Skip to content

Tales of Herding Gods 91

91. ผู้พิทักษ์จันทรา

“ที่นี่คือเฝิงตู่ เขตหวงห้ามของคนเป็น”

สิ่งกลายพันธุ์หัวนกส่งเสียงนกร้องและเสียงพูดของมันก็แปลกประหลาด ทว่าคำพูดนั้นคล่องปรื๋อเหมือนมนุษย์ผู้หนึ่ง “เจ้าเป็นคนเป็นๆ ไม่ควรเข้ามาที่นี่”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มบางเจือความเคร่งเครียด “แต่ข้าเข้ามาเสียแล้ว”

คนหัวนกนั้นกล่าว “หากว่าเจ้าต้องการจะกลับไป ต้องจ่ายค่าปรับ”

ผู้ใหญ่บ้านถามอย่างใคร่รู้ “จ่ายอย่างไรล่ะ”

“ที่เฝิงตู่นี่มีท้าวยมราช”

สายตาของคนหัวนกเหมือนจะจ้องมองจะงอยของตนเมื่อมันพูด “ท้าวยมราชได้สังเกตเห็นเจ้าและชื่นชมเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นท้าวยมราชจึงมีข้อเรียกร้อง หากว่าเจ้าตกลงตามข้อเรียกร้องนี้ เจ้าก็จะสามารถกลับไปได้”

ผู้ใหญ่บ้านสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยและเอ่ยถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าข้อเรียกร้องนั้นคืออะไร”

คนหัวนกตอบ “หลังจากเจ้าตาย เจ้าจะเป็นคนของที่นี่”

ผู้ใหญ่บ้านพึมพำกับตนเองอยู่ด้วยความลังเลใจ แต่ทันใดนั้นก็แย้มยิ้ม “แดนเป็นของคนตาย แดนตายของคนเป็น หากว่าข้าตายลงไปและยังสามารถมาอยู่อาศัยที่นี่ ทำไมข้าถึงจะไม่มาล่ะ มีชีวิตอยู่ภายนอก หมายถึงการตายของที่นี่ และการตายข้างนอกหมายถึงการมีชีวิตที่นี่ ดีจะตายที่ข้าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อหลังความตาย ข้าตกลง แต่ว่าให้ข้าถามอีกสองสามข้อได้หรือไม่”

คนหัวนกเอียงคอของมันไปข้างหนึ่ง จากนั้นกล่าวตอบ “เจ้าจะถามก็ได้ แต่ไม่แน่ว่าข้าจะตอบ”

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มเล็กน้อย “เรือจันทรานั่นใช่หมู่บ้านไร้กังวลไหม”

“ไม่ใช่”

ผู้ใหญ่บ้านตะลึงแล้วร้องออกมา “ถ้าหากมันไม่ใช่หมู่บ้านไร้กังวล แล้วทำไมมันถึงดึงดูดจี้หยกของมู่เอ๋อมาได้ ทำไมจี้หยกถึงนำทางมาที่นี่ แล้วทำไมเรือจันทราถึงมาปรากฏ ณ ที่แห่งนี้”

คนหัวนกขมวดคิ้ว ดวงตาของมันเหล่ไปมองจะงอยของตัวเองอีกครา เห็นได้ชัดว่ามันหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่ผู้ใหญ่บ้านถามคำถามเยอะแยะมากมาย “นักต้อนจันทราบนเรือจันทราตายไปหมดแล้ว พวกเขาสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เรือจันทราถูกส่งมาที่นี่โดยผู้พิทักษ์จันทราคนสุดท้าย บนเรือมีคนตายอยู่คนหนึ่ง เจ้าขึ้นไปถามเขาดู เขาอาจจะมีคำตอบให้”

“คนตาย? หรือว่าจะเป็นผู้พิทักษ์จันทรา?” ผู้ใหญ่บ้านพิศวงใจ

คนหัวนกงอขาขึ้นข้างหนึ่ง แล้วใช้จะงอยไซ้ขนตัวเองบนคอ จิกแมลงสีทองตัวนึงออกมากิน จากนั้นมันกล่าวอย่างรำคาญใจ “คำถามเจ้าเยอะเกินไปแล้ว”

ผู้ใหญ่บ้านถามอีก “แล้วมารเทวะที่โจมตีข้าล่ะ? เฝิงตู่นี่ใช่เขตแดนของฝูงมารฟ้าไหม”

“นางเป็นผู้อาศัยคนหนึ่งที่นี่ ดินแดนนี้เป็นของท้าวยมราช ไม่ใช่ของฝูงมารฟ้า”

คนหัวนกไม่เหลือบแลเขาอีกต่อไป แล้วใช้จะงอยหวีแต่งขนนกของมัน “เจ้าก็จะอยู่ที่นี่เหมือนนางในอนาคต ท้าวยมราชชื่นชมเจ้าอย่างยิ่ง”

ผู้ใหญ่บ้านระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ ตอนแรกเขานึกว่าที่นี่เป็นโลกของมารปีศาจแต่ปรากฏว่าเขาเดาผิด ดูเหมือนว่ามารเทวะที่เขาผนึกเอาไว้จะเป็นเพียงผู้ทรงอิทธิพลตนหนึ่งในแดนเป็นของคนตาย

เขาถามอีกครั้ง “แล้วหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหน”

คราวนี้คนหัวนกหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง มันโบกปีกบินหนีไป “เจ้าถามโน่นถามนี่เยอะแยะไปหมด ข้าเซ็งเจ้าล่ะ อย่าลืมที่เจ้าสัญญาเอาไว้ เมื่อเจ้าตาย ข้าจะไปรับตัวเจ้า ห้ามตามผู้นำทางความตายไปล่ะ!”

ผู้ใหญ่บ้านยืนส่งเขาและมองไปที่เรือจันทรา เรือจันทราขนาดมหึมาได้หยัดยืนขึ้นแล้วและลากดวงจันทร์ไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

ข้าถูกเกลียดขี้หน้าเข้าซะแล้ว หรือว่าเพราะข้าแก่ตัวเลยพูดมากขึ้น?

ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ และเดินตรงไปยังเรือจันทรา ในขณะเดียวกัน มารเทวะตนนั้นก็ดิ้นรนอย่างเต็มกำลังที่จะหลุดออกจากวังน้ำวนฉ่ำเลือดกลางท้องฟ้า

มารเทวะตนนี้ใช้เรือจันทราหลอกล่อมู่เอ๋อมา และมันน่าจะรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล แต่น่าเสียดายที่ข้าทำได้แค่กักกันมันไว้ แต่ไม่อาจรีดเค้นให้นางสารภาพสิ่งที่นางรู้ได้

เขาขึ้นไปบนเรือจันทราและตรงไปยังเรือหลักที่คางคกนั้นกำลังแบกอยู่ เมื่อมองไปรอบๆ เขาเห็นราชวังปรักหักพังอยู่ทั่วไปหมด มีรั้วผุผนังเป็นโพรง และยังมีอาวุธใหญ่มหึมาที่แตกทำลายอยู่ทั่วพื้น หลายต่อหลายอันเป็นอาวุธรูปพระจันทร์เต็มดวง และยังมีบางชิ้นที่ดูเหมือนกระจก

ราชวังเหล่านั้นก็ใหญ่เยี่ยมเทียมฟ้า และมิใช่สถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาจะอาศัยอยู่

เขาผ่านโถงหลักใจกลางและหยุดยั้งเพื่อเพ่งพิศประติมากรรมที่หน้าโถงหลักมหึมานี้

สิ่งที่ถูกสลักไว้คือคางคกหยกสามขา มันมีขาสามข้าง ลำตัวเป็นมนุษย์และศีรษะคางคก ทำให้มันดูกึ่งคนกึ่งคางคก

“ฮี่ ฮี่ ฮี่…”

เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังมาจากในโถงข้างโถงหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านได้ยินเสียงนั้นร้องเพลงกล่อมเด็กที่ฟังดูชั่วร้าย “พาย พาย พาย พายเรือเจ้าไป ล่องลอยตามน้ำ…”

ผู้ใหญ่บ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเมินเสียงนั้น แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในโถงหลักแทน ในโถงหลักทุกอย่างดูเละเทะด้วยกระถางธูปที่กลิ้งโค่โร่อยู่บนพื้น ทำให้ขี้เถ้าธูปกระจัดกระจายไปทั่ว ตะเกียงสำริดรูปนกกระจาบถูกทุบพัง ฉากกั้นแตกหัก เตียงหยกก็ถูกทุบทำลาย แสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นี่

เขามองไปรอบๆ และหยุดอยู่ที่ภาพฝาผนังในโถงหลัก ในภาพจิตรกรรมนั้นแสดงยักษ์สูงใหญ่ผู้สวมใส่เสื้อยาวสีขาวและกำลังต้อนพระจันทร์อยู่ พวกเขาขับเรือจันทราออกไปเฉพาะเมื่อราตรีมาเยือน

มีมารปีศาจแข็งแกร่งจำนวนมากภายนอก พยายามโจมตีเรือจันทรา แต่ว่าถูกขับไล่ให้ถอยร่นไปด้วยเหล่ายักษ์ที่ใช้หอก ดาบ กระบี่ ธนู และลูกศร

เมื่ออรุณเบิกฟ้าและความมืดล่าถอยไป เรือจันทราก็จะเดินทางกลับไปสู่เหวลึกไร้บึ้ง อันน่าจะเป็นบ่อจันทรา

ผู้ใหญ่บ้านเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นว่ายักษ์เหล่านั้นมีรูปร่างหน้าตางดงาม ตรงกลางหน้าผากมีรูปพระจันทร์เสี้ยว

ดูเหมือนว่าคนหัวนกนั่นจะกล่าวถูกต้อง มู่เอ๋อไม่ใช่นักต้อนจันทราจริงๆ เพราะไม่มีดวงจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากของมู่เอ๋อ

เขาเดินวนไปรอบๆ โถงหลักและไม่พบอะไรอื่นอีก จากนั้นเขาจึงเดินไปยังเสาไม่กี่ต้นใจกลางโถงหลัก เสาอันหนาใหญ่ไม่อาจเทียบเทียมได้นั้นมีโซ่พันรอบๆ มัน และปลายโซ่อีกด้านลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ผูกมัดเชื่อมต่อกับดวงจันทร์เสี้ยว

เรือจันทรากำลังเคลื่อนที่ ดังนั้นพระจันทร์เว้าแหว่งเองก็ถูกลากไปด้วย เมื่อดวงจันทร์แหว่งกระแทกแหวกอากาศไปเบื้องหน้า ก็จะมีลูกไฟยักษ์ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า พวกมันคือหินภูเขาบนดวงจันทร์หักพังนั้น

ดวงจันทร์นี้ถูกทำลาย ดังนั้นหินของมันจึงร่วงหล่นลงมาแม้เพียงการเคลื่อนไหวน้อยนิด หินพวกนั้นเสียดสีอากาศลุกเป็นไฟกลายเป็นดาวตก

ดาวตกบางลูกไม่ได้ถูกเผาไหม้ไปโดยสิ้นเชิง มันร่วงใส่หมู่บ้านไร้กังวลและสร้างรูโหว่ขนาดใหญ่บนพื้น ทำให้การเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้เป็นเรื่องอันตรายนัก

“สนุกจัง สนุกจัง สนุกจัง สนุกจัง ชีวิตไม่ต้องระวังมันเป็นแค่ความฝัน! ฮี่ ๆๆๆ…”

เสียงร้องเพลงยิ่งมายิ่งพิลึกพิกล ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ แต่ไม่อาจมองเห็นเงาร่างผู้ใด เขาจึงรู้สึกเสียวสันหลังอย่างช่วยไม่ได้

และในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นแหล่งที่มาของเสียง บนพื้นตรงใจกลางของเสาทั้งหลายมีใบหน้าหนึ่ง ใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์

ใบหน้ามหึมานั้นกำลังร้องเพลงอยู่ มันฮัมเพลงสำหรับเด็กซึ่งฟังแล้วน่าสยองพองขน เส้นผมของเขายุ่งเหยิงและเขาดูเหมือนคนเสียสติที่ถูกฝังไว้ในกระจก ทว่า…

“ผู้พิทักษ์จันทรา แห่งเผ่านักต้อนจันทรา…”

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจแล้วนั่งลง เขาหยิบหินขึ้นมาหนึ่งก้อน สลักมันจนเหมือนจี้หยกบนอกของฉินมู่ แล้วชูถาม “ผู้พิทักษ์จันทรา เจ้าเคยเห็นจี้หยกนี้มาก่อนหรือไม่”

“ชีวิตเป็นแค่ความฝัน!”

ใบหน้าใหญ่โตนั้นหัวเราะคิกคัก “คิกๆ ความฝัน!”

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว ผู้พิทักษ์จันทรานี้น่าจะตายลงไปตอนที่เขาหลอมรวมกับเรือจันทราอย่างสมบูรณ์แบบ เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายขับเคลื่อนเรือจันทราเข้าในยมโลก แต่เขากลับตกตายภายในร่างของเรือแทน แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนมาใหม่ในยมโลก แต่ก็สามารถอาศัยอยู่ในร่างของเรือเท่านั้นมิอาจหลุดออกมาได้

เขาเสียสติไปหลังจากที่เสียชีวิต

ผู้ใหญ่บ้านยืนขึ้นแล้วกำลังจะกลับไป ทันใดนั้นใบหน้าบนพื้นก็กล่าว “จี้หยกของหมู่บ้านไร้กังวล?”

ผู้ใหญ่บ้านยั้งฝีเท้า หันกลับไปทันที “เจ้ารู้ไหมว่าหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหน”

“แน่นอน ข้ารู้”

ใบหน้าบนพื้นเหมือนฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมาบางส่วน “พวกเรานักต้อนจันทรามาจากหมู่บ้านไร้กังวล แม้กระทั่งตราสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์จันทราก็มาจากหมู่บ้านไร้กังวล เรือจันทราก็มาจากหมู่บ้านไร้กังวลเช่นกัน…จริงสิ นักต้อนตะวัน นักต้อนตะวัน!”

เขาหัวเราะอย่างรุนแรงจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “ตาย พวกเขาตายหมดแล้ว ซากสังขารของพวกเขาฉีกขาดไม่ครบส่วนด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆ พวกเขาตายกันไปหมด! ข้าหนี ข้าหนี ข้ากลัว ข้าทิ้งพวกเขา ฮี่ๆ…”

ผู้ใหญ่บ้านถาม “แล้วหมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหน”

“ไหลไปเรื่อยๆ ตามกระแสน้ำ…”

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจแล้วเดินจากมาเมื่อเขาพบว่าไม่สามารถถามความอะไรจากผู้พิทักษ์จันทราได้อีก

เขามาที่ท่าเรือและเห็นแขนขาเขาหายวับไปโดยไร้ร่องรอยอีกครั้ง เขาลอบทอดถอนใจ จากนั้นเมื่อเขาเห็นเหรียญทองบนเสาไม้ เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “มู่เอ๋อนี่ก็รอบคอบคิดเผื่อข้า”

เขาดึงเหรียญทองคำอันเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา ผู้ใหญ่บ้านโบกเหรียญทองนั้นไปทางหมอกหนาแน่นและไม่นานนักเรือน้อยอันมีตะเกียงแขวนไว้ก็ลอยเข้ามาหา

ผู้ใหญ่บ้านลอยขึ้นไปบนเรือและยืนตรงบนหัวเรืออันแล่นลอยฝ่าดงหมอก ดินแดนลึกลับแห่งนี้เต็มไปด้วยปริศนาที่ยังไม่อาจไขออก และเขาอยากจะมาสำรวจดินแดนแห่งนี้ต่อหากว่ามีโอกาสในอนาคต ทว่า โอกาสที่ว่านั่นคงเป็นหลังจากที่เขาตายล่ะมั้ง?

“หลิงจิ่งนี่ช่างอิสระเสรี ท่องไปทั่วทุกที่และได้พบพานสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหมดนี้ ข้าคิดว่าข้าคงปลดภาระทั้งหมดและอิสระเสรีแบบเขาได้ก็เมื่อข้าตายไปเท่านั้นล่ะมั้ง?”

จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่กับตนเอง แต่ว่าถ้าตายไป ข้าก็คงไปไหนมาไหนได้แต่ในยมโลก และไม่อาจออกสำรวจปริศนาและพื้นที่ลับแลต่างๆ ในโลกหล้า

เรือน้อยแล่นมาถึงทางเข้าทะเลหมอก ผู้ใหญ่บ้านเห็นฉินมู่วิ่งไปมาด้วยความเร็วปานพายุ เห็นคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตที่แปลงรูปลักษณ์เป็นไหมเงินพุ่งวูบวาบทิ่มแทงและเฉือนโครงกระดูกที่กระโจนใส่ฉินมู่ ผู้ใหญ่บ้านจึงระบายลมหายใจโล่งอก

เมื่อเห็นเรือน้อยลอยมา ฉินมู่ก็โล่งใจผสมลิงโลด เขาเหลือไพ่ในมือเพียงแค่คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตและห่วงหยกจักรพรรดิเท่านั้น อันสามารถพอแค่ต่อต้านการโจมตีเอาไว้ได้บ้าง

และในตอนนั้นเอง ดินแดนประหลาดเบื้องหลังพวกเขาก็กลับกลายเป็นเจือจางเบาหวิวราวกับจะหายไปได้ทุกเมื่อ ด้วยเสียงไก่ขันที่แว่วมา

“แย่ล่ะ! จะเช้าแล้ว!”

สีหน้าผู้ใหญ่บ้านแปรเปลี่ยน และรีบทะยานขึ้นไปบนอากาศ คว้าตัวฉินมู่ แล้วตะบึงไปอย่างสุดกำลังออกไปข้างนอก!

เมื่อทั้งคู่ออกจากจากโลกมิติมหัศจรรย์นั้น เท้าของฉินมู่ก็จมลงไปเพราะเหยียบลงบนผิวแม่น้ำหย่ง คลื่นซัดผ่านเท้าของเขา พวกเขากลับมาสู่แม่น้ำหย่งอีกครั้ง เมื่อเหลียวกลับไปมอง โลกดังกล่าวดูคล้ายกับภาพวาดอันขีดเขียนด้วยเงาหมอก และด้วยสายลมโชยผ่านมาวูบ มันก็สลายมลายไปพร้อมๆ กับที่จี้หยกของฉินมู่ก็ร่วงลงมาที่อกของเขาไม่ไหวติง

เมื่อความมืดล่าถอย โลกนั้นก็หายไปจากแดนโบราณวินาศราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่

น่าจะเป็นค่ำคืนถัดไปที่ปากทางเข้าโลกมิตินี้จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าไม่มีใครรู้ว่าปากทางเข้าดังกล่าวจะลอยไปเปิด ณ ที่ใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version