Skip to content

Tales of Herding Gods 85

85. เรือโดดเดี่ยวในทะเลหมอก

เมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปทางต้นน้ำ เหลืออีกร้อยลี้ก็จะถึงแห่งกำเนิดแม่น้ำหย่ง ปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารยิ่งปรากฏบ่อยขึ้นทุกที

ฉินมู่เห็นแสงเบื้องหน้าฉายเรืองรองในความมืด มันเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ส่องแสงสว่างจับตา

ในหมู่บ้านมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งกำลังพับปะเรือกระดาษ ทุกครั้งที่เขาพับเรือกระดาษเสร็จลำหนึ่ง มันก็จะลอยออกไปจากหมู่บ้านโดยอัตโนมัติและลอยลงไปจอดที่ริมฝั่งน้ำ ในแม่น้ำมีชายและหญิงที่เนื้อตัวเปียกโชกปีนไต่ขึ้นมาบนเรือ จากนั้นเรือกระดาษก็จะแล่นไปยังใจกลางแม่น้ำอันปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาทึบ แล้วหายวับเข้าไปในมวลหมอกนั้น

“นั่นคือผู้นำทางความตาย”

ผู้ใหญ่บ้านกระซิบ “พวกเขาจะปรากฏตัวยามค่ำคืนเพื่อนำผู้คนที่ตายในแม่น้ำไปส่งข้ามแดน อย่าไปรบกวนเขา”

“ผู้นำทางความตาย?”

ฉินมู่สนใจใคร่รู้และมองสองสามทีไปยังผู้เฒ่านั้น ใบหน้าของผู้เฒ่าพร่าเลือนราวกับว่ามีผ้าบางๆ บดบังใบหน้าของเขา ฉินมู่จึงไม่อาจเห็นโครงหน้าเขาได้

ผู้เฒ่าในหมู่บ้านดูราวจะรับรู้ถึงสายตา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองฉินมู่ โลหิตในกายฉินมู่พลันเย็นเยียบ และรู้สึกว่าวิญญาณของเขาสั่นไหว ราวกับจะโบยบินออกจากร่างได้ทุกเมื่อ แต่ในตอนนั้นเอง สุรเสียงของพุทธองค์ก็แผดก้องมาจากใจกลางระหว่างคิ้วของฉินมู่ รอยรูปยูไลที่เฒ่าหม่าฝากฝังไว้บนใจกลางระหว่างคิ้วเขาฉายแสงเจิดจ้า และป้องกันสายตาของผู้เฒ่านั้น

“ผู้ที่มีชีวิตห้ามเข้ามา” เสียงเบาบางลอยมา และผู้เฒ่าก็ก้มหน้าลงพับปะเรือกระดาษต่อ

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างรอบคอบ “มู่เอ๋อ อย่าไปยุ่มย่ามกับโลกหลังความตาย”

“โลกหลังความตาย?”

ฉินมู่ชะงักแล้วถาม “พวกเราอยู่ในแดนโบราณวินาศชัดๆ และนี่ไม่ใช่โลกหลังความตาย ทำไมผู้ใหญ่บ้านถึงกล่าวเช่นนั้น…”

“มีสถานที่ประหลาดพิสดารมากมายในแดนโบราณวินาศที่เชื่อมต่อกับโลกมิติอื่นๆ หมู่บ้านเล็กๆ นั่นคือสถานที่ที่เชื่อมต่อระหว่างโลกหลังความตายและโลกของเรา”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “ไม่เพียงแต่สถานที่แบบนี้จะปรากฏในแดนโบราณวินาศ นอกแดนโบราณวินาศก็มีสถานที่คล้ายคลึงกัน หากว่าเจ้าออกไปนอกแดนโบราณวินาศพบเห็นหมู่บ้านแบบนี้และผู้เฒ่าแบบนี้ อย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา หากว่าเจ้าไม่ท้าทายพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกของคนเป็น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาถือได้ว่ามีความรู้กว้างขวาง และเจ้าสามารถถามทางเขาได้ พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านรู้ทางไปหมู่บ้านไร้กังวลไหม”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นชี้ไปยังความมืดภายนอก “เจ้าไม่สามารถไปยังหมู่บ้านไร้กังวลที่แท้จริงได้”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวขอบคุณ และทั้งคู่ก็พากันเดินทางไปต่อ ไม่รู้ว่าเดินไปตามทิศทางที่ผู้เฒ่าชี้นานเท่าใด จู่ๆ จี้หยกที่อกของฉินมู่ก็ลอยขึ้นมา และชี้ไปเบื้องหน้า

ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย “ผู้ใหญ่บ้าน!”

ผู้ใหญ่บ้านหันกลับไปเห็นภาพดังกล่าว เขาพยักหน้าเล็กน้อย ฉินมู่คว้าจี้หยกลงมา ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยมือจากมัน

จี้หยกลอยขึ้นไปบนอากาศและลอยเลื่อนไปเบื้องหน้า ผู้ใหญ่บ้านรีบพาฉินมู่ติดตามจี้หยกไป ความเร็วของจี้หยกเพิ่มขึ้นเร็วขึ้น จนราวกับว่ามันคือดาวหางที่พุ่งวาบกรีดความมืด

ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านรีบรุดติดตาม และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตุบ เสียงนั้นคล้ายกับลูกบอลเล็กๆ ร่วงลงสู่แม่น้ำ เมื่อจี้หยกพุ่งเข้าไปปะทะกับเยื่อม่านบางอย่างและสร้างคลื่นกระเพื่อมในอากาศ

ข้างหน้าฉินมู่และผู้ใหญ่บ้าน ดูราวกับว่ามีโลกประหลาดพิสดารที่ค่อยๆ แง้มเผยออกจากคลื่นกระเพื่อมนั้น ข้างในเป็นดินแดนกว้างใหญ่อันถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก และเต็มไปด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้า ดินแดนดังกล่าวซ่อนลึกอยู่ในความมืดซ้อนทับความมืดแต่ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นความมืด

“มีโลกอื่นซ่อนอยู่ในความมืดจริงๆ ด้วย!”

ผู้ใหญ่บ้านนำฉินมู่ตามเข้าไป ฉินมู่เอื้อมมือคว้าจี้หยกลงมา ครุ่นคิดด้วยความวุ่นวายใจ ที่นี่มีหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ใช่ไหม แล้วพ่อแม่ข้าจะอยู่ที่นี่ไหม

ฉินมู่สวมใส่จี้หยกคืนที่คอ แล้วเดินตามทิศทางที่มันลอยชี้ไป ผู้ใหญ่รีบยับยั้งเขาและกล่าวอย่างใจเย็น “มู่เอ๋อ ในเมื่อเรามาถึงที่นี่ได้ ก็ไม่ต้องรีบร้อน เราควรค่อยๆ คิดอ่านไปทีละขั้น แต่ที่นี่มีอะไรแปลกๆ…”

ฉินมู่ระงับใจและเดินไปข้างหน้า เทือกเขาเสียดฟ้าที่นี่ดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่มันปกคลุมไว้ด้วยหมอกเทาทึบ ทำให้มองเห็นเพียงแค่เงาตะคุ่ม ที่นี่คือหมู่บ้านไร้กังวลจริงน่ะหรือ

ไหนผู้นำทางความตายบอกว่าพวกเขาไม่มีทางหาหมู่บ้านไร้กังวลพบ

หมอกเทาเบื้องหน้าทำให้ภูเขาดูลางเลือน ดังนั้นนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบจากใต้เท้าฉินมู่ และมีเสียงร้องออกมา “โอ๊ย! เจ้าเหยียบข้า…”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบมองลงไป เขาเห็นโครงกระดูกชักมือกลับจากใต้เท้าของเขา จากนั้นก็เห็นกะโหลกผีโผล่ขึ้นมาจากหมอก มัน ‘มอง’ มาที่เขาด้วยรูตาโบ๋ๆ

“มนุษย์!”

โครงกระดูกหวีดร้องเสียงแสบแก้วหูสะท้อนก้องไปมาในโลกอันขมุกขมัวด้วยหมอกเทา

ฉินมู่รีบถอยกลับ แต่ได้ยินเสียงกรอบแกรบอีกเสียงใต้เท้าเขา ตอนนั้นแหละเขาถึงเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วนกองเต็มไปทั่วพื้น กองกระดูกสุมทับถมกันจนไม่รู้ว่าก่ายกองกันลึกแค่ไหน!

เนตรสวรรค์เก้าในดวงตาเขาโคจรปลุกพลัง เขามองตรงไปยังภูเขาและสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที

ภูเขาในม่านหมอกไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่เป็นภูเขาอันล้วนสร้างสุมขึ้นมาด้วยกองกระดูก ภูเขากระดูกเหล่านั้นซุ่มซ่อนอยู่ในดงหมอก!

ขนหัวฉินมู่ลุกชูชันเมื่อเห็นโครงกระดูกบนพื้นทยอยผุดลุกขึ้นมาทีละโครงสองโครง กระดูกผีเหล่านั้นยืนโคลงเคลงอยู่ในหมอกเทาขมุกขมัว และเสียงบิดเบี้ยวพิกลจำนวนมากสะท้อนก้องไปมาในหมอก “มนุษย์หรือ ไหนมนุษย์”

“นานแล้วที่ไม่มีมนุษย์ผ่านมา! มนุษย์คนไหนนะที่มาถึงที่นี่ได้”

“พวกมันมีเลือดเนื้อ พวกเราไม่มีเลือดเนื้อ ขโมยเลือดเนื้อพวกมัน…”

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วเมื่อมองไปที่ไกลๆ ภูเขาห่างไกลออกไปนั้นก็สั่นสะเทือน ภูเขาลุกขึ้นยืนและเหยียบย่างมาข้างหน้าราวกับปีศาจร้ายที่ประกอบไปด้วยกระดูกขาวโพลนนับไม่ถ้วน และเมื่อภูเขากระดูกก้าวเข้ามา มันก็มีกระดูกผีจากพื้นที่ลุกขึ้นเต้นไปมา ก่อนจะปีนป่ายขึ้นไปรวมตัวกับภูเขา ทำให้ภูเขาผีสางนี้ยิ่งใหญ่มหึมาขึ้นทุกที

กระดูกเหล่านั้นยังมีพลานุภาพของมารและเทพ นี่หมายความว่ากระดูกพวกนี้เป็นกระดูกของมารและเทพ!

เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ของกระดูกผีดังอึงอลสับสนไปหมด เมื่อพวกมันกรีดร้องจะกินเนื้อมนุษย์ และปีนป่ายตะกายมาที่นี่

“กระดูกผีเยอะแยะพวกนี้มาจากไหนกัน”

ผู้ใหญ่บ้านเองก็อุทานไม่หยุดปากอย่างช่วยไม่ได้ กระดูกผีตัวเล็กสามสี่ตัวซึ่งสูงราวๆ สามคืบวิ่งปุเลงๆ จากหมอกเทา แล้วเกาะขาฉินมู่หมายจะกัดแทะ ฉินมู่ฟาดฝ่ามือทำลายพวกมัน แต่โครงกระดูกก็ยังระดมเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับคลื่นยักษ์ในทะเลกว้าง ดูน่าสยองพองขน!

ปราณชีวิตผู้ใหญ่บ้านแผ่พุ่งออกไปและแปรรูปลักษณ์เป็นแสงกระบี่ แต่กระดูกผีที่นี่มีมากมายเกินไป ถึงแม้จะเป็นเขาก็ยังต้องปวดกะโหลก ยิ่งเมื่อยังต้องเผชิญกับกระดูกมารและเทพอันยากจะรับมือ

แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีแสงทองเปล่งออกจากมาจากใจกลางระหว่างคิ้วของฉินมู่ เงารูปพุทธองค์มหึมาพันปรากฏเบื้องหลังพวกเขา กระดูกผีจำนวนนับไม่ถ้วนพลันกรีดร้องและวิ่งกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศ

โครงกระดูกจำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นปีศาจกระดูกยักษ์ที่วิ่งตึงๆ หนีจากไป ปีศาจยักษ์บางตัวก็สะดุดล้มคะมำแตกกระจายเป็นกระดูกผีจำนวนมากที่วิ่งกระเจิดกระเจิง และกระดูกผีพวกนั้นวิ่งไปสักหน่อยก็รวมตัวกันอีก

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก รูปเงาพุทธองค์ที่อยู่บนใจกลางระหว่างคิ้วเขามีอิทธิฤทธิ์กำราบกระดูกผีสางพวกนี้ ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้

ภูเขากระดูกไกลๆ นั่นก็ชะงัก และยืนมองจากทิศโน้น เมื่อเห็นเงามหาพุทธะข้างหลังฉินมู่ พวกมันก็ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาเช่นกัน

หมอกเทาอันบิดเกลียวม้วนลอยท่วมภูเขาทำให้มันดูเหมือนกับมหาสมุทรแห่งม่านหมอก ทันใดนั้นก็มีแสงสาดส่องมาจับความสนใจของฉินมู่ เขาตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเรือเล็กอันสร้างขึ้นจากใบไม้ลอยเหนือหมอกหนาระหว่างภูเขาโครงกระดูก

เรือใบไม้ลำน้อยนั้นลอยอยู่บนหมอก ที่กราบเรือแขวนไว้ด้วยตะเกียงบนเสาโดดเดี่ยว เสานั้นไร้ใบเรือ และตะเกียงก็เปล่งแสงเรื่อเรืองออกมา

ที่ท้ายเรือ มีชาวเรือสวมใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ขาดวิ่น และสวมหมวกไม้ไผ่ไว้บนศีรษะ พร้อมกับคัดไม้พายไปด้วย และภายใต้ตะเกียง มีชายอีกคนที่สวมหมวกไม้ไผ่เช่นกัน ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด

เรือน้อยแล่นเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว และชายใต้ตะเกียงก็ยืนขึ้น เขาหันหลังกลับไปโค้งคารวะชาวเรือและควักเหรียญทองออกมาหนึ่งเหรียญ

เมื่อชาวเรือยื่นมืออกมารับเหรียญทองนั้น ฉินมู่จึงสังเกตว่าฝ่ามือของเขาไม่มีเลือดเนื้อ!

ภายใต้หมวกไม้ไผ่และเสื้อคลุมขาดวิ่น จริงๆ แล้วคือโครงกระดูก!

โครงกระดูกกำลังพายเรือ!

ชายใต้ตะเกียงลงเรือ และอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉินมู่และผู้ใหญ่บ้าน เขาโค้งแล้วกล่าวทักทายด้วยเสียงอันชราภาพ “สหาย”

ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านโค้งตอบ และทักทายกลับไป “สหาย”

ชายผู้นั้นกดหมวกไม้ไผ่สานของตนให้เข้าที่ แล้วเดินจากไป

ผู้ใหญ่บ้านร้องเรียกทันใด “ช้าก่อน สหาย!”

คนผู้นั้นยั้งเท้า

ผู้ใหญ่บ้านถาม “ไม่ทราบว่าสหายพอจะมีเหรียญเหลือแบ่งไหม”

คนผู้นั้นหัวเราะเสียงแหบแห้ง “เจ้าไม่มีเงินติดตัวมาแต่ยังหวังให้ภูตผีพายเรือให้?”

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้ม“นั่นแหละ ข้าถึงอยากจะยืมจากสหายเสียหน่อย”

เสียงหัวเราะดังมาจากใต้หมวกไม้ไผ่สาน “กระบี่เทวะเฒ่า นานมากแล้วตั้งที่เราได้เจอกันครั้งสุดท้าย รุ่นราวคราวเดียวกับพวกเราแทบไม่เหลือหลอ นับว่าเป็นชะตาลิขิตที่พวกเราได้พบเจอกันที่นี่อีกครา ก็ได้ ข้าจะให้เหรียญเฝิงตู่แก่เจ้าสามสี่เหรียญ”

เขายื่นมือออกไป และมีเหรียญทองจำนวนหนึ่งลอยอยู่กลางฝ่ามือ

ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราณชีวิตของผู้ใหญ่บ้านพลันก่อรูปงอกออกมาเป็นแขนขา เขายืนมือออกไปอย่างช้าๆ คว้าจับเหรียญทองเหล่านั้น

เมื่อมือของทั้งคู่สัมผัสกัน ร่างของทั้งสองฝ่ายก็โงนเงนไปมา

ชายใต้หมวกไม้ไผ่ชักมือของเขากลับ หันกายจากไปพลางถอนหายใจ “ถึงเจ้าจะชราแต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าข้านิดนึง แต่ดีอยู่ว่าข้าอายุน้อยกว่าและคงจะลงโลงช้ากว่าเจ้าหน่อย”

ผู้ใหญ่บ้านส่งสายตาตามหลังเขาไป “เจ้าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะตายทีหลังข้า”

“ใครจะรู้”

ชายใต้หมวกไม้ไผ่กระโจนขึ้นไปในอากาศแล้วหายวับ ผู้ใหญ่บ้านเปิดฝ่ามือออกปล่อยเหรียญทองสี่เหรียญร่วงลงในมือฉินมู่ แขนและขาอันก่อรูปจากปราณชีวิตของเขาค่อยๆ จางลง เขากล่าว “มู่เอ๋อ พวกเราขึ้นเรือกัน”

ฉินมู่ปีนขึ้นเรือเล็กนั้นด้วยความกังวลเล็กน้อย ผู้ใหญ่บ้านเองก็ลอยขึ้นมาเอนร่างตนกับเสาเรือ ชาวเรือที่อยู่ท้ายเรือปรับหางเสือ แล้วเริ่มต้นพายเรืออย่างไม่รีบร้อน พาเรือลอยไปอย่างแช่มช้ามั่นคงแหวกม่านหมอกหนาทึบลึกเข้าไปในระหว่างเทือกเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version