83. ยอดศาสตราวุธ
ข้าสามารถศึกษาวิชาเทวะทรงพลังมากมายในรูปสลักเหล่านี้!
สองสามวันที่ผ่านมา ฉินมู่เดินเที่ยวไปรอบๆ เสามังกรและวัดโบราณในเมืองเขตมังกร และในยามค่ำคืนเขาก็จะหลับพักผ่อนในวัดไม่ก็ยอดเสามังกร เมื่อเขาลืมตาตื่น เขาก็จะเข้าสู่ภวังค์ของการพิจารณาและวิเคราะห์ความมหัศจรรย์ของรูปสลัก
ใช้เนตรสวรรค์เพ่งพิศรูปสลักเหล่านี้ เขาวิเคราะห์ความสูงสง่าสามประการของรูปสลัก อันได้แก่ รูปลักษณ์ รัศมี และจิตวิญญาณ จากนั้นครุ่นคิดสถานะทั้งสามของรูปสลักอันได้แก่ แก่นแท้ พลัง ความเข้มข้น ในสายตาของเขารูปสลักเทวะเหล่านี้มิใช่เพียงรูปสลัก แต่กลับมีทิศทางปราณชีวิตอันผิดแผกแตกต่างกันทั้งในทางกายภาพและทางจิตวิญญาณภายใน ด้วยรัศมีอันน่าเกรงขาม กลั่นปราณออกมาเป็นแก่นแท้ โคจรปราณให้เป็นความเข้มข้น และก่อรูปปราณเป็นพลัง
เขายังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ และยังไม่ได้แตะต้องสัมผัสกับวิชาเทวะ แต่อย่างไรสมองของเขาก็เริ่มคิดใคร่ครวญวิธีการสร้างวิชาเทวะโดยสืบเสาะจากวิธีการสลักเสลาที่ช่างสลักเทวะทิ้งร่องรอยไว้บนรูปสลัก
ตอนนี้ฉินมู่กำลังเพ่งพิจารณารูปสลักของเทพีที่กำลังก้าวเท้าแตะแม่น้ำ ปราณชีวิตของเขาเริ่มเคลื่อนย้ายโคจรอย่างมีชีวิตชีวา และด้วยเสียงวูชหนึ่ง ปราณชีวิตเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำที่ไหลพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ราวกับแม่น้ำเชี่ยวกรากอันเต็มไปด้วยคลื่นลมโหมซัด ทุกการฟาดฝ่ามือของเขามีเสียงคลื่นฉาดฉาน!
พลังในกระบวนท่าฝ่ามือของฉินมู่แข็งแกร่งขึ้นทุกที และทันใดนั้นมือเขาฟาดออกไป ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำเชี่ยวอันแผ่พุ่งไปไกลกว่าหกวา ทำลายหินก้อนใหญ่หน้าวิหารนั้นแหลกเป็นชิ้น!
การโจมตีของเขามิใช่วิชาเทวะ มันดูคล้ายกับเวทมนตร์แต่ก็ไม่ใช่เวทมนตร์ ดูคล้ายวิชาบู๊แต่ก็ไม่เชิงวิชาบู๊ ดูประหลาดพิสดาร
“รบกวนท่านแล้ว”
ฉินมู่โค้งให้แก่รูปสลักเทพีเหยียบแม่น้ำ ก่อนที่จะถอยออกมาจากวิหารนั้น และไปยังวิหารหลังถัดไป
ในวิหารโบราณหลังนี้มีรูปสลักเทพเจ้าที่มีใบหน้ามนุษย์แต่มีกรงเล็บดุจพยัคฆ์ร้าย เหยียบบนมังกรสองตัว ฉินมู่นั่งลงตรงหน้ารูปสลักและเริ่มเพ่งพิจารณารูปสลักเพื่อวิเคราะห์ความสง่างามของมัน
สี่ห้าวันของฉินมู่ผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาสามารถคว้าจับความสง่างามทั้งสามและสถานะทั้งสามได้สำเร็จ ปราณชีวิตเขาโคจรตามทิศทางที่เขาเห็นโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นแสงทองเจิดจ้าก็เปล่งออกมาจากร่างของเขา และทุกท่วงท่าร่างกายที่ขยับก็สร้างเสียงเสียดสีกันราวโลหะกระทบ!
ท่วงท่าเขาคล้ายคลึงกับรูปสลักเทวะ ทันใดนั้นก็มีแผ่นจักรทองคำเจิดจ้าบาดตาเจ็ดแผ่นปรากฎรอบกายเขา ขอบของแผ่นจักรนั้นคมกริบราวมีดโกนและมีแสงเรืองส่องออกมา ขณะที่สีทองในกลางจักรนั้นดูเข้มข้นที่สุด
ร่างของฉินมู่ขยับและใช้เคล็ดลับกุมกระบี่ ทำให้แผ่นจักรเหล่านั้นเคลื่อนไหวไปด้วยเช่นกัน เมื่อปราณชีวิตของเขาไหลเวียนโคจร สีสันใจกลางแผ่นจักรก็ยิ่งเข้มข้นเจิดจ้า ทันใดนั้นฉินมู่ก็ชี้นิ้วกระบี่แทงไปเบื้องหน้า เส้นแสงประกายทองก็พลันฉายส่องออกมาจากจักรทั้งเจ็ด แสงทองเหล่านั้นเรียวบางราวกับกระบี่บางเฉียบอันสร้างจากเส้นไหมทองคำ
ฉึก ฉึก ฉึก
กระบี่ละเอียดเจ็ดเส้นที่เหมือนกับเส้นไหมทองคำ แผดพุ่งไปในพริบตาทิ่มแทงใส่จุดที่กระบี่นิ้วของฉินมู่ชี้
ฉินมู่ชักมือกลับและเห็นรูกระบี่ที่ปรากฏบนพื้น
ก็ยังไม่กร้าวแกร่งเท่ากับเพลงหมัดของท่านปู่หม่า…เอ๊ะ นี่มันอะไรกัน ปราณชีวิตของข้ากลายเป็นปราณชีวิตพยัคฆ์ขาวตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมา และกำลังขบคิดหาสาเหตุ ทันใดนั้นก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา ทารกวิญญาณในนั้นพลักสูดลมหายใจลึก และสูดรวบเอาแสงทองทั้งหมดในมหาสมุทรทองคำรอบๆ เข้าร่างไปในอึดเดียว!
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าใจกลางระหว่างคิ้วของเขาพลันว่างโหวง จิตของเขากลายเป็นเชื่องช้าและดับวูบ และเมื่อเขาฟื้นสติขึ้นมาอีกทีเขาก็พบว่าทารกวิญญาณของเขาหลับใหลลงไปอีกครั้ง
เดี๋ยว ไหนผู้ใหญ่บ้านบอกว่าสามอมตะของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะหมายความว่าทารกวิญญาณจะปลุกพลังสามครั้ง แล้วนี่ไฉนทารกวิญญาณข้าถึงมีทีท่าว่าจะปลุกพลังครั้งที่สี่ล่ะ
ฉินมู่งงงวยเล็กน้อย เมื่อทารกวิญญาณของเขาจมลงไปสู่นิทรา พลังวัตรของเขาก็เหลือเพียงครึ่งเดียว ทำให้เป็นเรื่องยากลำบากที่จะยังคงปลุกเปิดเนตรสวรรค์เอาไว้ ดังนั้นเขาจึงเลิกฝึกและออกไปจากวัดโบราณ
“นายน้อย ท่านปรมาจารย์มีจดหมายมาถึง”
และเมื่อเขาเดินออกจากวิหารนั่นเอง เขาก็เห็นผู้อาวุโสในชุดเขียวยืนอยู่ข้างนอกโค้งคารวะเขา เขาไม่แน่ใจว่าผู้เฒ่านี้ยืนรออยู่นานแค่ไหนแล้ว ผู้อาวุโสชุดเขียวรีบเข้ามาแล้วดึงจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ “นายน้อยโปรดอ่านด้วยตนเอง”
“ปรมาจารย์ลัทธิมารมีจดหมายถึงข้า?”
ฉินมูจึงวางเรื่องที่ทารกวิญญาณเขาปลุกพลังครั้งที่สี่เอาไว้ก่อน เมื่อรับจดหมายมา ผู้อาวุโสชุดเขียวก็รีบถอยออกไปเมื่อเห็นฉินมู่เริ่มแกะจดหมาย “ถึงจ้าวลัทธิน้อย เป็นเวลาสามปีแล้วหลังจากที่เราได้กล่าวลากันที่ริมแม่น้ำหย่ง ใครก็ตามที่ชราลงก็จะตระหนักรู้ถึงอายุขัยที่เหลือ ข้าเองก็ชรามากและเมื่อมองดูอายุขัยของตน ข้ามีเวลาเหลืออีกเพียงเจ็ดปี ข้าหวังว่าจะได้พบกับเจ้าลัทธิน้อยอีกครั้งในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ และได้ประจักษ์พิธีขึ้นครองลัทธิของเจ้า”
ฉินมู่พับจดหมายปิด ข้อความนี้บ่งบอกว่าปรมาจารย์ลัทธิมารมีอายุขัยเหลือเพียงเจ็ดปี และต้องการพบกับเขาอีกครั้งระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ และแต่งตั้งให้ฉินมู่ขึ้นเป็นจ้าวลัทธิอย่างเป็นทางการ
หลิงอวี้จิวอยากให้ข้าไปพบนางที่เมืองหลวงสันตินิรันดร์ และปรมาจารย์ลัทธิมารก็หมายจะพบข้าเช่นกัน เช่นนั้นนี่คงได้เวลาที่ข้าจะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไป
ฉินมู่ตั้งหลักคิด เขาอยากไปจากแดนโบราณวินาศ ไปจากหมู่บ้านพิการชรา และไปจากครอบครัวที่เลี้ยงดูเขามาจริงๆ น่ะหรือ
เขาเรียกผู้อาวุโสชุดเขียวเข้ามาแล้วกล่าว “ส่งคำตอบข้าไปให้ปรมาจารย์ ข้าจะออกจากแดนโบราณวินาศในไม่กี่วันนี้และจะไปพบกับเขา”
ผู้เฒ่าชุดเขียวรับคำสั่ง แล้วหันกายจากไป
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมุ่งตรงไปที่จวนเจ้าเมือง ในตอนนั้นท้องฟ้ามืดลงแล้วและในจวนเจ้าเมืองผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ กำลังรวมตัวกัน ผู้เฒ่าเหล่านั้นสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ฉินมู่ตัดเย็บให้พวกเขาด้วยตนเอง ฉินมู่ซื้อผ้าไหมมากมายจากในเมืองและตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นครั้งแรก เสื้อผ้านั้นก็เข้ารูปดีอยู่หรอก แต่เนื้อผ้าฉูดฉาดไปหน่อย ดังนั้นเมื่อผู้เฒ่าทั้งหลายสวมใส่เสื้อผ้าใหม่เหล่านี้ พวกเขาจึงดูเหมือนเศรษฐีใหม่ตื่นทองที่แต่งเนื้อแต่งตัวอลังการ
แต่เพราะนี่เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยความรักใคร่ปรารถนาดีของฉินมู่ ผู้เฒ่าเหล่านี้จึงยิ้มแฉ่งมีความสุข
“มู่เอ๋อ ผู้ใหญ่บ้านออกมาจากการฝึกปรือแล้ว และพร้อมที่จะพาเจ้าไปแดนมืดเพื่อค้นหาสถานที่เกิดของเจ้า”
นักปรุงยากวักมือเรียกเขา “เจ้าจะออกไปคืนนี้แหละ!”
หัวใจของฉินมู่เต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น และโยนความคิดอื่นที่เขามีทิ้งไปส่วนลึกของสมอง จากนั้นลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ในความมืดมีภยันตรายตั้งมากมาย ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน…”
“ไม่ต้องห่วง”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มอบอุ่น “กระดูกผุๆ ของข้ายังรับมือกับสิ่งร้ายพวกนั้นไหว มู่เอ๋อ คราวนี้เราจะเข้าไปข้างในความมืด ดังนั้นเจ้าต้องไม่ออกห่างจากตัวข้าเด็ดขาด ยายเฒ่าส่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้เขาไว้ใช้ป้องกันตัว”
ท่านยายซีล้วงก้อนไหมพรมออกจากตะกร้าของนาง และดีดมันออกไป เส้นไหมพลันลอยไปยังฉินมู่ และถักทอไปรอบๆ มือของเขา เสกสรรถุงมือขึ้นมาข้างหนึ่งในเวลาไม่นาน
ฉินมู่กำมือด้วยความทึ่ง เขาพบว่ามือเขาไม่รู้สึกเลยว่ากำลังสวมถุงมืออยู่
ผู้ใหญ่บ้านออกคำสั่งอีกครั้ง “เฒ่าเป๋ เอาห่วงหยกจักรพรรดิของเจ้าออกมาให้เขาสวมไว้”
เฒ่าเป๋ถอดห่วงหยกออกจากคอของเขา ห่วงหยกนี้ดูคล้ายจี้แต่ก็ไม่ใช่จี้ มันใหญ่เท่าฝ่ามือและมีอักขระละเอียดยิบเขียนอยู่บนนั้น อันลอยเลื่อนไปมาและแปรเปลี่ยนไม่หยุด
เฒ่าเป๋สวมห่วงหยกไว้ที่คอฉินมู่ด้วยสีหน้าเสียดายสุดๆ “มู่เอ๋อ เจ้าต้องระวังอย่าทำมันหายเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ปู่เป๋ของเจ้าแลกมาด้วยขาข้างหนึ่ง! ห่วงหยกจักรพรรดินี้มีค่าเท่ากับขาข้าเชียวนะ!”
ผู้ใหญ่บ้านรีบกล่าวรับรอง “ไม่ต้องกลัว ห่วงหยกจักรพรรดิไม่หายหรอก มู่เอ๋อ ถอดเสื้อผ้าของเจ้า”
ฉินมู่ไม่รู้ว่าถอดออกทำไม แต่เขาก็ถอดเสื้อของตนเองออก เผยให้เห็นร่างกายอันกระชับแข็งแรง
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอ “ถอดออกให้หมด อย่าเหลืออะไรไว้”
ท่านยายซีหันหลังให้ ขณะที่ฉินมู่ถอดเสื้อผ้าออกหมดตัวเหลือแต่ถุงมือจากคัมภีร์มารฟ้า
นักปรุงยาจึงนำหนอนอ้วนตัวหนึ่งออกมาด้วยหัวใจอันรวดร้าว “โลหิตถ้วยนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าโลหิตมังกรพิษ กว่าข้าจะได้มันมาไม่ง่ายเลย…”
หนอนอ้วนนั้นถูกเขาบีบเค้น และกระอักโลหิตออกมาเต็มหนึ่งถ้วย
เฒ่าหนวกก้าวเข้ามาพร้อมกับพู่กันของเขา จุ่มพู่กันลงในเลือด และเริ่มต้นวาดภาพบนหลังของฉินมู่ สิ่งที่เขาวาดคือหนึ่งในรูปสลักทั้งสี่ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านพิการชรา เป็นรูปผู้เฒ่าหลังเต่าที่มีงูยักษ์รัดพันรอบๆ เรือนกาย
เมื่อโลหิตมังกรถูกใช้จนหมด เฒ่าหนวกก็วาดภาพงูยักษ์รอบตัวฉินมู่เสร็จพอดี เลือดมังกรหยดสุดท้ายถูกรีดเร้นจากปลายพู่กันบนตวัดสุดท้าย ทำให้พู่กันสะอาดหมดจด “มู่เอ๋อ เจ้าใส่เสื้อผ้าคืนได้”
ผู้ใหญ่บ้านสั่งการต่อ “เฒ่าใบ้”
เฒ่าใบ้ช่างตีเหล็กจึงเดินมาข้างหน้า ร่างกายของเขาสั่นวูบหนึ่ง เพลิงร้อนแรงพลันแผดพุ่งออกมาจากร่าง ก่อรูปเป็นเตาหลอมเหล็กขนาดใหญ่ เพลิงไฟในเตาราวกับซุ่มซ่อนไว้ด้วยมวลมารและทวยเทพ
เฒ่าใบ้ยกมือขึ้นและออกแรงผลัก ทำให้เตาหลอมยักษ์นั้นพุ่งใส่ฉินมู่โดยพลัน
ฉินมู่ไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ เมื่อร่างของเขาสัมผัสกับเตาหลอมยักษ์อันน่าตื่นตานั้น เตาหลอมพลันหดเล็กลง เล็กลง จนกระทั่งหายลับเข้าไปในร่างเขาในที่สุด
ผู้ใหญ่บ้านเรียกต่อ “เฒ่าหม่า”
เฒ่าหม่าก้าวออกมา และสุรเสียงพุทธพลันดังกัมปนาท ด้วยแสงทองที่ฉายส่องเป็นเงารูปนับพัน ปราณชีวิตอันเข้มข้นของเขาพลันก่อรูปเป็นพุทธองค์ใหญ่มหึมาอันมีรัศมีแสงพันสายเบื้องหลังพระเศียร
ยูไล
ยูไลองค์นี้ก้าวไปข้างหน้า หดตัวลง หดตัวลง จนกระทั่งหายวับเข้าไปในใจกลางระหว่างคิ้วฉินมู่ หายวับโดยไร้ร่องรอย
“เฒ่าบอด ตาเจ้าแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว
เฒ่าบอดยกไม้เท้าไผ่ของตน และแตะที่หัวใจของฉินมู่ ตะโกนเสียงต่ำ “เนตร ปลุกพลัง!”
ร่างของฉินมู่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ และสัมผัสถึงปราณชีวิตมหาศาลไร้ประมาณแผ่พุ่งจากหัวใจของเขาไปยังดวงตาทั้งสอง ด้วยเสียงตึมๆ ไม่กี่ครั้ง วงแหวนเก้าวงก็ปรากฏในแก้วตาของเขา!
เนตรสวรรค์ เนตรสวรรค์เขียว เนตรสวรรค์คราม เนตรสวรรค์ชาด เนตรสวรรค์สว่าง เนตรสวรรค์หยก เนตรสวรรค์ขาว เนตรสวรรค์ม่วง เนตรสวรรค์ไฟ ทั้งเก้าสวรรค์ของเนตรเทวะปลุกเปิดต่อเนื่องกันไม่หยุด!
ฉินมู่พลันพบว่าโลกในสายตาของเขาถูกรื้อสร้างองค์ประกอบออกจากกันชั้นแล้วชั้นเล่า และประกอบกลับเข้าไปใหม่ ราวกับว่าเนตรของเขาสามารถมองทะลุกระจ่างแจ้งได้ทุกสิ่ง
นี่คือการที่เฒ่าบอดใช้พลังวัตรของตนมาช่วยปลุกเนตรให้เขา ไม่ใช่ว่าฉินมู่ปลุกเนตรเหล่านั้นด้วยตนเอง ดังนั้นฤทธานุภาพของเนตรเก้าสวรรค์จึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของเฒ่าบอด
โลกที่เขาเห็นในขณะนี้ แตกต่างจากที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยสิ้นเชิง นี่คือโลกที่อยู่ภายใต้การมองของเนตรเทวะ!
ร่างของผู้ใหญ่บ้านลอยขึ้นสูงจากพื้นสี่คืบ จากนั้นเขาจึงแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เท่านี้ก็น่าจะพอล่ะ มู่เอ๋อ ตามข้ามา พวกเราจะไปเยี่ยมชมแดนมืดกัน”
ท่านยายซีอ้าปากหมายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายนางก็ไม่เอ่ยรั้งพวกเขาเอาไว้ นางกล่าวกับฉินมู่ “มู่เอ๋อ ระมัดระวังให้ดีๆ ด้วย และหากเจ้าเจออันตราย ก็ทิ้งตาเฒ่าที่น่าตายผู้ใหญ่บ้านนี่เอาไว้เป็นเหยื่อล่อ แล้วรีบวิ่งหนีกลับมาเลยนะ”
ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจ พาฉินมู่ลอยออกไปจากเมือง เขาหัวร่อดังลั่นและกล่าว “ไม่ต้องห่วง ยายเฒ่าซี ข้าจะต้องนำมู่เอ๋อกลับมาแบบครบสามสิบสอง”