องบนก็เห็นมวลหมู่เมฆถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงจากรังสีมีดนี้!
รังสีมีดฟาดลงมา ฟันพุ่งใส่เรือสำเภาทันใด!
ซู่มมม
มวลน้ำในแม่น้ำหย่งแยกออกเป็นสองเสี่ยงด้วยมีดเดียว!
“สมบัติเทวะเจ็ดดาว ปลุกพลัง!”
ฉินเฟยเยว่ตะโกนคอเป็นเอ็น สมบัติเทวะในร่างของเขาเปิดออกทีละอันทีละอัน ทำให้ปราณชีวิตอันกร้าวแกร่งของเขาพวยพุ่งออกมาเป็นมังกรยักษ์สองตัวขนาบสองข้างเรือ ยกเรือย้ายไปข้างๆ ระยะไกลร้อยห้าสิบวา!
แสงมีดเฉียดข้างลำเรือ มันยังคงแหวกผ่าแม่น้ำต่อไป และสิ้นสุดลงเมื่อชายประหลาดผู้นั้นเก็บมีดไว้คืนที่กลางหลังของเขา
“ฮี่ๆ สู้กะศิษย์ของราชครูนี่ไม่สนุกสักกะติ๊ด ถ้าได้ปะทะกะราชครูก็ว่าไปอย่าง…”
ชายประหลาดบนแก่งหินกลางน้ำเก็บมีดของเขา ใช้มือยันแก่งหินนั้นผลักร่างให้ลอยละลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า เหาะหายไปโดยไร้ร่องรอย
ฉินเฟยเยว่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะบังคับขาเขาไม่ให้สั่น และตะโกน “บังคับเรือให้ดี บังคับเรือให้ดี…”
เสียงของเขาสั่นเทิ้มจนแม้กระทั่งเขาเองก็แทบไม่ได้ยินว่าตนเองกำลังพูดอะไร เขาทรุดตัวลงไปนั่งเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่กระนั้นห้วงคิดของเขาก็ยังปั่นป่วนเหมือนพายุ
กูลี่หนวนกลัวแทบตายเสียยิ่งกว่าเขา เสียงของกูลี่หนวนสั่นสะท้าน “ดาบสวรรค์! นั่นมันดาบสวรรค์ที่เคยยกดาบชี้ฟ้าท้าทายสวรรค์ และตกตายในน้ำมือของเทพเจ้า ที่แท้เขายังมีชีวิตอยู่…”
สีหน้าของฉินเฟยเยว่ไม่อาจสงบระงับได้อีกต่อไป “ทำไมหมู่บ้านเล็กๆ รกร้างในแดนโบราณวินาศแบบนี้ถึงมีแต่ปีศาจเฒ่าซุ่มซ่อนอยู่? ทวนเทวะ ดาบสวรรค์ โจรเทวะ ราชาพิษ…นอกจากคนพวกนี้แล้ว จะยังมียอดฝีมือที่ไหนเร้นกายในหมู่บ้านอยู่อีกหรือไม่..”
เขาหันไปมองแผนที่ภูมิประเทศของแดนโบราณวินาศ จากนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อแผนที่ที่เขาอุทิศหยาดเหงื่อแรงงานจัดทำมันขึ้นมายังอยู่ดีบนเรือ ผู้คนร้ายกาจพวกนั้นไม่ได้ทำลายแผนที่ภูมิประเทศแม่น้ำหย่ง
“ไม่ใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นเขาก็ตื่นรู้ขึ้นมา ผู้คนร้ายกาจเหล่านั้นไม่ทำลายแผนที่ภูมิประเทศแม่น้ำหย่ง มิใช่เพราะพวกเขาทำไม่ได้ แต่เพราะมันไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขา
ปีศาจเฒ่าพวกนั้นมั่นใจว่าแม้เขาจะนำแผนที่ภูมิประเทศกลับไปได้ ราชครูก็ไม่กล้าเข้ามาในแดนโบราณวินาศ!
“ทำไมพวกเขาไม่สังหารพวกเรา” คุณชายเจ็ดที่แต่งตัวแบบเด็กผู้ชายเอ่ยถาม
“พวกเขาคงไม่คิดว่าเรามีค่าคู่ควรพอให้ลงมือ”
ฉินเฟยเยว่ตอบอย่างระทดระท้อ “พวกเขาไม่คิดจะสังหารพวกเราให้เสียมือ เพราะความสามารถของพวกเราต่ำต้อยเกินจะอยู่ในสายตา…”
ใจของเขาขมขื่น ในฐานะศิษย์ของท่านราชครู เขารู้สึกว่าตนสูงส่งเหนือใครมาตลอด ชื่อเสียงเขาก็สูงล้ำโด่งดังไปทั่วทุกวงสังคม เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะพบพานกับยอดยุทธฝีมือเซียนจำนวนมากมายขนาดนี้เพียงการเดินทางหนเดียวมายังแดนโบราณวินาศ ความยโสลำพองที่เขาเคยมีมาป่นปี้แทบไม่เหลือ
ตอนแรกที่เขาพบพานเฒ่าบอด เขายังพอมีความหยิ่งลำพองในตัวอยู่ แม้ว่าจะตกตะลึงกับมหิทธานุภาพของเฒ่าบอด แต่ความถือตัวมั่นใจของเขาก็ยังไม่จางหาย แต่ทว่าเมื่อเขาพบพานเฒ่าเป๋ผู้ไร้ร่องรอย นักปรุงยาผู้เยียบเย็น คนแล่เนื้อผู้เถื่อนร้าย ความถือตัวมั่นใจของเขาก็หายวับไปเป็นจุณวิจุณจากความแตกตื่นที่เขาได้รับอย่างต่อเนื่อง ทิ้งไว้ก็แต่ความหวาดกลัว
“ไม่มีสิ่งใดที่หยุดยั้งท่านราชครูได้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายขวัญท่านราชครูได้!”
เมื่อฉินเฟยเยว่นึกถึงอาจารย์ของเขา ราชครูสันตินิรันดร์ ความกระสับกระส่ายใจของตนก็ลดทอนลง สายตาของเขาเข้มขึ้นเมื่อเขาพึมพำกับตนเอง “หากพวกตาแก่ในแดนโบราณวินาศหมายจะเป็นตั๊กแตนขวางรถ พวกเขาก็จะต้องแหลกเละตายอย่างน่าสังเวช!”
เรือสำเภาล่องลงไปตามน้ำ ทันใดนั้นฉินเฟยเยว่ก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ที่เวิ้งน้ำนี้ก่อนหน้ายังมีเกาะสูงลิ่วกลางน้ำ อันมีวัดโบราณตั้งอยู่บนยอด แต่ขณะนี้ทั้งเกาะตะปูนั้นกลับหายสาบสูญไปไม่เหลือซาก!
ตอนที่เห็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่าวัดนั่นมีอะไรแปลกๆ แต่ไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ อย่างไรก็ดีเขาได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ขากลับวัดนี้ก็หายไปเสียแล้ว
“เนตรปลุกพลัง!”
ฉินเฟยเยว่คำรามเสียงต่ำ และเปล่งแสงออกจากดวงตา เมื่อมองลงไปในน้ำ เขาก็อึ้งไป เกาะตะปูยังคงอยู่ที่นี่ แต่มันถูกฤทธานุภาพของอะไรบางอย่างกดมันจนตอกปักจมลงไป และวัดโบราณก็อยู่ใต้น้ำนั้น
“แดนโบราณวินาศ…”
เขาสงบใจลงและสั่งให้เหล่าทหารเร่งใช้ปราณชีวิตพายเรือให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะออกจากสถานที่ผีสางแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาพายเรือจากไป แม่น้ำก็แยกปริออก และพุทธรูปทองแดงก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับโซ่อันมัดพันอยู่รอบๆ ตัวเขา แม้ว่าพุทธรูปทองแดงจะหนักเป็นตันๆ แต่เมื่อมันเหยียบผิวน้ำยืนอยู่ ก็ดูเหมือนว่ามันเบาเท่าขนนก
พวกปีศาจเฒ่าหมู่บ้านพิการชราแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว จะจัดการพวกเขาคงไม่ง่ายนัก…
พุทธรูปทองแดงมองไปยังทิศทางหมู่บ้านพิการชรา ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายกำลังไปยังขาของเขา วิ่งขึ้นฝั่งและยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
“ขโมยกุศลผลบุญของข้า! ข้าตามกัดไม่ปล่อยแน่! แต่ในเมื่อราชครูสันตินิรันดร์เริ่มจะอยู่ไม่สุขและหมายจะเข้ามาในแดนโบราณวินาศ ข้าก็จะปล่อยให้สุนัขพวกนี้กัดกันไปก่อน! ไว้เมื่อพวกมันต่อสู้ดุเดือดล้มตายกันเมื่อไหร่ วัดฟ้าคำรามของข้าก็จะเข้ามาฉวยพุงปลามันเสีย!”
ในหมู่บ้านพิการชรา ฉินมู่พบกับเฒ่าเป๋ที่เดินเข้ามาหาและโยนของบางอย่างให้เขา ฉินมู่เอื้อมมือรับไว้และพบว่ามันคือฝักกระบี่ของกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์
ฉินมู่ยืนงงเต็กไปครู่หนึ่ง และกำลังจะอ้าปากถามว่าเฒ่าเป๋ได้สิ่งนี้มาจากที่ไหน แต่เฒ่าเป๋ก็ยัดของอีกอย่างลงในอกเสื้อฉินมู่เสียก่อน
ฉินมู่ดึงมันออกมาแล้วเพ่งพิศ มันคือผ้าสีขาวครีมที่ปักลายดอกโบตั๋นไว้สามดอก มันยาวประมาณหนึ่งคืบ และมีเชือกคาดทำจากริบบิ้น ทั้งยังมีกลิ่นหอมหวาน
“ท่านปู่เป๋ นี่คืออะไรหรือ” ฉินมู่ถามอย่างฉงน
รอยยิ้มบนใบหน้าเฒ่าเป๋ฝืดค้างทันที ก่อนเขาตอบไปส่งๆ “ผ้าเช็ดเหงื่อ ไว้เช็ดเหงื่อตอนเจ้าทำงานหนักไง ซวยจริงๆ ทำไมข้าต้องไปแตะโดนของอะไรแบบนี้ด้วย แตะมันหนึ่งทีโชคร้ายไปสามปี…”