68. ต่อสู้ทะลุตรอก
แม้เหรียญมังกรจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่จำนวนสามพันหกร้อยเหรียญนับว่าเต็มถุงล้นมือและหนักกว่าสิบชั่ง ฉินมู่เหวี่ยงถุงเหรียญนั้นแขวนห้อยที่ด้ามมีดเชือดหมูของเขาและอุทานในใจ “คุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ยนี่ใจป้ำจริงๆ”
ตาของคุณชายเจ็ดลุกวาวเมื่อมองเห็นมีดเชือดหมูที่หลังของฉินมู่ “หากเจ้ายอมขายมีดของเจ้า ข้าให้ราคาดีกว่านี้อีกนะ!”
ฉินมู่ส่ายหน้า “มีดของข้าดีเด่กว่าหม้อพวกนั้นตั้งเยอะ ข้าไม่ขายหรอก”
“ก็จริง เพียงแค่วัสดุที่ใช้หลอมตีมีดของเจ้าก็เหนือล้ำกว่าวัสดุของหม้อพวกนี้ไปหลายขุม”
คุณชายเจ็ดส่งหม้อให้กับผู้ติดตามข้างหลังเขาแล้วยิ้มกล่าว “หม้อเหล่านี้ถูกสร้างโดยผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ พวกมันเป็นอาวุธวิญญาณที่มีทั้งหมดสามสิบหกชิ้น ดังนั้นจึงเรียกว่าหม้อสามสิบหกดาวสวรรค์ ซึ่งสามารถใช้จัดเรียงพยุหะค่ายกลเจ็ดดาวผลาญมารปีศาจได้ แม้ว่ามันจะแตกบิ่นไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีฤทธานุภาพ จริงๆ หม้อพวกนี้ไม่ได้มีประโยชน์ใช้สอยอะไรสำหรับข้า แต่ข้าแค่คิดจะนำหม้อจากแดนโบราณวินาศนี้ไปขายให้กับพวกลูกขุนนางชนชั้นสูงเพื่อทำกำไรเสียหน่อย ข้าเคยเห็นหม้อสามสิบหกดาวสวรรค์มาก่อน ดังนั้นข้าจึงจำมันได้ สายตาเจ้าดูจะคมกล้าเหนือธรรมดา หรือว่าเจ้าเคยเห็นมันมาก่อนเหมือนกัน”
ผู้ติดตามข้างหลังเขากระแอมไอเบาๆ “คุณชายเจ็ด ตอนนี้ท่านปลอมตัวออกท่องเที่ยว ดังนั้นที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก”
คุณชายเจ็ดรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันที “พวกเจ้าไม่ตามคุมข้าเยอะไปหรือ ข้าออกมาเที่ยวเลยไม่สนุกเลย!” หลังจากที่เขาบ่นฮึ่มฮั่ม เขาก็ส่ายหัวแล้วแยกจากไป
ฉินมู่เห็นว่าตอนที่คุณชายเจ็ดอยู่กับฉินเฟยอวี้ ฉินเฟยอวี้นอบน้อมต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นฐานะเขาย่อมเหนือธรรมดา จึงไม่แปลกที่ผู้ติดตามเหล่านั้นไม่อยากให้เขาตกอยู่ในอันตราย
ขณะที่เขาก็กำลังจะจากไปเช่นกัน เจ้าของแผงที่ขายหม้อเหล่านั้นให้เขาพลันคว้าจับชายเสื้อเขาแล้วร้องดังลั่น “อย่าเพิ่งไป! หม้อของข้ามีค่าตั้งสามพันกว่าเหรียญมังกร แต่เจ้ายังคิดซื้อมันด้วยเหรียญเดียว? เจ้าต้องชดใช้ข้า!”
เขาพยายามจะคว้าถุงเหรียญของฉินมู่หลังจากกล่าวเช่นนั้น
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ทันใดนั้น ขนหัวเขาก็ลุกซู่เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้เขาในตรอกนั้น พลิกแขนเสื้อเผยให้เห็นอาวุธพิสดาร ดูเหมือนมีดโค้งสองอันที่วางประชิดติดกันดูคมกริบ
คนผู้นั้นคว่ำฝ่ามือลง อาวุธพิสดารนั้นยังแตะอยู่ที่มือของเขาไม่ร่วงลงพื้น กลับกันมันเริ่มหมุนติ้วและพุ่งเข้ามาเฉือนใส่คอของฉินมู่!
ปราณชีวิตฉินมู่พลันแผ่พุ่งไปที่ปลายเท้าของเขา และสะกิดถอยอย่างทันด่วน เจ้าของแผงกำลังจะคว้าถุงทองของเขาแต่ฉินมู่ถอยปราดไปหลายวา
แสงสะท้อนจากคมมีดแปลบปลาบ ชายผู้นั้นเหมือนกับเงาตามตัวเกาะติดฉินมู่ มีดประหลาดในมือเขาเฉือนขึ้นฟันลงไม่หยุด ฉินมู่รีบเหลือบแลดูและเห็นเส้นด้ายเชื่อมต่อกับมีดประหลาดนั้น ข้างๆ มีดประหลาดคือมีดสองคมอันมีด้ามอยู่ระหว่างสองคมนั้น ซึ่งมีเส้นด้ายละเอียดจากมีดเชื่อมต่อเข้ามา
ใช้เส้นด้ายด้วยปราณ และใช้ปราณควบคุมมีด? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ!
ผู้ฝึกยุทธผู้นี้มีวิชามีดพิลึกพิลั่น ท่าเท้าเขาก็ลื่นคล่องเหมือนปลาไหลอันมุดไปรอบๆ ด้วยวิชาหลักของเขาเป็นวิชามีด การจู่โจมของเขาจึงอันตรายเป็นพิเศษในตรอกแคบๆ นี้ แสงมีดขาวปานหิมะฟาดเฉือนเป็นวงริ้ว และพละกำลังในมีดก็ไม่ใช่เล่นๆ
ในขณะเดียวกัน ฉินมู่ก็เห็นคนผู้อื่นที่เริ่มจะคันไม้คันมือเช่นกัน เมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืนตระเตรียมลงมือทีละคนสองคน
เห็นได้ชัดว่าถุงเหรียญถุงนี้ได้กระตุ้นความโลภในใจคน!
เหรียญมังกรมากกว่าสามพันเหรียญนับว่าเป็นโชคลาภก้อนใหญ่ ใหญ่พอที่จะทำให้ผู้คนกล้าฆ่าฟันแย่งชิง!
ข้าต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด!
ฉินมู่ยั้งเท้าทันใด และปราณชีวิตของเขาก็พวยพุ่งเข้าไปในหมัดด้วยปริมาณเหลือคณา
เท้าของเขาเคลื่อนไหวตามปราณชีวิตอันอัดเข้าไปในแขนทั้งสองข้างส่งผ่านปลายนิ้วทั้งหลาย เขางอนิ้วรวบแล้วดีดมันออกไปราวลูกธนูพุ่งจากแล่ง เมื่อมือของเขาปะทะกับมีดประหลาดนั้น!
ฟ้าคำรามแปดจู่โจม กระบวนท่าที่สอง นิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้!
เคร้ง
นิ้วแรกของเขาดีดออกไป พลังอันแฝงอยู่ในนิ้วสร้างเสียงหวีดหวือรุนแรง ดีดใบมีดที่หมุนอย่างรวดเร็วนั้นกระเด็นออกไป นิ้วที่สองดีดออก ปราณชีวิตของผู้ฝึกยุทธผู้นั้นก็ถูกฉีกทำลาย
ฉินมู่ดีดนิ้วที่สาม และยิงพลังดรรชนีใส่ฝ่ามือของผู้ฝึกยุทธ เขาร้องความเสียงอันดังเมื่อใจกลางฝ่ามือมีรูโบ๋โชกเลือดปรากฏขึ้นมา
ทุกดรรชนีของฉินมู่แฝงไว้ด้วยพลังปราณอันเข้มข้น แม้ว่าปราณชีวิตของเขาจะมิอาจปลดปล่อยพลังได้แบบปราณชีวิตพยัคฆ์ขาว แต่มันก็หนาแน่นเข้มข้นเป็นพิเศษ และเมื่อรวมกับพลังกายอันน่าตระหนกของเขาแล้ว เพียงสามดรรชนีก็สามารถสลายการโจมตีของศัตรูได้ จากนั้นเขาจึงรวบหมัดกำ แล้วต่อยใส่กลางอกผู้ฝึกยุทธนั้นอย่างเต็มรัก
ร่างของผู้ฝึกยุทธถูกห่อหุ้มด้วยพลังหมัดกระแทกกระเด็นถอยไป
สายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพา!
เท้าของฉินมู่ส่งกำลังถีบตัวแล้วพุ่งวาบไปเบื้องหน้าศัตรู ก่อนที่อีกฝ่ายจะร่วงลงสู่พื้นเสียอีก สายตาของผู้ฝึกยุทธผู้นั้นแสดงความหวาดผวา ทว่าเขาลอยลิ่วอยู่กลางอากาศไม่อาจป้องกันต่อตี
ในจังหวะนั้นเอง ผู้ฝึกยุทธอีกสองคนจากสองฝั่งตรอกเห็นฉินมู่พุ่งเข้าไปใส่ผู้ฝึกยุทธคนแรก พวกเขาก็ตาลุกวาว โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเขาสะกิดเท้าพุ่งตัวเข้าโจมตีฉินมู่ในทันใด
ปัง!
ปัง! ปัง!
แต่ก่อนที่ผู้ฝึกยุทธทั้งสองจะทันได้ปลดปล่อยกระบวนท่า พวกเขาก็เห็นหมัดของฉินมู่พลันขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ราวกับว่ามังกรดินดุร้ายอาละวาดฟาดใส่หน้าของพวกเขา ศีรษะของทั้งคู่ถูกกระแทกพลิกกลับหลังพุ่งไปจมในกำแพง เหลือแต่ร่างต่ำจากคอที่โผล่ห้อยออกมาจากกำแพงเท่านั้น!
กำแพงเองก็ร้าวเป็นรอยใยแมงมุมจากแรงปะทะ
ผู้ฝึกยุทธที่ถูกฉินมู่ต่อยเข้ากลางอก ถูกซัดไปอีกกำปั้น หมัดนี้ยังร้ายกาจยิ่งกว่าหมัดแรก กระแทกเขาปลิวไปข้างหลังด้วยความเร็วสูง
ในตรอกเล็กๆ นั้น เงาร่างคนขยับวูบวาบไปมาพร้อมกับมีเสียงปังๆ ดังอย่างต่อเนื่อง คุณชายเจ็ดและเหล่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่ยังคงก้าวเดินไม่พ้นตรอกก็ได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง พวกเขาเหลียวกลับไปดูและมีสีหน้าแตกตื่น
ผู้ฝึกยุทธที่ถูกซัดเป็นหมัดที่สามปลิวหวือไปทางคุณชายเจ็ด ผู้ฝึกวิชาเทวะที่คุ้มกันอยู่ขมวดคิ้วและเตรียมจะลงมือ แต่คุณชายเจ็ดแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องทำอะไร พวกเราหลบเขาล่ะกัน”
พวกเขาได้ยินดังนั้นถอยหลบทางการต่อสู้ และเห็นว่าฉินมู่ตามมาติดๆ หลังผู้ฝึกยุทธนั้น หมัดของเขาบ้าคลั่งเหมือนสายฟ้า ผสานผสมทั้งความกร้าวแกร่งและความยืดหยุ่น และเมื่อหมัดสุดท้ายสิ้นสุด ผู้ฝึกยุทธนั้นก็ถูกซัดปลิวออกมาจากตรอก ไปปะทะคากำแพงฝั่งตรงข้าม
กำแพงนั้นแตกหักจากก้นของผู้ฝึกยุทธ และร่างของเขาก็ติดแหง็กอยู่ในผนัง แขนขาเขาห้อยไร้เรี่ยวแรงไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ข้างหลังฉินมู่ ผู้ฝึกยุทธมากกว่าสิบคนก็ถูกฝังจมกำแพงเหลือร่างครึ่งค่อนห้อยออกมา ด้วยแขนขาอ่อนล้าของพวกเขา ไม่สามารถผลักยันตนให้หลุดจากกำแพง
“ฝีมือดี!”
ผู้ฝึกวิชาเทวะสองสามคนนั้นอุทานด้วยความทึ่ง หนึ่งในนั้นกระซิบพูด “คุณชาย คนผู้นั้นวิ่งตะบึงราวกับคลื่นคลุ้มคลั่งที่โถมซัดฟาดท้องฟ้า นี่เป็นวิชาบู๊ที่แข็งแกร่งอัศจรรย์ประเภทหนึ่ง หากว่าท่าหมัดและท่าเตะของเขาสามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดได้ มันจะกลายเป็นวิชาเทวะอย่างแน่นอน!”
คุณชายเจ็ดตะลึงขึ้นมา “ที่เขาใช้คือวิชาบู๊?”
“วิชาบู๊ชั้นยอดในบรรดาวิชาบู๊ทั้งหมดอีกด้วย!”
คุณชายเจ็ดพยักหน้าน้อย ๆ แล้วกล่าว “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น ท่านราชครูได้ถกวิชาฝีมือกับสำนักวิชาบู๊และสังหารปรมาจารย์เสาหลักของวิชาสายบู๊ไปตั้งมากมาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิชาสายบู๊ก็ไม่มีฐานะทัดเทียมกับวิชาเทวะอีกต่อไป และถูกมองว่าเป็นแนวทางนอกคอก พวกนอกคอกเหล่านั้นได้หลบหนีเข้ามาในแดนโบราณวินาศ หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์ของพวกนอกรีตสักคนในจำนวนนั้น”
ผู้ติดตามอีกคนกระซิบกระซาบต่อ “เมืองเขตมังกรมิใช่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ มัจฉากับมังกรคลาคล่ำปะปน ทั้งยังมีผู้คนสันดานร้ายอับจนหนทาง ดังนั้นพวกเราจึงมีหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด มันจะต้องมีปลาซิวปลาสร้อยที่หลุดรอดเงื้อมมือของท่านราชครูครั้งกระโน้นคอยหนุนหลังคนผู้นี้เป็นแน่ คุณชาย พวกเรารีบกลับไปรวมตัวกับท่านแม่ทัพดีกว่า”
ฉินมู่มิได้ใจโหดสังหารพวกเขา และยังคงออมกำลังไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นภาพของผู้ฝึกยุทธกว่าสิบคนที่ห้อยติดแหง็กคากำแพงก็ยังเป็นภาพที่น่าขนลุก แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉินมู่ ตอนที่เขาสู้กับเฒ่าหม่าและผู้เฒ่าอื่นๆ ในหมู่บ้าน และตอนที่เขาสู้กับลิงยักษ์อสูรและฮู่หลิงเอ๋อ เขาใช้พละกำลังเต็มที่ตลอด
“ดูเหมือนว่าแบกเหรียญเยอะแยะขนาดนี้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยปลอดภัย ข้าซื้อของสองสามอย่างแล้วรีบคืนเหรียญมังกรที่เหลือให้ท่านยายดีกว่าตอนที่ข้ากลับไปโรงเตี๊ยม”
หนุ่มน้อยไม่คิดอะไรมากมายอีกต่อไป เขาซื้อม้วนผ้าแพรสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้า แล้วสั่งให้คนนำส่งพวกมันกลับไปที่โรงเตี๊ยม เขาวางแผนที่จะตระเตรียมเสื้อผ้าหลายชุดให้กับเฒ่าหม่า ผู้ใหญ่บ้าน และคนอื่นๆ
ฉินมู่ยังซื้อของน่าสนใจชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกะว่าจะมอบให้เป้นของขวัญแก่เฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ แล้วจึงเดินทางกลับโรงเตี๊ยม แต่ว่าผิดจากที่เขาคาดเพราะท่านยายซีไม่อยู่ในห้อง ออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ได้บอกเขาไว้ก่อน
เฒ่าบอดเองก็หายไปไร้ร่องรอย
“ในเมื่อนานๆ ทีข้าจะได้มาที่นี่ที งั้นข้าถือโอกาสไปเที่ยวรอบๆ อีกเพื่อเปิดหูเปิดตาดีกว่า”
ฉินมู่พกเหรียญมังกรไว้กับตัวร้อยเหรียญ และซ่อนที่เหลือเอาไว้ในห้อง ก่อนที่จะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมเพื่อเดินเที่ยวไปรอบๆ เมืองเขตมังกรคึกคักเป็นพิเศษในยามราตรี และทำให้เขาเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันประลองฝีมือ การท้าทายประลองยุทธ ละครงิ้ว คณะเชิดสิงโต และแม้กระทั่งผู้คนต่อยตีชำระบุญคุณความแค้นกัน
เขาเดินเข้าไปยังใจกลางของเมืองเขตมังกรโดยไม่รู้ตัว สิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้ดูยิ่งใหญ่มหึมากว่าส่วนอื่นๆ ของเมือง มีสิ่งก่อสร้างโบราณจำนวนมากอันเป็นมรดกจากผู้คนที่เคยอาศัยในแดนโบราณวินาศในยุคสมัยก่อนที่ความมืดจะรุกรานเข้ามา ทั้งวัดวาและวิหารต่างก็อลังการเหนือธรรมดา
ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์ของตนและมองไปที่สิ่งก่อสร้างโบราณเหล่านั้น เดาะปากด้วยความทึ่งใจ รูปสลักเทพเจ้าเหล่านั้นอาจจะดูธรรมดาสามัญ แต่เมื่อมองผ่านเนตรสวรรค์แล้ว นั่นก็กลายเป็นเหล่าทวยเทพที่เปล่งรัศมีสูงส่ง!
เขาศึกษาพิจารณาพวกนั้นทีละรูป โดยปราศจากความหวาดกลัวที่มีต่อเทพเจ้า เขามิได้ทำการหลบหลู่ใดๆ ต่อรูปสลักเทพและเพียงแต่ชื่นชมทักษะดุจเทพวิษณุกรรมของผู้ที่สลักเสลารูปปั้นเทพยดาเหล่านี้
เมืองเขตมังกรก่อสร้างบนซากโบราณขนาดใหญ่มหึมา รูปสลักหินก็ถูกสร้างด้วยมือของเทพและมารจากยุคบรรพกาล และเมื่อดูจากเทคนิควิธีที่ใช้ในการสลักเสลา ฉินมู่สามารถมองเห็นฝีมือเทวะอันลื่นไหลประดุจเมฆาและวารี ทำให้เขาเหมือนกับจะมองเห็นทักษะเทวะอันสูงล้ำกระจ่างตา
ดูเหมือนว่า เพียงแค่มองดูรูปปั้นพวกนี้ ก็จะสามารถเข้าใจทักษะเทวะตั้งหลายอย่าง
ขณะที่ฉินมู่ซึ่งกำลังชมดูด้วยความทึ่งใจ ชายกลางคนผู้หนึ่งก็พลันเดินเข้ามาใกล้แล้วยิ้มแย้มกล่าว “หนุ่มน้อยจากชนบท เจ้าอยากหาเงินได้ชั่วโมงละร้อยเหรียญมังกรหรือไม่ ข้ามีข้อเสนอดีๆ มาเสนอให้เจ้า ตอนนี้จวนท่านเจ้าเมืองกำลังมองหานักสู้หน้าใหม่มาสู้บนเวทีประลอง หากว่าเจ้าได้ชัยชนะ เงินร้อยเหรียญมังกรก็จะเป็นของเจ้าในทันที!”
ฉินมู่ส่ายศีรษะ
ชายกลางคนผู้นั้นจึงเดินไปชักชวนคนอื่นต่อ และได้ตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตามเขาเข้าไปในจวนเจ้าเมืองอย่างตื่นเต้น
เวทีท้าประลองในจวนเจ้าเมือง? เจ้าเมืองเขตมังกรกำลังวางแผนอะไรอยู่เนี่ย ฉินมู่นึกสงสัย
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะร่าดังออกมา “ตั้งแต่เมื่อจ้าวลัทธิมารฟ้าหลี่เทียนซิ่งสิ้นชีวิต ฮูหยินลัทธิก็หาตัวเจอยากและสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย ไม่นึกเลยว่าฮูหยินจะมาเยี่ยมเยือนเมืองเขตมังกรของข้า ฮูหยินอุตส่าห์มาเยือนจากแดนไกล คล้ายกับนำแสงสว่างมาสู่ที่อาศัยอันต่ำต้อยของข้า!”
เสียงของเขาดังสนั่น แสดงให้เห็นว่าพลังวัตรของเขากล้าแข็งเข้มข้น แก้วหูฉินมู่ลั่นเปรี๊ยะๆ จากแรงสั่นสะเทือนอากาศ และแม้แต่ผู้คนที่ผ่านไปมาหน้าจวน ก็ถึงกับหมดสติล้มพับไปจากแรงสะเทือนเสียงนั้น!
ฉินมู่ตกตะลึง “ฮูหยินลัทธิ? หรือว่าจะเป็นท่านยาย”
“ท่านเจ้าเมืองถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เสียงไพเราะรื่นหูอย่างมหัศจรรย์ดังออกมา เสียงนั้นชวนให้ผู้คนลุ่มหลง
เมื่อฉินมู่ได้ยินเสียงนี้ เขารู้สึกคอแห้งผากทันที ราวกับว่าปีศาจตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วนในจิตใจของเขากระโดดออกมาเต้นระบำไปรอบๆ
ผู้คนมากมายบนถนนพลันเริ่มเต้นระบำไปมาราวกับว่าพวกเขาเมามาย พวกเขาหัวเราะดังลั่นและมีสีหน้าคล้ายบ้าคลั่งเสียสติ
สักพักหนึ่ง ผู้คนเหล่านั้นจึงกลับมาได้สติอีกครา และหันมาเหลียวมองกันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่