84. สิ่งประหลาดในความมืด
ยืนหน้าประตูเมืองและประจันหน้ากับความมืดไร้ก้นบึ้ง ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย ความมืดที่สังหารทุกผู้คนที่มันสัมผัสอยู่ประชิดติดหน้าเขานี่เอง มันเต้นตุบๆ ดุกดิกเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ความมืดเข้มข้นนั้นถูกกีดกันเอาไว้ด้วยแสงเรืองที่เปล่งออกมาจากเสามังกรและวิหารในจัตุรัสกลางเมือง
เขากำลังจะย่างกรายเข้าไปในความมืด
ข้างหลังเขา ยายเฒ่าซี เฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ และคนอื่นๆ ล้วนกระสับกระส่ายเสียยิ่งกว่าเขา เมื่อประตูเมืองเปิดอ้า ก็ราวกับว่าหัวใจพวกเขาถูกบีบเคล้น
เสียงครืนครันดังมาจากร่างผู้ใหญ่บ้านเจ็ดครา ราวกับว่ามีคลังสมบัติเจ็ดคลังกำลังเปิดอ้าอยู่ภายในนั้น ทำให้รัศมีของเขาพลันแผ่พุ่งรุนแรง ทั้งน่ายำเกรงและสูงส่งประดุจเทพยดา เขาลอยไปยังความมืดและกล่าว “พวกเราไปกันเถอะ มู่เอ๋อ”
ฉินมู่รีบติดตามไปทันที และมองผู้ใหญ่บ้านด้วยเนตรสวรรค์เก้าชั้น เขาได้แต่ตกตะลึงเมื่อเขามองไม่เห็นผู้ใหญ่บ้านไร้แขนขา แต่เห็นเทพเจ้าผู้น่าเกรงขามแทน!
ในตอนนั้น สายตาของเขาเห็นผู้ใหญ่บ้านเป็นเทพเจ้าที่มีแขนขากำยำแข็งแกร่ง ราวกับรูปสลักเทพที่เขาเห็นในวิหาร สิ่งที่แตกต่างก็มีแต่ผู้ใหญ่บ้านเป็นเทพที่มีชีวิต ขณะที่เทพในวิหารเป็นเพียงรูปปั้น
“ข้านึกแล้วว่าตาเฒ่านี่ต้องยังไม่ขึ้นสนิม”
เฒ่าบอดยืนอิงไม้เท้าของตนแล้วถอนหายใจ “ตาเฒ่านี่แข็งแกร่งกว่าพวกเรามากนัก!”
เฒ่าใบ้พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเห็นด้วยสุดใจ “อา อา อา อา อา!”
“เฒ่าใบ้พูดถูกแล้ว”
เฒ่าหนวกเห็นด้วยอีกเสียง “ก็เพียงแต่ไม่รู้ว่าตาเฒ่านี่จะเปล่งพลังได้นานแค่ไหน หากว่าเขาทนนานไม่พอ ทั้งคู่ก็คงจะต้องตาย”
ยายเฒ่าซีพ่นใส่ทันที “บ๊ะ! ไอ้พวกปากอีกา! ขอให้โชคดี ขอให้ปลอดภัย!”
ในความมืด จี้หยกที่อกฉินมู่ส่องแสง หนุ่มน้อยเดินตามผู้ใหญ่บ้านที่ลอยอยู่ในความมืดอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาเหลียวกลับไปมอง เมืองเขตมังกรก็คลับคล้ายกับนครร้อยเทพยดาส่องแสงอยู่ท่ามกลางความมืด มีมังกรมหึมาอยู่บนกำแพงเมือง และมีทวยเทพใหญ่โตมโหฬารยืนตรงเหยียดฟ้าอยู่ในเมือง คอยปกปักษ์พิทักษ์เสี้ยวแดนแห่งนี้ไม่ให้ความมืดย่างกรายเข้าไป
“ผู้ใหญ่บ้าน”
เขาพลันนึกขึ้นได้และกล่าวทันที “ทารกวิญญาณของข้าหลับไปอีกแล้ว”
ร่างของผู้ใหญ่บ้านสะดุดกลางอากาศ และเปลวเพลิงรางๆ อันแผดส่องจากร่างกายเขาแทบจะดับวูบ เขารีบสงบจิตสงบใจแล้วถาม “มู่เอ๋อ เจ้ายังไม่ได้บอกพวกตาเฒ่ายายเฒ่านั่นใช่ไหม”
ในจังหวะที่จิตใจหวั่นไหวเขานั่นเอง เสียงพิลึกกึกกือของมารปีศาจก็ดังแว่วมาจากความมืด ราวกับว่ามารร้ายเหล่านั้นกระซิบกระซาบนัดแนะกันหมายจะฉวยจังหวะที่เพลิงแสงดับไป เพื่อบุกเข้ามา
ฉินมู่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ จากนั้นส่ายหน้า “ข้ายังไม่มีเวลาบอกท่านยายและคนอื่นๆ ผู้ใหญ่บ้าน ท่านบอกว่าการปลุกพลังแต่ละครั้งเท่ากับหนึ่งอมตะในกายาจ้าวแดนดินสามอมตะไม่ใช่หรือ ข้าได้ปลุกพลังสามครั้งแล้วและได้ปลุกทั้งสามอมตะ ตอนนี้เมื่อทารกวิญญาณของข้าหลับไหลไปอีกครั้ง และเมื่อมันฟื้นตื่นก็จะเป็นการปลุกพลังครั้งที่สี่ ไม่รู้ว่าข้าฝึกปรืออะไรผิดพลาดหรือเปล่า…”
ผู้ใหญ่บ้านถอนใจโล่งอกแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี คำว่าสามในวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ไม่ใช่หนึ่งสองสามสี่ธรรมดา เต๋ากำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม และสามกำเนิดสรรพสิ่ง สามในกายาจ้าวแดนดินคือสามที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะปลุกพลังหลายครั้ง”
ฉินมู่พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา และอุทานด้วยความทึ่งชื่นชม “ผู้ใหญ่บ้านช่างทรงปัญญา”
เหงื่อหยดหยาดจากหน้าผากผู้ใหญ่บ้าน เขาอุทานอยู่ในใจ ดีนะที่ข้ามีไหวพริบ หลังจากคำอธิบายนี้ ไม่ว่าฉินมู่จะปลุกพลังอีกกี่ครั้งในอนาคต ข้าก็ไม่ต้องอธิบายอะไรยุ่งยาก ตัวน้อยนี่ยังหลอกง่ายอยู่ แต่ไอ้พวกตัวเฒ่าคงไม่เชื่อข้าง่ายๆ โชคยังดีที่พวกนั้นยังไม่รู้เรื่องนี้…
อย่างไรก็ดี ฉินมู่ไม่คิดว่าจะมีการปลุกพลังครั้งที่ห้า เพราะว่าแสงทองในทะเลทองถูกดูดซับไปโดยทารกวิญญาณของเขาจนหมดสิ้นแล้ว
ความมืดยิ่งหนาหนักอึ้งขึ้นเมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ มวลมืดรอบๆ เขาหนาแน่นเข้มข้นขึ้นทุกที มันแตกต่างจากที่ฉินมู่เห็นในตอนแรก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายื่นมือออกไปจะแตะความมืด ความมืดพลันจางหายไปและเผยให้เห็นแดนมืดปรากฏขึ้นมาพร้อมกับสตรีที่ยื่นมือมาทางเขา
แต่ในขณะนี้ ความมืดยิ่งมายิ่งดำราวน้ำมันดิบ นอกจากบริเวณที่แสงจากร่างของผู้ใหญ่บ้านส่องไป เขาก็มองไม่เห็นอะไรอื่น
ทันใดนั้น ม่านแสงก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีสัตว์ปีศาจตัวยักษ์ปะทะเข้าใส่ม่านแสง ฉินมู่เหลียวมองดูทันทีและขนหัวลุกซู่ เขาเห็นเงามืดมหึมาพยายามจะฉีกทึ้งแสงสว่างที่สาดส่องจากร่างของผู้ใหญ่บ้าน
ฟิ้ว
ในเส้นผมของผู้ใหญ่บ้าน พลันมีแสงกระบี่แปลบปลาบ และพุ่งซัดเข้าไปในความมืด เงาดำมหึมานั้นพลันบิดเบี้ยวและกะพริบวูบวาบราวกับเงาที่กำลังจางหาย ดูคล้ายจะกลืนกลับไปสู่ความมืดอีกครา
แสงกระบี่พุ่งกลับมา ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าเคร่งขรึม เลือดหยดหนึ่งค่อยๆ หยาดลงจากปลายแสงกระบี่ ฉินมู่ยกมือขึ้นมาจะรองเลือดหยดนั้นมาดู ผู้ใหญ่บ้านรีบส่ายหัวแล้วกล่าว “อย่าแตะมัน”
หยดโลหิตร่วงหล่นลงสู่พื้น และสร้างเสียงฉี่ๆ เมื่อกระทบลงกับหิน สิ่งที่ตามมาคือความเหี่ยวเฉายืนตายของต้นไม้ใบหญ้าทุกกิ่งใบในบริเวณรอบๆ
ฉินมู่เดินตามผู้ใหญ่บ้านไป พวกเขาเดินไปกว่าร้อยห้าสิบวาถึงจะพ้นระยะที่โลหิตหยดนี้ส่งผลต่อธรรมชาติ ทำให้เขาได้แต่ตกตะลึง
“ปีศาจในความมืดเมื่อครู่มีกำลังกล้าแข็ง ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า”
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเขามองไปรอบๆ ตัว เขาสามารถเห็นเงาหลายเงาคืบคลานวนเวียนไปมารอบๆ พวกเขา “เลือดหยดนี้เป็นโลหิตของเทพมาร หากว่าเมื่อครู่เจ้าแตะต้องโลหิตหยดนั้น ภาพวาดรูปสลักเทพบนตัวเจ้าที่เฒ่าหนวกวาดไว้ให้ก็จะแปดเปื้อนและกลายเป็นไร้ประโยชน์ มู่เอ๋อ ในเมื่อเจ้าลอยมาจากทางเหนือน้ำ ดังนั้นพวกเราลองไปตามทิศทางเหนือน้ำของแม่น้ำหย่งกัน”
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็มาถึงริมฝั่งน้ำ ผู้ใหญ่บ้านลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ขณะที่ฉินมู่รีบรุดติดตามเขาไปโดยเหยียบผิวน้ำเดิน เมื่อมองไปรอบๆ ฉินมู่ยังสามารถเห็นเงามืดวูบไหวไปมา และได้ยินเสียงกระซิบแปลกประหลาดดังแว่วมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับว่ามารปีศาจในความมืดกับปรึกษาหารือกันว่าจะฉีกเนื้อพวกเขาไปแบ่งกันกินอย่างไร ทำให้โลหิตในร่างเขาเย็นเฉียบจากความคิดนี้
แต่ด้วยมีผู้ใหญ่บ้านอยู่ข้างๆ เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “พวกเราไปที่จุดกำเนิดแม่น้ำหย่งกัน พวกเราต้องเดินทางไปกว่าห้าพันลี้ แต่เจ้าเดินช้าเกินไป ให้ข้าแบกเจ้าล่ะกัน”
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าร่างของเขาเบาหวิว และลอยขึ้นไปจากพื้นราวกับขนห่าน เพลิงแสงรอบร่างผู้ใหญ่บ้านพลันเจิดจ้าขึ้นหลายเท่าตัว และด้วยแสงเทวะนี้ ร่างของเขาก็เปล่งรัศมีน่าเกรงขามมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับยักษ์โบราณที่สามารถยืนค้ำฟ้าแบกดิน เขาย่างเท้าไปอย่างรวดเร็วสู่ต้นน้ำของแม่น้ำหย่ง
ฉินมู่ตะลึงลาน ความเร็วระดับนี้เร็วราวกับสายฟ้า พวกเขาผ่านคุ้งน้ำและภูเขานับพันในพริบตา!
หากว่าเขาใช้ตาเนื้อมองดูผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ยังคงไม่มีแขนขา แต่เมื่อใช้เนตรสวรรค์เก้ามองดู ผู้ใหญ่บ้านมีแขนขากำยำราวกับเทพยดา ทั้งสองร่างนี้ปรากฏทับซ้อนกันตลอดเวลา
ถ้างั้นแล้ว แปลว่าผู้ใหญ่บ้านมีแขนขาหรือไม่มีแขนขากันแน่ เขาพิศวงกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
เมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ผ่านภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วน และเดินทางไปหลายพันลี้ ความกว้างของแม่น้ำหย่งก็แคบลงเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้จุดกำเนิดต้นน้ำแม่น้ำหย่ง
ตลอดทางนั้น ฉินมู่ได้เห็นภาพอันปกติเขาไม่มีทางได้เห็น เขาเห็นยักษ์ปักหลั่นตัวสูงลิ่วยืนเรียงรายอยู่ริมฝั่ง เปล่งแสงเทวะเจิดจ้าราวกับคบเพลิง!
พวกนั้นคือรูปสลักหินที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำหย่ง ในตอนเช้าพวกมันก็จะเป็นรูปสลักหินธรรมดา แต่เมื่อราตรีมาถึง ตาเนื้อเขาสามารถเห็นแสงเรื่อเรืองอันเปล่งออกมาจากรูปสลัก แต่ด้วยเนตรเทวะเขาจะเห็นโลกอีกใบหนึ่ง!
นอกจากหมู่บ้านเหล่านี้ ยังมีซากโบราณหลายแห่งตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำหย่ง แสงเทวะอันฉายฉานจากที่นั่นสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ฉินมู่ถึงกับเห็นยักษ์มีชีวิตเดินไปมาในซากโบราณ!
มีเทพและมารที่ยังมีชีวิตอยู่หรือ ฉินมู่ตกตะลึง
ไม่เพียงแต่ยักษ์ปักหลั่นที่เดินไปมาในซากโบราณ เขายังเห็นสิ่งประหลาดกว่านั้น มันมีสัตว์ยักษ์อันปรากฏแต่ในตำนานปรัมปรา กำลังล่าเหยื่ออยู่!
สัตว์เทวะเหล่านั้นตัวใหญ่โตราวกับภูเขา พวกมันต่อสู้กับปีศาจร้ายในความมืด ทำลายภูเขา พลิกแผ่นดิน สัตว์เทวะพวกนั้นฉายแสงเทวะออกมาจากร่างราวกับคบเพลิงสว่างจ้าท่ามกลางความมืด!
ในค่ำคืนนี้ เขาได้เห็นอีกโฉมหน้าของแดนโบราณวินาศ โลกอันยิ่งใหญ่ราวมหากาพย์และตำนานปรัมปรา
เมื่อครั้งที่ยายเฒ่าซีเก็บฉินมู่มาจากริมน้ำ พวกเขาคะเนว่าฉินมู่และสตรีที่อยู่ในน้ำลอยมาจากทางต้นน้ำ และในบัดนี้เมื่อเขามาถึงจุดกำเนิดต้นน้ำของแม่น้ำหย่งแล้ว หากว่ายังไม่อาจค้นพบหมู่บ้านไร้กังวล ก็คงได้แต่กลับไปมือเปล่า
แดนโบราณวินาศทั้งกว้างใหญ่และอันตรายเกินไป พวกเขาไม่อาจค้นหาสำรวจทั้งทั้งแดนโบราณวินาศได้ภายในคืนเดียว
ในตอนนั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านก็ยั้งเท้าทันที ฉินมู่รีบตั้งตัวและทำท่าจะกล่าวอะไร แต่ทันใดนั้นขนหัวเขาก็ลุกชูชัน เขารีบหุบปากลง แม้แต่ลมหายใจก็ไม่กล้าระบาย
ตรงหน้าพวกเขาคือกองทัพใหญ่ที่กำลังเคลื่อนพลลึกเข้าไปในแดนโบราณวินาศ ทหารในทัพล้วนแต่สูงใหญ่น่าเกรงขามราวกับเทพและมารอันส่องรัศมีเจิดจ้า แต่ว่าใบหน้าของพวกเขาซีดขาว และมีดวงตาอันไร้ชีวิตชีวา ปากของเขาเน่าเปื่อยเห็นฟันโผล่แพลมออกมา แม้ว่ารัศมีของพวกเขาจะเจิดจ้าน่ายำเกรงเพียงใด แต่เทพและมารเหล่านี้ก็เป็นเพียงซากศพที่เดินได้!
พวกเขาบางตนแขนขาด บางตนก็ขาขาด บางตนก็เหลือศีรษะเพียงครึ่งซีก และบางตนก็มีรูโบ๋ใหญ่กลางหน้าอก อาวุธในมือพวกเขาก็เก่าพังขึ้นสนิม
และเมื่อกองทัพอันประกอบไปด้วยซากศพของมารและเทพเคลื่อนตะลุยผ่านป่าและแม่น้ำ ก็เห็นมีรถศึกโบราณอันทำจากสำริดอยู่ในกองทัพ รถศึกนั้นพังแทบไม่เหลือดี และธงทิวอันปกอยู่บนรถศึกก็เต็มไปด้วยรูแหว่งวิ่น
ยังมีเรือสำริดลอยตามลำน้ำมาไกลๆ เรือศึกเหล่านี้ก็เก่าพังอย่างหนัก มีรูทะลุเต็มข้างลำเรือ ใบเรือนั้นก็หักพังไปแล้ว
ฉินมู่ไม่กล้าปล่อยลมหายใจ และแม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็เงียบกริบไม่ส่งเสียง เขายืนมองกองทัพแปลกประหลาดนี้อย่างเงียบงัน
เมื่อกองทัพซากศพข้ามแม่น้ำหย่งไปแล้ว ฉินมู่ถึงปล่อยลมหายใจ และหอบหายใจอย่างหนัก ผู้ใหญ่บ้านเองก็ระบายลมหายใจที่กลั้นไว้เช่นกัน สายตาเขาวูบไหว “พวกเราตามไปดูกันเถอะ” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ลอยตามกองทัพซากศพไป
ทันใดนั้นเสียงรบราฆ่าฟันอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ดังมาจากข้างหน้า ทั้งมีแรงสั่นสะเทือนน่าหวาดผวาส่งมาด้วย ผู้ใหญ่บ้านนำฉินมู่ไปที่ยอดเขาที่ซึ่งพวกเขาทั้งสองได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เขาเห็นซากศพอันแทบไม่เหลือดีของเทพและมารเหล่านั้นทำศึกสัประยุทธ์ กองกำลังที่พวกเขาต่อสู้ด้วยก็เป็นบรรดาซากศพที่ถืออาวุธแปลกประหลาด และเปล่งรัศมีเจิดจ้าออกจากร่าง ส่องให้ทั้งหุบเขานั้นกระจ่างสว่างดุจกลางวัน!
“นี่คือสนามรบโบราณของมารและเทพ!”
ผู้ใหญ่บ้านสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และดึงฉินมู่ถอยออกไปทันที พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม “ข้าเคยมาที่สนามรบโบราณของมารและเทพครั้งหนึ่ง และมันอันตรายจนข้าแทบเอาตัวไม่รอด ตอนกลางวันไม่มีซากศพของเทพและมารปรากฏให้เห็น แต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดินซากศพเหล่านี้ก็จะลุกขึ้นมา และยกทัพเข้ามาต่อสู้กันในสมรภูมิ…”
ฉินมู่อึ้งจนพูดไม่ออก สองฝ่ายนี้มีความแค้นอะไรกันนัก ถึงขนาดว่าเทพและมารเหล่านี้ยังคงรบราฆ่าฟันกันแม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว
“มู่เอ๋อ เจ้าต้องระวังให้มาก ตอนนี้เราอยู่ลึกเข้ามาในใจกลางแดนโบราณวินาศ อย่าเดินออกห่างจากข้าเด็ดขาด” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างเคร่งขรึม