Skip to content

Tales of Herding Gods 87

87. กับดัก

ฉินมู่พึมพำ “ทำไมเรือจันทราถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”

เรือนั้นน่าจะเป็นเรือจันทราดูจากความคล้ายคลึงกับเรือตะวันของมัน รอบๆ เรือจันทรานั้นเงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน เรือนี้หักพังและร่วงคาอยู่ระหว่างเทือกเขา ดวงจันทร์ดับแสงที่เหลืออยู่กึ่งลูกลอยนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า เรือนั้นจอดอยู่ห่างจากเมืองที่ใกล้ที่สุดราวๆ ร้อยลี้

ทิศทางที่จี้หยกลอยนำทางไป เป็นทิศทางที่มุ่งหน้าไปยังเรือจันทรา

สองเรือลึกลับบนแผนที่แดนโบราณวินาศ เรือตะวันและเรือจันทรา ฉินมู่และผู้ใหญ่บ้านเคยเห็นเรือตะวันมาแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นเรือจันทรา

เรือจันทรานี้ไม่ได้เล็กไปกว่าเรือตะวันเลย เรือตะวันดูเหมือนภูเขาไฟที่มีขา มียอดเขาอันพ่นไฟและลาวาเดือดพล่าน แต่ในทางกลับกัน เรือจันทราเป็นสีเงินเทา นั่งคุดคู้เหมือนคางคกเงินสามขา หรือจะกล่าวให้ชัดกว่านั้นมันเหมือนคางคกแบกเรือแล้วนั่งคุดคู้อยู่ระหว่างเทือกเขา

ยังกับว่าเรือจันทรานั้นยังมีชีวิตอยู่ เมื่อภูเขาอันประกอบเป็นเรือไหวพะเยิบพะยาบขึ้นลงช้าๆ ราวกับว่ากำลังหายใจ แต่สภาพของเรือนั้นพังย่อยยับและอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเรือตะวันมาก

เรือตะวันได้ปรากฏตัวแดนโบราณวินาศและแล่นกลับไปยังบ่อตะวัน แล้วไฉนเรือจันทราจึงมาปรากฏอยู่ที่แดนยมโลกและไม่กลับไปยังบ่อจันทรา

“หมู่บ้านไร้กังวลนี่หมายถึงเฝิงตู่หรือว่าเรือจันทรากันแน่” ฉินมู่พึมพำ

“หมู่บ้านไร้กังวล อะไรคือไร้กังวล เมื่อคนผู้หนึ่งตายไปนั่นถึงเรียกว่าปลดแอกความกังวลทั้งหมด หรือหมู่บ้านไร้กังวลนี่หมายถึงเมืองเฝิงตู่ แดนยมโลก”

ผู้ใหญ่บ้านข่มระงับความตระหนกในใจ “แต่ว่าหมู่บ้านไร้กังวลก็อาจหมายถึงเรือจันทราได้เช่นกัน เมื่อเรือจันทราแล่นทะลวงผ่านความมืด ผู้คนบนเรือก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ในความสุขสงบไร้สิ่งกังวล…ผู้พิทักษ์ตะวันบอกเจ้าไม่ใช่หรือว่า หมู่บ้านไร้กังวลจะปรากฏในความมืด และไม่รู้ว่ามันจะปรากฏขึ้นที่ใด นี่หมายความว่าหมู่บ้านไร้กังวลนั้นเคลื่อนที่ตลอดเวลา และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจอธิบายได้ว่าหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ในบริเวณใด บริเวณหนึ่งของเรือจันทรา เรือจันทราจะปรากฏและแล่นไปในยามราตรี มันจะนำพาหมู่บ้านไร้กังวลเคลื่อนที่ไปด้วย หมู่บ้านนั้นจึงไม่มีพิกัดที่แน่นอนตายตัว มู่เอ๋อ…”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้า แต่ถ้ามันจริงขึ้นมา บางทีเจ้าอาจจะเป็นนักต้อนจันทรา”

“ข้าเป็นนักต้อนจันทรา?” ฉินมู่ตะลึงไปครู่ ไม่เข้าใจความนัยนั้น

“หากว่าเจ้าถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวล เจ้าอาจจะเป็นลูกหลานของเผ่านักต้อนจันทรา”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มกล่าว “เจ้าบอกเล่าไม่ใช่หรือว่า เจ้าเห็นหญิงผู้หนึ่งยื่นมือมาจากความมืดหมายจะสัมผัสกับมือเจ้าบนยอดเสามังกร? ข้าคิดว่าหญิงนางนั้นน่าจะเป็นญาติร่วมสายเลือดกับเจ้า หรือแม้แต่เป็น…”

เขาไม่พูดจนจบ แต่ฉินมู่เข้าใจสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ หญิงผู้นั้นอาจจะเป็นมารดาของฉินมู่!

เมื่อครั้งโน้น เรือจันทราคงพาหมู่บ้านไร้กังวลมายังริมเขตแดนเมืองเขตมังกร เรือตะวันมาตอนกลางวัน ส่วนเรือจันทรามาตอนกลางคืน หญิงนางนั้นคงค้นพบฉินมู่และสังเกตเห็นจี้หยกบนคอของเขา ดังนั้นจึงหมายจะพบปะกัน!

แต่ว่า ด้วยสภาพพังพินาศรกร้างของเรือจันทราที่เห็นนี้ นักต้อนจันทราอาศัยอยู่ในที่แบบนี้จริงๆ น่ะหรือ

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเรือจันทราจึงมาปรากฏในแดนยมโลก

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องเพลงกังวานใสมาจากเรือจันทรา เสียงนั้นแม้จะไพเราะแต่ก็เย็นเยียบและบิดเบี้ยว ราวกับเสียงโหยไห้ของมารดาผู้สูญเสียลูกไป

โอ้…จำพรากจากไกล

กิ่งหลิวพลิ้วไหว

คล้ายรีดหยดหยาดน้ำตา

และยามเมื่อข้ากลับมา

หิมะร่วงฟ้า

โน้มกิ่งซบเซาหลับใหล

หนทางยาวไกลแสนไกล

ยากเย็นเข็ญใจ

ฤทัยข้าทุกข์สุดจะทน

ในใต้ต่ำฟ้าเวหน

หรือมีผู้คน

ซึ้งถึงใจทุรนร้าวราน…

เมื่อฉินมู่ได้ยินเสียงเพลง เขาก็รู้สึกตีบตันขึ้นมาในอกคล้ายจะร่ำไห้ แต่เพียงเพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีเลือดเนื้อ จึงไม่มีน้ำตาให้ปาดป้าย

เพลงนั้นลอยมาจากเรือจันทราใหญ่มหึมา แว่วแผ่วเบาแทบจะฟังไม่ออก ทั้งยังเศร้าสลดรัดทดใจหน่วงหนัก ความคะนึงหาบุตรของนางผู้นั้นได้เปลี่ยนรูปเป็นดนตรีอันโหยไห้

เมื่อมองไปที่เรือจันทรา ก็มีสตรีงดงามนางหนึ่งยืนอยู่ที่กราบเรือท่ามกลางมวลหมอกสีเทา นางมองตรงมายังฉินมู่

สายตาโหยหาอาวรณ์ไร้สิ้นสุดนั้นดูราวจะเข้ามาสัมผัสเขาผ่านอากาศ

ฉินมู่อยากจะหลับตาลงแต่ไม่อาจทำได้ เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงบอกผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับกันเถอะ”

ผู้ใหญ่บ้านตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามเขาอย่างนุ่มนวล “เจ้าไม่ขึ้นไปพบนางหรือ”

ฉินมู่ส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยสีหน้าทื่อ “นางไม่ใช่ญาติร่วมสายเลือดของข้า และที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านไร้กังวล”

หัวใจผู้ใหญ่บ้านสั่นเทิ้ม “เจ้ามองเห็นอะไรจากเนตรสวรรค์เก้าที่เฒ่าบอดปลุกให้”

แม้ว่าเขาจะมีกำลังฝีมือแข็งแกร่งอัศจรรย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องของวิชาเนตร เฒ่าบอดเหนือล้ำกว่าเขา และเมื่อเฒ่าบอดใช้พลังวัตรของตนปลุกเนตรเทวะให้ฉินมู่ สิ่งที่ฉินมู่มองเห็นย่อมเหนือชั้นกว่าสิ่งที่เขามองเห็น

“สิ่งที่ข้าเห็นไม่ใช่สตรี แต่เป็นเทพมารตนหนึ่ง”

สายตาของฉินมู่ทอดลงไปบนสตรีบนเรือจันทรา และสิ่งที่เขาเห็นมิใช่มารดาที่กำลังโหยไห้ถึงบุตรของตน แต่กลับเป็นมารเทพที่มีกลิ่นอายชั่วร้าย และมีแผ่นกระดูกกลมหมุนเป็นรัศมีอยู่เบื้องหลังกระจายแสงดำทมิฬ!

มารเทพตนนั้นเค้นลูกคอร้องเพลงอย่างนุ่มนวล เหมือนจะล่อลวงให้เขาเข้าไปใกล้!

นี่ไม่ใช่การพบปะครอบครัวที่พลัดพราก แต่เป็นกับดักร้ายกาจ ตั้งแต่เมื่อจี้หยกของเขาฉายโชนบนเสามังกรเหนือเมืองเขตมังกร กับดักนี้ก็ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อล่อลวงฉินมู่ให้มายังที่นี่!

“เกือบไปแล้ว ขนาดผู้คร่ำหวอดยุทธภพอย่างข้ายังเกือบตกหลุมพรางมัน!”

ผู้ใหญ่บ้านสูดลมหายใจลึก แสงเทวะจากร่างเขาพลันเจิดจ้า เขาคว้าฉินมู่แล้วรีบสะกิดเท้าถอย และในตอนนั้นสตรีบนเรือจันทราก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งและเหินหาวข้ามฟ้าจากกราบเรือพุ่งใส่พวกเขาอย่างรวดเร็วรุนแรง!

สตรีนางนั้นหมุนติ้วเหมือนลูกข่างกลางอากาศ ร่างของนางขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ใบหน้าของนางยิ่งดูชั่วร้ายเลือดเย็น และนางก็สลัดหลุดผืนหนังอันห่อหุ้มร่างไว้สำเร็จ เผยให้เห็นร่างที่แท้จริง มันคือเทพมารที่มีขายาวโย่งแปดขา สองศีรษะ และห้าหาง!

ขาของนางเหมือนแขนมนุษย์ และเท้านางก็เหมือนมือมนุษย์ นางวิ่งไต่มาด้วยความเร็วในอากาศไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด!

“ปัทมา ตาลี!”

พลันมีดงดอกบัวบานขึ้นขวางหน้าผู้ใหญ่บ้าน พองใหญ่คับฟ้าเต็มดิน เงารูปเหล่าพุทธรูปมารนั่งอยู่บนดอกบัวเหล่านั้น พุทธรูปมารทุกตนยกฝ่ามือของมันขึ้นแล้วปล่อยมุทราใส่ผู้ใหญ่บ้าน!

พุทธรูปมารเหล่านั้นเป็นเพียงแค่เงารูป แต่กลับดูเข้มข้นจนแทบจะมีเลือดเนื้อร่างกายภาพ แต่ละการโจมตีของพุทธรูปมารใช้มุทราแตกต่างกันและจู่โจมจากทุกทิศทางมายังผู้ใหญ่บ้านและฉินมู่

พุทธองค์นั้นน่าจะเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์แต่มารปีศาจตนนี้ได้ฝึกปรือวิชามารเทวะให้กลายเป็นพุทธรูปมาร กล่าวได้ว่าเป็นการทรยศคัมภีร์และออกนอกรีต

สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน แสงกระบี่ปลดปล่อยจากปายนิ้วของเขาพุ่งวาบใส่ดอกบัวแต่ละดอกแต่ละดอก แสงกระบี่นั้นรวดเร็วเสียจนฉินมู่ไม่อาจจับมันได้ด้วยตาเปล่า และเห็นเพียงแต่ประกายแสงขาวผุดผาดราวหิมะพุ่งวาบไปมาในดงบัวและหมู่พุทธรูปมาร

ในเสี้ยววินาทีถัดมา ดอกบัวทั้งหมดก็แหลกละเอียด และเศียรพุทธรูปมารทุกตนก็ระเบิดกระจัดกระจัดกระจาย กลายเป็นปราณชีวิตมารฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ

“สาปารมิตา!”

มารนั้นกระโจนเข้ามาและเปล่งเสียงร่ายคาถา วังน้ำวนขนาดใหญ่พลันปรากฏเบื้องหลังผู้ใหญ่บ้าน มันหมุนเกลียวเชี่ยวกรากราวกับปีศาจร้ายฟันเขี้ยว เพราะมีคมเขี้ยวราวใบมีดโกนจำนวนมาก หมุนไปมารอบๆ วังน้ำวนนั้น ในวังน้ำวนมีสะพานสายรุ้งที่พุ่งตรงไปยังใจกลาง

ผู้ใหญ่บ้านและฉินมู่ถูกดึงดูดข้าไปในวังน้ำวน สะพานสายรุ้งดึงร่างของทั้งสองมุ่งไปยังส่วนลึกสุด และในขณะเดียวกัน เขี้ยวคมกริบเหล่านั้นก็เบียดอัดเข้ามาใกล้ หวังจะหมุนเกลียวฉีกทึ้งพวกเขาให้เป็นชิ้นๆ

ที่ปลายสุดวังน้ำวนนั้นประดุจสวนสวรรค์อันเต็มไปด้วยเสียงนกร้องและมวลบุปผชาติส่งกลิ่นเย้ายวน ทุกอย่างดูสงบศานติแต่เห็นชัดๆ ว่านี่เป็นกับดักลวงหลอกที่ท่าพิฆาตของปีศาจวางเอาไว้!

“มู่เอ๋อ ยืนบนเส้นผมของข้า!”

ผู้ใหญ่บ้านตะโกน และเส้นผมเขางอกเงยยืดยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละเส้นผมของเขาก็ประหนึ่งเสาวิหารขนาดยักษ์ที่ทะลวงออกจากวังน้ำวนสวนกับทิศทางสะพานสายรุ้ง ฉินมู่ยืนอยู่บนเส้นผมเส้นหนึ่งและตั้งเท้ามั่นอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกว่าเส้นผมใต้เท้าเขาขยายออกไปอย่างเร็วจี๋ ทำให้ยิ่งหนาใหญ่และยาวขึ้นเมื่อมันยืดทะลวงเกือบจะทะลุวังน้ำวน

ขณะที่เส้นผมอื่นๆ ของเขาลอยกระจัดกระจายราวกับอสรพิษเต้นระบำ มันกวาดล้างทำลายคมมีดในวังน้ำวนที่บีบรัดเข้ามาจากทุกทิศทาง ใบมีดนับไม่ถ้วนหักทำลายลงในน้ำวนและถูกบดเป็นผุยผงจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าใหญ่ยักษ์และชั่วร้ายของมารเทวะที่ปากทางน้ำวน ตาของนางเป็นประกายกลอกกลิ้ง นางอ้าปากกว้างรอให้ผู้ใหญ่บ้านส่งฉินมู่ป้อนเข้าปากนาง

ในจังหวะนั้น เส้นผมอีกเส้นของผู้ใหญ่บ้านก็ทะลวงเข้าไปในปากของมารเทวะ ดึงกระตุกอย่างรุนแรง ลากมารเทวะตนนั้นเข้าไปในวังน้ำวนด้วย

“มู่เอ๋อ รีบไปที่ท่าเรือ แล้วขึ้นเรือหนีไป! เดี๋ยวนี้!”

เส้นผมที่ฉินมู่ยืนอยู่ดีดเบาๆ ให้ฉินมู่ลอยออกมาจากวังน้ำวน ซึ่งฮุบรวบปิดปากทางเข้าไป ทั้งผู้ใหญ่บ้านและมารเทวะต่างก็หายลับ

ร่างของฉินมู่ร่วงลงมาจากฟ้า และระยะที่เขาร่วงลงมาค่อนข้างห่างไกลจากพื้นดิน ด้วยความสูงระดับนี้ถ้าเขาร่วงลงไปตรงๆ คงต้องตายเป็นแน่แท้!

เขารีบสูดลมหายใจลึกแล้วพ่นออก กระแสลมรุนแรงพลันพวยพุ่งไปข้างหน้าเขา และฉินมู่ก็พลิกตัวเหยียบไปบนยอดลมที่เกิดขึ้น เท้าเขาก้าวสลับไปมาบนยอดลมเหล่านั้น ชะลอความเร็วในการตกถึงพื้นของตนเอง

เขาสูดลมแล้วพ่นลมอีกสามสี่ที ก่อนที่จะร่วงลงมายืนบนพื้นในที่สุด ที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านไร้กังวลอันอบอวลด้วยหมอกเทา แต่ความมืดก็ไม่ได้รุกรานมายังที่นี่จึงนับว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเขา

ทันใดนั้น วังน้ำวนใหญ่มหึมาก็ปรากฏเหนือศีรษะ แขนหนาใหญ่สี่ข้างโผล่มาจากวังน้ำวนและปีนไต่ขึ้นไปบนฟ้า มารร้ายโผล่หัวออกมา นางพยายามจะปีนออกจากวังน้ำวน

แต่ทว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างฉุดรั้งขาของนางไว้อย่างแน่นหนา นางถูกฉุดกระชากลากกลับเข้าไปในวังน้ำวนอีกครา

“ฝูงมารฟ้า!”

เสียงร้องเกรี้ยวกราดดังมาจากในวังน้ำวน แม้มารเทวะจะถูกฉูดลากกลับเข้าไป แต่ก็ไม่วายร้องเรียกพรรคพวก ฉินมู่เห็นจุดดำๆ ถูกพ่นออกมาจากวังน้ำวนนั้น

“รีบไปเร็วเข้า มู่เอ๋อ!”

เสียงของผู้ใหญ่บ้านดังมาจากในวังน้ำวน “ล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะรีบตามไป! เร็วเข้า หากพวกมารเทวะในเมืองสำเหนียกขึ้นมา เจ้าจะหนีไม่พ้น…”

วังน้ำวนหายลับ และเสียงของผู้ใหญ่บ้านก็ถูกตัดขาด

ในอากาศ จุดดำๆ เหล่านั้นร่วงลงสู่พื้นราวดาวตก สะเทือนแผ่นดินจนไหวสั่นด้วยแรงกระแทก หมอกเทาจึงโถมเข้ามาทับถมให้หนาแน่นขึ้นทุกขณะจิต และเมื่อจุดดำเหล่านั้นร่วงลงสู่พื้น มันก็พรางตัวกลืนไปกับหมอก ดังนั้นฉินมู่จึงเห็นไม่ถนัดตาว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร

ไม่นานนัก หมอกเทาก็คืบคลานมาถึงฉินมู่ และท่วมทับเขา ภายในหมอกเทามีเสียงตึบๆ ของฝีเท้าหนักหน่วง เสียงนั้นหนักอึ้งราวกับหินมาทุ่มมาถ่วงใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version