Skip to content

Tales of Herding Gods 71

71. ให้ข้าฆ่าคนสักหน่อย

ฉินเฟยเยว่ตั้งหลัก แล้วบอกแก่ท่านที่นับถือเฮย “ท่านราชครูไม่สนใจคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต”

ด้วยเปลือกตาหลุบลง ท่านที่นับถือเฮยหัวเราะในคอ “หากราชครูไม่สนใจ ข้าก็ใคร่จะรู้ว่าแม่ทัพฉินสนใจหรือเปล่าล่ะ”

จิตใจของฉินเฟยเยว่สั่นไหวขึ้นมาทันที เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางขจัดความสงสัยระแวงของมารเฒ่าผู้นี้ได้

ผู้เฒ่าอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ฉินเฟยเยว่เลิกคิ้วขาวโพลนของเขา แล้วกล่าว “ข้าอายุปูนนี้ ได้แต่นับวันรอตาย ดังนั้นข้าอยากจะดูคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้เป็นบุญตาสักหน ไหนเขาร่ำลือกันนักว่าเป็นคัมภีร์ที่สามารถทำให้คนสำเร็จเป็นเทพก็ได้สำเร็จเป็นมารก็ได้ ไม่ทราบว่าฮูหยินลัทธิกับท่านที่นับถือเฮยจะอนุญาตให้ข้าดูหรือไม่!”

“ไม่มีปัญหา”

ฮูหยินลัทธิกลอกดวงตาคู่งามของนางมองไปรอบๆ แล้วแย้มยิ้มกล่าว “มีใครอีกไหมที่อยากเห็นคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต”

สตรีหน้าเหลืองซีดนางหนึ่งที่นั่งถัดจากฝูอวิ๋นตี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากฮูหยินไม่ว่ากระไร ข้าก็อยากเห็นคัมภีร์ที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์ทั้งชั่วร้ายเล่มนี้”

ฮูหยินลัทธิมองไปยังฝูอวิ๋นตี้ “แล้วท่านเจ้าเมืองล่ะ?”

“อย่าโกรธเคืองกันเลยนะฮูหยิน ข้าน่ะไม่ได้มีจิตคิดแย่งชิงคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตและเพียงแค่อยากจะได้เห็นวิชาที่ว่ากันว่าสามารถทำให้ผู้คนสำเร็จเทพ ทำให้ผู้คนสำเร็จมารดูสักหน่อย ข้าแค่อยากแลกเปลี่ยนพัฒนาวิชาของพวกเรา ข้าไม่มีจิตคิดร้ายต่อฮูหยิน มีแต่ใจรักหยกถนอมบุปผา ลัทธิมารฟ้าที่ชั่วร้ายใจเหี้ยมเหล่านั้นได้เสาะหาฮูหยินมาก็ตั้งนานนม ฮูหยินคงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว ข้าเลยอยากจะร่วมแบกรับทุกข์เข็ญของฮูหยินบ้างก็เท่านั้น”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และกวาดตามองยอดยุทธเหล่านั้น ทุกคนในเรือนสยบแม่น้ำได้แสดงท่าทีสนอกสนใจต่อคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และนั่นก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนยังไม่มีใครกล้าแตะต้องแย่งชิงไปจากฮูหยินลัทธิ เพื่อป้องกันภัยอันตรายมาถึงตนเอง

ก็เพราะว่าหากพวกเขาแย่งชิงคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาได้ พวกเขาก็ตกเป็นเป้าของทุกคน!

ฮูหยินลัทธิเห็นสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ ของทุกคนแล้วจู่ๆ ก็ระเบิดหัวร่อขึ้นมา มือขาวเรียวของนางคลี่แบออก และบนนั้นมีกล่องหยกวางอยู่บนใจกลางฝ่ามือ “ข้างในนี้คือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ยันต์ที่แปะไว้ข้างนอกคือผนึกที่จ้าวลัทธิคนก่อนได้แปะเอาไว้”

บรรยากาศในเรือนสยบแม่น้ำพลันกลายเป็นเคร่งขรึมทันที ฉินมู่พลันรู้สึกถึงรังสีอันร้ายกาจทรงพลังพุ่งเป้ามาที่เขา หลิงอวี้จิวเองก็ครางเสียงอึกเบาๆ รังสีเหล่านั้นไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขาจริงๆ หากแต่พุ่งใส่ฮูหยินลัทธิซึ่งอยู่ข้างๆ พวกเขา แต่เพราะว่าทั้งคู่อยู่ใกล้นาง จึงพลอยโดนหางเลขไปด้วย

ฮูหยินลัทธิไม่ใส่ใจผู้คนที่ใช้รังสีพุ่งเป้าใส่นาง และเปิดกล่องหยก พลันเหมือนกับว่ามีเสียงดนตรีเปล่งออกมาจากกล่องนั้น พร้อมๆ กับมีเส้นด้าย โผล่เยี่ยม ‘หัว’ ของมันออกมาชมดูโลกภายนอกกล่อง ราวกับว่าเส้นด้ายนั้นคืองูวิญญาณตัวหนึ่ง ก่อนที่มันจะค่อยๆโงหัวชูขึ้นทุกที

“มันคือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจริง ๆ ด้วย!”

ท่านที่นับถือเฮยเคาะไม้ค้ำยันของตนเอง และกล่าวอย่างเฉียบขาด “เก็บมันไว้ตามเดิมเถอะ ฮูหยิน!”

ฉินมู่มีสีหน้าแปลกประหลาด เมื่อเขาชูคอขึ้นดูของในกล่องหยก ความพิลึกใจแล่นพล่านไปทั่วหัวเขา นั่นไม่ใช่คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตซักหน่อย นั่นมันคือก้อนไหมพรมที่ท่านยายซีชอบพกไปไหนมาไหนตลอดชัดๆ!

เขาจำก้อนไหมพรมนี่ได้ ท่านยายซีมักจะเอาก้อนไหมพรมนี้ใส่ไว้ในตะกร้า และไหมพรมก็ม้วนพันรอบๆ ปิ่นหยกซึ่งอยู่ในกล่อง เมื่อเขายังเล็ก ท่านยายซีมักจะเอาเขาใส่ไว้ในตะกร้าระหว่างที่นางตัดเย็บเสื้อผ้า มีครั้งหนึ่งที่ฉินมู่อั้นไม่ไหว และอึลงไปในตะกร้า เลอะทั้งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนเหม็นหึ่งไปหมด

นางคือท่านยายซีจริง ๆ ด้วย!

หนุ่มน้อยไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมไม่เจอท่านยายที่โรงเตี๊ยม ที่แท้ท่านยายก็แต่งตัวตัวสะสวยแล้วออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก…

ฮูหยินลัทธิไม่ใส่ใจคำพูดของท่านที่นับถือเฮย และเส้นด้ายนั้นก็คลี่ลอยสูงขึ้นสูงขึ้น และจู่ ๆ มันก็พองตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเส้นด้ายนั้นหนาเท่ากับถังน้ำ สีหน้าของทุกๆ คนก็แปรเปลี่ยน พวกเขาจึงเห็นว่าที่แท้เส้นด้ายไม่ใช่เส้นด้าย แต่เป็นข้อเขียนมหัศจรรย์อันประกอบสร้างขึ้นมาด้วยตัวอักษรนับไม่ถ้วน

อักษรไร้ประมาณเหล่านั้นสร้างรูปวงแปลกประหลาดซึ่งซ้อนทับเหลื่อมกันไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อชั้นของตัวอักษรพวกนั้นย่อลงไปเล็กมากๆ มันจึงดูเหมือนเส้นด้าย มิใช่ข้อความ

นี่คือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สืบทอดของลัทธิมารฟ้า คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต

“คราวนี้ทุกคนคงวางใจได้แล้วสินะว่าคัมภีร์นี่เป็นของจริง”

อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนพลันย่อหดลงไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงเส้นด้าย จากนั้นมันก็ม้วนตัวกลับเข้าไปในกล่องหยก

ฮูหยินลัทธิปิดกล่องหยก แล้วใช้ยันต์ของจ้าวลัทธิคนก่อนผนึกมันไว้ตามเดิม จากนั้นนางหัวเราะเบาๆ “แต่ว่า หากเจ้าต้องการดูมันให้ถนัดตาจริงๆ พวกเจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วน ใครก็ตามที่เห็นข้อความคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจะกลายเป็นศัตรูของลัทธิมารฟ้า ข้าจะมิใช่คนที่ถูกไล่ล่าจากลัทธิมารฟ้าอีกต่อไป แต่หากเป็นพวกเจ้าต่างหากที่จะสิ้นชีพลงในวันนี้ เอาล่ะ ทีนี้ใครจะก้าวมาเอากล่องหยกนี้ไปชมดู คิกๆ”

สีหน้าของทุกคนบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง พวกเขาล้วนแต่ลังเลใจ กล่องหยกอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแท้ๆ แต่มิมีผู้ใดกล้าเข้ามาหยิบฉวย!

สีหน้าของฉินเฟยเยว่หวั่นไหว ผู้อื่นอาจกริ่งเกรงลัทธิมารฟ้าแต่เขาไม่ ไม่ว่าลัทธิมารฟ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็มิอาจต้านทานจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ หากแต่ว่าหากเขาเข้าไปหยิบฉวยกล่องหยกเสียตอนนี้ เขาก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน และแม้แต่จะก้าวออกไปจากจวนเจ้าเมืองทั้งเป็นๆ อาจจะยากเสียยิ่งกว่ายาก

คนอื่นๆ ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ขนาดฝูอวิ๋นตี้ยังลังเลที่จะลงมือ พวกเขาย่อมไม่กล้าตัดสินใจชิงก่อน

ฮูหยินลัทธิเริงใจกับการเฝ้ามองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาของชาวยุทธในตึก นางชอบสถานการณ์ที่พวกยอดฝีมือเหล่านั้นผู้อวดเบ่งจองหองเมื่อครู่ ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาที่นางผูกไว้ให้ เป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับนาง

ทั่วทั้งตึกจมอยู่ในความเงียบ ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็ยืดเหยียดหลังแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าอิ่มล่ะ! น้องสาวอวี้จิว ขอบใจที่พาข้ามากินเลี้ยงอาหารดีๆ ที่นี่ ท่านเจ้าเมือง ไม่ทราบว่าข้าต้องจ่ายค่าอาหารให้ท่านไหม”

เขาทำลายความเงียบ และทำให้ทั้งเรือนสยบแม่น้ำกลับมามีบรรยากาศคึกคักอีกครา ทุกคนเชิงจะยิ้มเมื่อมองไปที่เขา เด็กหนุ่มผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามาจากหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงและไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เขามาดื่มกินที่นี่ฟรีๆ ยังกล้าถามฝูอวิ๋นตี้ว่าเขาต้องจ่ายเงินไหม

ฝูอวิ๋นตี้กระแอมไอไล่ความกระอักกระอ่วนของตน “ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ก็นับเป็นแขกคนหนึ่ง และเมื่อข้าเชื้อเชิญทุกคนมากินเลี้ยง ข้าย่อมไม่อาจคิดเงินกับน้องชายน้อยผู้นี้แม้แต่แดงเดียว แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อแขก”

ฉินมู่เผยรอยยิ้มเจิดจ้าแจ่มใสเหมือนดวงอาทิตย์ “แม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่อยากคิดเงินข้า แต่ข้าจะไม่จ่ายก็คงไม่ได้ ตอนนี้ข้ามีเงินติดตัวไม่มาก ร้อยเหรียญมังกรพอเป็นค่าอาหารได้หรือไม่ เช่นนั้นรอสักครู่ ให้ข้าฆ่าคนบางคนสักหน่อย และชนะเงินรางวัลมาจ่ายท่าน”

ฝูอวิ๋นตี้ขมวดคิ้ว ฉินมู่ไม่รอคำตอบของเขา เดินลงไปจากเรือนสยบแม่น้ำ ในก้าวเดียวเขาย่างผ่านผิวทะเลสาบและเดินไปยังเวทีกลางน้ำ จากนั้นร้องเรียก “คุณชายติงเยว่ ข้าได้ยินว่าผู้คนที่ถูกละทิ้งสามารถชนะเงินรางวัลร้อยเหรียญมังกรโดยการท้าสู้ประลองบนเวทีแห่งนี้ ข้าก็เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง ให้ข้าลองต่อสู้เสียหน่อยเถอะ”

ย่างเท้าเขาไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อเขาก้าวขึ้นมาบนเวทีกลางน้ำ และมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา

บนเวทีนั้น เด็กหนุ่มที่ถูกละทิ้งนอนจมกองเลือด บ่าวรับใช้บนเวทีโยนร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นลงในทะเลสาบ และใช้น้ำชำระล้างพื้นเวที

ในทะเลสาบมีปลายักษ์ตัวหนึ่งว่ายแหวกคลื่นมากัดทึ้งซากศพที่ถูกโยนลงไป

ฉินมู่ยืนอยู่บนพื้นแข็งของเวทีและมองไปยังเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเขา ฝูติงเยว่อายุเท่าๆ กับเขาแต่หว่างคิ้วเขามีรังสีฆ่าฟัน เห็นได้ชัดว่ามือของเขาเปื้อนเลือดผู้คนนับไม่ถ้วน

เด็กหนุ่มผู้นั้นก็มองดูฉินมู่ด้วยสายตาดุร้ายของสัตว์เถื่อน

บรรยากาศบนเรือนสยบแม่น้ำตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์ที่รอบรู้กว้างขวางและมีทักษะเทวะสูงส่ง แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าฉินมู่จะท้าสู้กับผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งในขั้นทารกวิญญาณ เพียงเพื่อจะได้เงินร้อยเหรียญมังกรมาจ่ายให้แก่ฝูอวิ๋นตี้

“ใจเด็ดอะไรขนาดนี้…”

อาวุโสไป๋ซานถอนหายใจ “เด็กหนุ่มที่ใจเด็ดเยี่ยงนี้ยากที่จะรอดชีวิตจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่พวกเขาก็ตกตายที่อายุราวๆ นี้”

ฝูอวิ๋นตี้ยิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อยังไม่แน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้ได้คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตกลับบ้านไป ทำไมพวกเราไม่รับชมดูสถานการณ์อันไม่คาดคิดนี้ก่อนล่ะ เมื่อสิ่งที่น่าสนใจนี้จบลง พวกเราค่อยมาตกลงว่าใครจะเป็นเจ้าของคนใหม่ของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตกันอีกที ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ ฮูหยินลัทธิ”

ฮูหยินลัทธิแย้มยิ้ม “ข้าเป็นสตรีบอบบาง จะมีความเห็นอะไรได้ล่ะ”

หลิงอวี้จิวลอบขบกราม นางเกือบจะลุกขึ้นยืนเรียกฉินมู่กลับมา แต่ฉินเฟยเยว่กระแอมไอเตือนนาง ดังนั้นจึงได้แต่นั่งลง

เวทีบนทะเลสาบ

ชายกลางคนเดินเข้ามาพร้อมกับประคองถาด บนถาดมีถุงเหรียญ ฝูติงเยว่เลิกคิ้วแล้วกล่าว “ในถุงนี้มีเหรียญมังกรหนึ่งร้อยเหรียญ หากเจ้าชนะข้า ก็เอาไปได้เลย แต่กระนั้นตลอดสามปีที่ผ่านมา มีผู้คนเป็นพันๆ ที่เข้ามาท้ารางวัลนี้ แต่ไม่มีผู้ใดที่เอาถุงเหรียญมังกรกลับไปได้”

ฉินมู่ขบคิดก่อนเอ่ยถาม “เจ้าคือผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งในเมืองเขตมังกรงั้นหรือ”

ฝูติงเยว่ฉีกยิ้มอย่างโอหังแล้วพยักหน้า “รู้กันทั่วไปว่าข้าคืออันดับหนึ่ง ในรัศมีพันลี้รอบเมืองเขตมังกร ข้าคือคืออันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกยุทธ! ข้าจำไม่ได้ว่าสังหารผู้ฝึกยุทธอื่นไปเท่าใด พวกเขาล้วนแต่ตายภายใต้การต่อสู้ มิใช่ด้วยอิทธิพลของพ่อข้า! ตราบใดที่พวกเขามาท้าสู้กับข้า ก็ไม่มีใครรอดชีวิตกลับไปได้!”

ฉินมู่พยักหน้าน้อยๆ “อาวุธที่เจ้าจะใช้?”

เขายืนไพล่หลังยิ้มยโส “เจ้าจะใช้อาวุธอะไรก็ได้ ไม่ต้องห่วงข้า ข้าอยากใช้อาวุธอะไรเดี๋ยวก็ใช้อันนั้น”

ชิ้ง

เสียงหึ่งดังขึ้นมาเมื่อมีดเชือดหมูลอยมาตกในมือของฉินมู่

วิธีเรียกมีดของเขามิใช่การฟั่นปราณให้เป้นเส้นด้าย แต่ใช้จิตสื่อถึงอาวุธ ปราณชีวิตของเขาและมีดเชือดหมูมีจิตสื่อถึงกันแน่นแฟ้น ที่สามารถตอบสนองกันได้ทันทีราวกับแม่เหล็กสองก้อนที่ดึงดูดกันและกัน!

ปราณชีวิตของเขาโคจรอย่างรวดเร็วขึ้นทุกที จนรุนแรงโหมคลั่ง ฉากที่เขาสังหารงูยักษ์กลับมาฉายซ้ำในท่าร่างและรัศมีของเขาในขณะนี้

ยิ่งเขาโกรธเกรี้ยวมากเท่าไหร่ ปราณชีวิตของเขาก็บ้าคลั่งมากเท่านั้น จิตสื่ออาวุธก็ยิ่งกล้าแข็ง และคมมีดก็ยิ่งคมกริบ!

แต่ทว่า ใบหน้าของฉินมู่สงบราบเรียบ ด้วยท่วงทีนิ่งสงบ พายุพิโรธโหมกระพือในหัวใจของเขา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version