92. ผู้ทำลายบททดสอบ
ฉินมู่ยื่นมืออกไปแตะกับอากาศเบาๆ เขาไม่อาจพบร่องรอยของโลกมิติดังกล่าวได้
ผู้ใหญ่บ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังบอกเล่าแก่ฉินมู่ถึงสิ่งที่เขาประสบพบพานในยมโลก ฉินมู่เบิกตากว้างด้วยความทึ่ง ผู้ใหญ่บ้านมีประสบการณ์พิสดารขนาดนั้นเลยหรือ
“ในยมโลกมีท้าวยมราชปกครอง ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นโลกของมารฟ้า และน่าจะเป็นดินแดนที่มีมาก่อนยุคความมืด มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแดนโบราณวินาศก่อนความมืดจะรุกราน”
ผู้ใหญ่บ้านวิเคราะห์ “ท้าวยมราชในแดนยมโลกเองก็น่าจะเป็นตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์สืบทอดเช่นเดียวกับผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรา แต่ทว่าหมู่บ้านไร้กังวลไม่ได้อยู่ที่นั่น และข้าไม่สามารถไต่ถามตำแหน่งที่แน่ชัดออกมาจากปากของคนหัวนกนั่นได้ จี้หยกของเจ้านำทางพวกเรามายังแดนยมโลกนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเรือจันทราและจี้หยกล้วนแต่มีที่มาเดียวกันจากหมู่บ้านไร้กังวล”
เขาถอนหายใจรำพึง “แดนโบราณวินาศกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ขนาดข้าอยู่ที่นี่ก็ตั้งนานปี แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีโลกมิติซ้อนทับกันเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ที่นี่มีโลกมิติทับกันมากกว่าสามชั้น!”
ฉินมู่ผงกศีรษะ แดนโบราณวินาศในตอนกลางวัน แดนมืดในตอนกลางคืน และแดนยมโลกที่ปรากฏท่ามกลางแดนมืด ค่ำคืนนี้พวกเขาได้เห็นโลกมิติสามชั้นในแดนโบราณวินาศ ประสบการณ์เหลือเชื่อนี้ไม่อาจจะบอกเล่าใครได้ เพราะบอกไปก็อาจจะไม่มีใครเชื่อ
บนเส้นทางขากลับ พวกเขาผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซึ่งได้พบผู้นำทางความตาย ฉินมู่หยุดดูหมู่บ้านนั้นซึ่งดูเก่าพังซอมซ่อ และรกเรื้อไปด้วยหยากไย่ แสดงว่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัยในหมู่บ้านนี้มาช้านาน
แต่เมื่อคืนมันไม่ได้เป็นแบบนี้ เมื่อคืนก่อน มีผู้เฒ่าถือตะเกียงกำลังพับปะเรือกระดาษ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งลึกลับเป็นปริศนาของแดนโบราณวินาศที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจกระจ่าง
“แดนยมโลกกับผู้นำทางความตายเกี่ยวข้องกันไหม” ฉินมู่ถาม
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่ข้าเห็น ข้าคิดว่าผู้นำทางความตายไม่ได้เป็นคนของแดนยมโลก ท้าวยมราชในแดนยมโลกน่าจะเป็นท้าวยมราชเพียงหนึ่งเดียวในแดนโบราณวินาศ ในขณะที่ข้าเคยพบเห็นผู้นำทางความตายและหมู่บ้านแบบนี้ในโลกภายนอกเช่นกัน พวกเขาน่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งแดนใต้พิภพ…”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ แดนใต้พิภพ? แดนยมโลก? ท้าวยมราช? ผู้นำทางความตาย? ซับซ้อนอะไรอย่างนี้ ถ้าเขาครุ่นคิดไปมาคงหัวระเบิด!
“หมู่บ้านไร้กังวลยังลึกลับเสียยิ่งกว่าแดนยมโลก เราคงไม่สามารถเสาะหาแดนลึกลับนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “มู่เอ๋อ ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องรออีกสักพักก่อนที่จะสืบพบชาติกำเนิดของตนเอง แต่ไม่ต้องห่วง ตราบเท่าที่หมู่บ้านไร้กังวลยังอยู่ในแดนโบราณวินาศ พวกเราจะต้องค้นพบมันจนได้”
ฉินมู่ผงกหัว “เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะสามารถสืบหาชาติกำเนิดของตนด้วยตนเอง ผู้ใหญ่บ้าน ข้า…”
เขาลังเลเล็กน้อยไม่กล่าวต่อ แต่ผู้ใหญ่บ้านเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะพูด จากนั้นแย้มยิ้มกล่าว “เจ้าอยากออกไปจากแดนโบราณวินาศ ไปฝึกฝนในโลกภายนอกใช่ไหม”
ฉินมู่พยักหน้า และหัวใจเขาก็เต้นตึกจากความคาดหวัง
“ปรมาจารย์ลัทธิมารส่งจดหมายให้เจ้าและยังส่งให้กับยายเฒ่าซี ข้าได้อ่านมันด้วยเช่นกัน เขามีอายุขัยเหลือเพียงเจ็ดปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าควรจะต้องไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์เพื่อพบกับเขา”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างแช่มช้า “นกน้อยก็ต้องบินออกไปจากรังในสักวันหนึ่ง เพื่อประสบพบเห็นฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล ก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในความมืดคืนนี้ ข้าได้ปรึกษาหารือกับนักปรุงยา ยายเฒ่า และคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาก็ตกลงเห็นด้วยกันทุกคน”
ฉินมู่ตาเป็นประกาย ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “พวกเขากล่าวว่าตราบเท่าที่เจ้าสามารถผ่านด่านทดสอบของแต่ละคนได้ เจ้าก็จะสามารถออกไปจากหมู่บ้านเพื่อแสวงหาประสบการณ์”
ฉินมู่ห่อเหี่ยว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องผ่านด่านทดสอบก่อนอยู่ดีสินะ
ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้ม “และข้าคือด่านทดสอบที่เก้า เมื่อเจ้าผ่านทั้งเก้าด่านทดสอบ ก็จะนับได้ว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และสยายปีกโบยบินไปที่ใดก็ได้”
ใบหน้าฉินมู่มืดคล้ำเข้าไปอีก ด่านทดสอบทั้งแปดจากเฒ่าหม่าและคนอื่นๆ นับว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว แต่ยังมีด่านทดสอบจากผู้ใหญ่บ้านที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนแหงนคอตั้งบ่ามองภูเขาสูงลิบลิ่วอันเขาไม่อาจปีนข้ามไปได้ เช่นนั้นเขาจะผ่านด่านทดสอบทั้งเก้าได้อย่างไร
ทันใดนั้นฉินมู่ก็รู้สึกถึงกระแสอุ่นไหลมาจากใจกลางระหว่างคิ้วของเขาซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ทุกๆ อณูของเรือนกายและจิตใจของเขารู้สึกอุ่นสบาย และปราณชีวิตในร่างก็ไหลเวียนโคจรเองโดยอัตโนมัติ ทำให้เขาอุทานด้วยความแตกตื่น
ผู้ใหญ่บ้านสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงปราณชีวิตอันมีชีวิตชีวาในร่างของหนุ่มน้อยข้างๆ มันดูยังกับว่ามีดวงอาทิตย์ซ่อนอยู่ในใจกลางระหว่างคิ้วของฉินมู่!
“มู่เอ๋อ ทารกวิญญาณของเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วหรือ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถาม
ฉินมู่ตอบ “ใช่แล้ว ทารกวิญญาณของข้าดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม…แต่ว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไปในปราณชีวิตของข้า”
เกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินที่เขาปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจชี้แนะอะไรได้แม้ว่าอยากจะทำ เขาได้แต่ปลอบใจฉินมู่ “ข้าไม่เคยเห็นทารกวิญญาณที่ปลุกพลังถึงสี่ครั้ง แต่ว่าหากมันเป็นเรื่องดี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ว่าแต่การเปลี่ยนแปลงในปราณชีวิตของเจ้าเป็นไปในทางดีไหมล่ะ”
ฉินมู่พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ”
หมู่บ้านพิการชรา
ความมืดล่าถอยไปและดวงอาทิตย์โคจรขึ้นฟ้า วันนี้เป็นเดือนที่สามของฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศตอนเช้าก็ยังเย็นสบาย ฉินมู่ตื่นแต่เช้าตรู่แล้วตักน้ำหนึ่งถังจากบ่อบาดาลของหมู่บ้านเทราดรดร่างกายอันเปิดเปลือยครึ่งหนึ่งของตนเพื่อปลุกให้สติแจ่มใส
ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งเป็นปราณชีวิตหงส์แดงเพื่อขับไล่ระเหยน้ำออกไปจากผิวกาย ไม่นานนักเขาก็ดูพร้อมและเปี่ยมไปด้วยกำลัง
“มู่เอ๋อ เทน้ำราดข้าด้วยถังนึง” คนแล่เนื้อถัดตัวมาด้วยแขนสองข้างของเขา
ฉินมู่ตักน้ำขึ้นมาอีกถัง แล้วเทรดศีรษะของคนแล่เนื้อ
“สดชื่นจริงๆ!”
เปลวเพลิงพลันลุกฮือรอบๆ ร่างของคนแล่เนื้อ และทำให้น้ำหนึ่งถังที่ราดรดเขาระเหยเป็นไอน้ำพวยพุ่ง เขากวักมือหนึ่งครา มีดเชือดหมูก็ลอยขึ้นมายังมือของเขา เขาใช้มีดยักษ์นี้ถางหนวดเคราของตน ขณะที่ไอน้ำยังไม่จางหายไป
เฒ่าหม่าเปิดประตูห้องของเขาแล้ววางประตูสองบานไว้ข้างๆ เขาบิดขี้เกียจให้กระดูกทั้งร่างลั่นเกรียวกราว มังกรเขียวพลันปรากฏกระหวัดรอบร่างเขาและด้วยการยกมือปราดเดียว เขาก็ปิดผนึกสมบัติเทวะห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย และหลงเหลือไว้เพียงสมบัติเทวะทารกวิญญาณที่ยังเปิดอยู่ จากนั้นเขาจึงตะโกนเรียก “เฒ่าเป๋ที่น่าตาย เจ้าตื่นหรือยัง”
“มาแล้วๆ”
เฒ่าเป๋กระโดดโหยงเหยงเข้ามาพลางหวีผมตนเองด้วยหวีเล็กๆ ไปด้วย เขาแต่งตัวอย่างดีจนดูเหมือนผู้เฒ่าในตระกูลใหญ่ เขายิ้มแล้วเอ่ยถาม “วันนี้เป็นวันสำคัญ ดังนั้นข้าเลยต้องตื่นแต่เช้า เฒ่าหนวกตื่นหรือยัง”
“เอะอะโหวกเหวกอะไรกันนัก” เฒ่าหนวกกำลังฝนหมึกและวาดภาพในห้องทำงานของตน ด้วยหูเหล็กที่เสียอยู่ทั้งสองข้าง เขาบ่นว่าโดยไม่แม้แต่จะโงหัวขึ้นมาดู
เฒ่าใบ้นั้นกำลังเทเศษเหล็กออกจากเตาหลอม นักปรุงยากำลังป้อนนกพ่นไฟตัวเล็กๆ ที่ขอบหน้าต่าง นกเล็กๆ เหล่านั้นโบยบินไปยังหน้าต่างห้องของผู้ใหญ่บ้านและจิกเคาะที่หน้าต่าง เสียงของผู้ใหญ่บ้านดังมาจากในห้อง “ข้ารู้แล้ว ข้าตื่นแล้วนี่”
ท่านยายซีกำลังทำอาหารอยู่หน้าเตาและหุงข้าวในถังไม้ เฒ่าเป๋เร่เข้ามาแง้มฝาหม้ออาหารดู ก่อนจะโดนยายเฒ่าซีเคาะหัวด้วยทัพพี ถลึงตาจ้องดุด่า “จะรีบร้อนไปไหน ล้างหน้าล้างมือหรือยัง ฟันเจ้าน่ะใช้ยาสีฟันแปรงด้วย”
เฒ่าเป๋รีบตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างมือ จากนั้นเขาจึงไปขอยาสีฟันจากนักปรุงยาและใช้แปรงสีฟันไม้แปรงฟันของตน ท่านยายซีเรียกฉินมู่เข้ามา และทั้งคู่ก็ช่วยกันยกข้าวปลาอาหารไปเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เฒ่าหม่าจัดโต๊ะและเก้าอี้ และในไม่ช้าผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราก็มานั่งรายล้อมรอบโต๊ะ ฉินมู่จัดวางถ้วยและตะเกียบให้กับทุกคน ก่อนจะไปยกผู้ใหญ่บ้านขึ้นมาตั้งบนแคร่ จากนั้นเขาจึงนั่งลงที่โต๊ะด้วย
ฉินมู่ลุกขึ้นรินสุราให้แก่ผู้เฒ่าทุกคน ก่อนที่จะรินหนึ่งถ้วยให้ตัวเขาเอง ยายเฒ่าซียกถ้วยของนางขึ้น ตาของแดงก่ำเกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คนแล่เนื้อประท้วงทันที “ทำไมเจ้าถึงจะมาร่ำไห้ในวันมงคลแบบนี้หา เจ้าอยากให้เขาได้ออกไปสู่โลกภายนอกชัดๆ แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะเห็นเขาจากไป ผู้หญิงนี่ใจโลเลอารมณ์วุ่นวายจริงๆ”
ยายเฒ่าซีเดือดปุดๆ และถลึงตาจ้องเขา จากนั้นนางเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มแล้วกล่าว “วันนี้เป็นวันมงคลของฉินมู่ ดังนั้นข้าจะไม่ลดตัวลงไปเถียงกับเจ้า มู่เอ๋อ ทุกๆ คน ดื่มฉลอง!”
ทุกคนกระดกสุราในจอกเข้าท้องไปในรวดเดียว ฉินมู่หัวเราะเบาๆ เมื่อเขาลุกขึ้นรินสุราให้ทุกคนใหม่อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน เขาก็กล่าวอย่างระมัดระวัง “หวังว่าทุกๆ คนจะออมแรงและหยวนๆ ให้ข้าหน่อย”
คนแล่เนื้อฉีกยิ้ม “เด็กแสบ อย่าเพิ่งลำพองไป เจ้าอาจจะลงไปคลุกฝุ่นกับพื้นตั้งแต่ด่านทดสอบแรกก็เป็นได้”
ขอบตาท่านยายซีแดงเรื่ออีกครั้ง “มู่เอ๋อ เจ้าต้องกลับมาเยี่ยมพวกเราที่หมู่บ้านบ้างนะ หลังจากออกไปแล้ว…”
คนแล่เนื้อยิ้มกริ่ม “เขาอาจจะเอาชนะพวกเจ้าได้ แต่ไม่มีทางผ่านด่านของข้า…”
ท่านยายซีเดือดขึ้นมาอีกครั้ง นางกดหัวเขาใส่ชามข้าวแล้วเอาตะเกียบฟาดหัวเขาซ้ำๆ “เจ้าคนปากมาก! มู่เอ๋อของข้าครอบครองกายาจ้าวแดนดิน เขาจะต้องอัดเจ้าจนหมอบจนต้องร้องขอชีวิต!”
คนแล่เนื้อร้องหาพ่อหาแม่และร้องขอชีวิตจนยายเฒ่ายอมปล่อยเขา
หลังจากอาหารเช้า เมื่อฉินมู่ล้างถ้วยชามเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านก็ถาม “พวกเจ้าทุกคนได้ผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ ไว้หรือยัง”
ทุกคนพยักหน้ารับ
“งั้นพวกเราเริ่มกันเถอะ”
เฒ่าหม่าสาวเท้ามาข้างหน้าแล้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าร่ำเรียนวิชาหมัดจากข้า ดังนั้นหากสู้กันด้วยหมัดเจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เจ้าจะใช้วิชาอะไรก็ได้ที่เจ้าเรียนมา หากว่าเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็นับว่าผ่านด่านทดสอบ”
ฉินมู่โค้งกายและมีเสียงมังกรคำรามกึกก้องออกมา ปราณชีวิตของเขาก่อรูปเป็นมังกรเขียวที่กระหวัดพันรอบร่าง จากนั้นเขากล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าจะใช้วิชาหมัดเพื่อผ่านด่านทดสอบของท่านปู่หม่า!”
เฒ่าหม่าเผยยิ้มที่หายาก “ทะเยอะทะยานเสียจริง! แต่ว่า เช่นนี้แล้วเจ้าอาจจะไม่ผ่านด่านทดสอบแรก”
ทั้งคู่ยกมือขึ้นตั้งท่า และฉินมู่จู่โจมเป็นคนแรก ด้วยปราณชีวิตที่แผ่พุ่งของเขา พายุสายฟ้าเก้ามังกรถูกขับเคลื่อนออกมาจากหมัดแรก ปราณชีวิตอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของฉินมู่ระเบิดปะทุออกไปพร้อมๆ กับหมัดนี้ สร้างรูปรอยมังกรจางๆ ปรากฏในอากาศ
เช่นเดียวกันนั้น เฒ่าหม่าก็ใช้พายุสายฟ้าเก้ามังกรรับมือเขา “เจ้าคิดจะแข่งขันการเปลี่ยนแปรของพลังมังกรของพวกเรางั้นรึ…”
ตูมมม
สีหน้าเฒ่าหม่าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง นี่ยังกับว่าสัตว์ยักษ์มหึมาหนักหลายสิบตันพุ่งเข้ากระแทกเขา ทำให้เขากระเด็นไปข้างหลัง ปลิวไปปะทะกับโรงตีเหล็กของเฒ่าใบ้ ทะลุโรงตีเหล็กไปแล้ว ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งพลังที่ถีบให้เขากระเด็นไป
กลางอากาศ เขาฝืนใจเปิดผนึกสมบัติเทวะห้าธาตุและด้วยพลังอันมหาศาลจากสมบัติเทวะห้าธาตุพวยพุ่งมา เขาจึงสามารถหยุดยั้งร่างของตนเองไม่ให้กระเด็นต่อไปได้ แต่ทว่าในขณะนี้หลังเสื้อของเขาระเบิดออก กลายเป็นชิ้นละเอียดอันก่อรูปรางๆ ของมังกรสี่สิบห้าตัวที่พุ่งทะลวงผ่านหลังเขาสร้างกระแสลมโหมกระพือ ต้นพอปลาร์ใหญ่หลายต้นกิ่งก้านเขย่ารุนแรงจากลมนั้นส่งให้ใบของมันปลิดปลิวไปทั่วทุกทิศ
เฒ่าหม่าบิดเอวของตนแล้วยั้งร่างลงกับพื้นพร้อมกับสีหน้างุนงง
เฒ่าเป๋ที่กำลังแทะกีบหมูตุ๋นอยู่ ถึงกับงับทั้งกีบหมูเข้าไปในปากด้วยความแตกตื่น เหลือปลายกีบโผล่แพลมออกมา คนแล่เนื้อที่กำลังลับมีด ก็ถึงกำลังทำหินลับมีดแตกหัก
นักปรุงยาและผู้ใหญ่บ้านที่กำลังดื่มชาก็ทำถ้วยชาในมือทั้งคู่ระเบิดเป็นชิ้น ไม้ไผ่ในมือเฒ่าบอดถูกบีบเคล้นจนแตกเป็นเส้นไผ่ หมึกของเฒ่าหนวกหกกระจัดกระจายไปทั่วโต๊ะ ท่านยายซีทำจานกระเบื้องตกแตกเป็นโหล และแม่ไก่มังกรก็ร้องก๊อกๆ ทีเดียว กระพือปีกรี่กลับเข้าเล้า จากนั้นใช้ตีนมันดึงประตูเล้าไก่ปิดทันที
นักปรุงยามองไปที่ผู้ใหญ่บ้านแล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พวกเจ้าทั้งสองออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ทำไมพลังวัตรของฉินมู่เพิ่มพูนมากขนาดนี้”
ผู้ใหญ่บ้านเองก็งงัน จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้แล้วกระซิบกลับ “ทารกวิญญาณของเขาปลุกพลังขึ้นมาเป็นครั้งที่สี่ เขาบอกว่าทารกวิญญาณเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มีแต่ปราณชีวิตเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย…”
หางตานักปรุงยากระตุกรัวๆ เมื่อเขาพึมพำ “นี่คือเปลี่ยนไปเล็กน้อยที่ว่า?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเปลี่ยนไปเล็กน้อยนั่นก็คือการที่ปราณชีวิตเขาทวีคูณขึ้นไปตั้งหลายเท่า…” ผู้ใหญ่บ้านก็พึมพำเช่นกัน