93. ขโมยสวรรค์สลับตะวัน
“ข้าแพ้”
เฒ่าหม่าปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ แล้วจึงเผยรอยยิ้มปลาบปลื้ม “พลังอันแข็งแกร่งสามารถเอาชนะทุกๆ สิ่ง มู่เอ๋อ พละกำลังในตัวเจ้าสามารถชดเชยความขาดพร่องของกระบวนท่า เจ้าผ่านการทดสอบ จริงสิ ทำไมพลังวัตรของเจ้าถึงเพิ่มพูนสูงขึ้นมาขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น ขนาดข้ายังไม่อาจต้านทานได้?”
ฉินมู่ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะแย้มยิ้ม “ตอนขากลับหลังจากที่ออกไปกับผู้ใหญ่บ้าน ทารกวิญญาณของข้า…”
ผู้ใหญ่บ้านรีบกระแอมไอสองสามทีทันที ทำให้ฉินมู่งุนงง “มีอะไรหรือผู้ใหญ่บ้าน”
“ข้าแค่ตกใจกับกระบวนท่าของเจ้าน่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมอีกสองทีแล้วถาม “เจ้าผ่านด่านแรก แล้วด่านที่สองล่ะ?”
เฒ่าเป๋ดึงกีบหมูออกจากปากจากนั้นกระโดดโหยงเหยงมาใกล้พลางหัวเราะในคอ “มู่เอ๋อ พวกเราอย่าแข่งหมัดกันเลย มาแข่งวิชาขากันดีกว่า เงยหน้ามองขึ้นไปสิ เจ้าเห็นเมฆก้อนนั้นไหม”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเมฆขาวกำลังลอยเลื่อนไปช้าๆ เฒ่าเป๋ยิ้มกล่าว “มาแข่งขันกำลังขากันดีกว่า ดูว่าใครจะไปถึงเมฆก้อนนั้นเป็นคนแรก”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เฒ่าเป๋ยิ้มอบอุ่นแล้วกล่าว “เจ้ายังเด็ก ข้าเป็นคนเอ็นดูเด็กดังนั้นจะให้เจ้าล่วงหน้าไปก่อน”
ฉินมู่เองก็ยิ้มอบอุ่นเช่นกัน “ข้าเป็นคนเคารพนับถือผู้เฒ่า ดังนั้นเชิญท่านล่วงหน้าไปก่อน”
“เจ้ายังเด็ก เจ้าไปก่อนเถอะ”
“ร่างชราภาพของท่านดูไม่ค่อยไหวแล้ว ท่านน่าจะไปก่อนนะ”
ทั้งคู่แปะยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า และเกี่ยงกันให้แต่ละฝ่ายเริ่มก่อนอย่างสุภาพ คนแล่เนื้อยกมีดทั้งสองของเขาขึ้นแล้วตะโกนลั่น “พอซะทีเลิกโอ้เอ้! เมฆนั่นจะปลิวหายไปอยู่แล้ว! หากว่าพวกเจ้ายังไม่วิ่ง ตาเฒ่าผู้นี้แหละจะสับพวกเจ้าทั้งคู่ให้เป็นชิ้นๆ!”
ฉินมู่และเฒ่าเป๋จึงถีบทะยานออกไปราวพายุไต้ฝุ่นพร้อมๆ กัน ฉินมู่ย่างเท้าเหยียบอย่างต่อเนื่องจนเกิดลมก่อตัวรวมกันใต้เท้าของเขา ทันใดนั้นเขาก็ทะยานพุ่งขึ้นไปบนอากาศเมื่อเท้าของเขาเหยียบหยั่งลงบนยอดลม แต่ทว่าเฒ่าเป๋นั้นยังเร็วกว่าเขาไปก้าวหนึ่ง ฉินมู่คว่ำฝ่ามือกดลง ยอดลมใต้เท้าเฒ่าเป๋พลันพัดพุ่งลงสู่พื้น ทำให้เฒ่าเป๋ร่วงหวือลงมาจากท้องฟ้า
ฉินมู่รีบทะยานขึ้นไป แซงเฒ่าเป๋ และขณะที่เขากำลังจะไต่ลมต่อนั่นเอง เขาก็พลันรู้สึกสองขาถูกรัดแน่นมัดเอาไว้ด้วยกัน ทำให้เขาร่วงหัวปักลงมา
เฒ่าเป๋หัวเราะร่า แส้ปราณชีวิตในมือของเขานั่นเองที่มัดขาทั้งสองของฉินมู่เอาไว้
ฉินมู่ร่วงลงมาจากฟ้า ในขณะที่ผู้เฒ่าขาเดียวก็เหยียบไปบนตัวเขาใช้เป็นที่เหยียบทะยานขึ้นไปเบื้องบน
แต่ในขณะนั้นเอง ปราณชีวิตของฉินมู่ก็แผ่พุ่งและเฉือนตัดแส้ปราณชีวิตที่มัดขาอยู่ เขากอดขาเดียวของเฒ่าเป๋ ดีดตัวตีลังกาเตะใส่หน้าของผู้เฒ่า ด้วยเสียงปัง ทั้งคู่ร่วงลงสู่พื้น ทำให้ฝุ่นผงตลบฟุ้งไปหมด
ไม้เท้าของเฒ่าเป๋แตะพื้น เขาใช้วิชาขาขโมยสวรรค์อันไร้ที่ติโจมตีฉินมู่ ฉินมู่ที่นอนอยู่กับพื้นได้แต่โจมตีไม้ค้ำของเขา ใช้ลูกเตะนับไม่ถ้วนเตะใส่ไม้ค้ำนั้น เขาถูกลูกเตะของเฒ่าเป๋ไปสิบกว่าดอก ไม้ค้ำของเฒ่าเป๋ก็ถูกเขาเตะจนแตกละเอียด
ยืนบนขาเดียว เฒ่าเป๋ตะโกนด้วยความโมโห “เด็กแสบ ใครสั่งสอนให้เจ้าร้ายขนาดนี้”
ฉินมู่ใช้มือทั้งสองผลักพื้นด้วยกำลังแรง แล้วหมุนตัวหวือขึ้นไปบนฟ้า เฒ่าเป๋แค่นเสียง งอขาเดียวของเขา แล้วกระโจนขึ้นไปบนฟ้าด้วยกระโดดเดียว
ขณะที่เขากระโจนขึ้นไปนั่นเอง ฉินมู่ที่อยู่เหนือศีรษะเขาใช้กำปั้นทุบทันที ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นปราณชีวิตเต่าดำ ร่องรอยของน้ำพลันปรากฏบนอากาศ มันพลันควบแน่นกันเป็นมังกรวารีที่กระโจนขย้ำใส่เฒ่าเป๋
“กลกระจอก!”
เฒ่าเป๋หัวเราะคิกปล่อยพลังลมออกจากฝ่ามือจู่โจมมังกรน้ำให้มันเบี่ยงทิศทาง ปราณชีวิตของเขาพลันก่อรูปเป็นขาอีกข้างที่ดูโปร่งแสง ด้วยขาทั้งสองข้างที่โลดทะยานไป ดูเหมือนว่าเขาจะตามติดฉินมู่ไปทันในไม่ช้า
ฉินมู่กางขาออกและนั่งท่าม้าในอากาศ ผลักอากาศด้วยฝ่ามือ ศีรษะของเขาหงายขึ้น และขาของเขาชี้ลง เมื่อเขารวบขาเข้าหากันใหม่ เขาก็วิ่งรี่ใส่เฒ่าเป๋ แล้วฟาดใส่หลังตาเฒ่าอย่างไร้ปรานี
ขณะที่ทั้งคู่ตะบึงไปในอากาศ พวกเขาทั้งใช้วิชาขาขโมยสวรรค์และใช่เล่ห์กลร้ายกาจจู่โจมใส่กัน ร่างของทั้งคู่สลับเปลี่ยนเวียนตำแหน่งอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้คนที่ชมดูจากข้างล่างรู้สึกละลานตา
ทันใดนั้นแขนของเฒ่าเป๋ก็เคลื่อนด้วยความเร็ววูบวาบประดุจเงาอันแม้แต่ภูตผีก็ไม่อาจจับจ้องมองทัน เขาใช้วิชามือขโมยสวรรค์ ก่อนที่ฉินมู่จะทันตระหนักว่าถูกโจมตี เขาก็พบว่ากางเกงของเขาหลุดหลวมและร่วงลงมากองที่ข้อเท้า
เขาสะดุดคว่ำคะมำกลางอากาศทันที และพลันรู้สึกหนาววูบที่หลัง เมื่อเสื้อของเขาถูกดึงออกไปโดยเฒ่าเป๋มาม้วนมัดมือของเขา และขณะที่ฉินมู่ร่วงลงมา เขาก็รีบใช้กำลังฉีกกระชากเสื้อมัดมือออก แล้วดึงกางเกงกลับขึ้นมาใส่อย่างทันด่วน เขาตะบึงไปอย่างบ้าคลั่งพลางตะโกนด้วยความโมโห “ท่านปู่เป๋ ท่านไม่เห็นสอนท่านี้ให้ข้าเลย!”
เฒ่าเป๋หัวเราะดังลั่น “หากเจ้าตามข้าทัน ข้าจะสอนเจ้า!”
ฉินมู่หัวเราะหึแล้วซัดหมัดออกไป พลังหมัดรูปเงามังกรพลันกระโจนทะยานเข้าใส่เฒ่าเป๋ เฒ่าเป๋ร้องเสียงหลงแล้วรีบเปลี่ยนท่าเท้าเบี่ยงหลบจากทิศทางพลังหมัด
ฉินมู่ฟั่นปราณให้เป็นเส้นด้าย และใช้เส้นด้ายปราณชีวิตหนาเท่าแขนของเขาม้วนคว้าเฒ่าเป๋ราวกับงูยักษ์ เฒ่าเป๋รีบหลบหลีกเพราะปราณชีวิตหนาขนาดนี้เขาคงหลุดไม่พ้นหากถูกจับเอาไว้ได้ ในตอนนั้นฉินมู่ก็ตามเขาทัน เขาจึงกัดฟันพูด “ก็ได้ ข้าจะสอนเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
ทั้งคู่เผยรอยยิ้มและเข้าใกล้กันในอากาศ ในจังหวะที่เฒ่าเป๋จะกลับคำแล้วจู่โจมฉินมู่นั่นเอง ฉินมู่ก็ตรึงสามวิญญาณและเจ็ดจิตของเฒ่าเป๋ก่อนที่จะเตะเฒ่าแสบผู้นี้ลงมาจากท้องฟ้า
โครม!
เฒ่าเป๋ร่วงลงใส่พื้นและสร้างหลุมรูปมนุษย์ จากนั้นเขาจึงปีนขึ้นมาจากหลุมอย่างยากลำบากแล้วร่ำร้องด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม “สมแล้วกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของข้า เขาไม่เชื่อคนอื่นง่ายๆ”
ฉินมู่รีบรุดขึ้นไปยังก้อนเมฆบนท้องฟ้า จากนั้นวิ่งลงมาในแนวดิ่งลงสู่พื้นอีกครั้ง เขาถลันไปกับพื้นดินอีกสองสามก้าวถึงหยุดแรงเฉื่อยของตนเองได้
เฒ่าเป๋ยิ้มกล่าว “ที่ข้าสัญญากับเจ้าเมื่อกี้ข้าไม่กลับคำหรอกนะ เมื่อเจ้าผ่านด่านทดสอบที่เก้า ข้าจะสอนมือขโมยสวรรค์สลับตะวัน”
ฉินมู่ลิงโลดดีใจ
คนแล่เนื้อโบกมีดของเขาไปมาแล้วยิ้มถาม “มู่เอ๋อ เจ้าต้องพักก่อนไหม”
ฉินมู่พยักหน้ารับ แล้วนั่งลงพัก เขาดื่มชาสองสามถ้วยเพื่อเติมความชุ่มชื่นเข้าไปในร่าง หลังจากที่พักอยู่ครู่หนึ่งเขาก็วิ่งกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ คนแล่เนื้อมีสีหน้ามืดคล้ำทันทีและพึมพำ “เด็กร้ายกาจ เจ้ามีพลังวัตรเข้มข้นขนาดนี้ทำไมยังต้องพักอีก ทำไมไม่สู้ต่อเลย หากว่าเจ้าสู้ต่อไม่พัก บางทีข้าอาจจะมีพอมีโอกาสชนะบ้าง…”
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินมู่ก็ไปที่โรงตีเหล็กอันพังราบจากเฒ่าหม่าพุ่งไปชน เขาเลือกหยิบมีดเชือดหมูมาเพิ่มอีกเล่ม ด้วยมีดเชือดหมูสองเล่มที่ถือไขว้กัน เขาตะโกนบอก “ท่านปู่คนแล่เนื้อ ข้าพร้อมแล้ว!”
คนแล่เนื้อแค่นเสียง “ก่อนนี้เจ้าใช้มีดเล่มเดียว ทำไมตอนนี้ถึงใช้สองเล่ม”
ฉินมู่จับมีดเล่มหนึ่งแบบปกติ และมีดอีกเล่มแบบจับย้อน สีหน้าของคนแล่เนื้อแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และเปลี่ยนวิธีจับมีดบนมือซ้ายเป็นจับย้อนเช่นกัน จากนั้นเขายิ้มกล่าวอย่างเยือกเย็น “เด็กร้ายกาจ เจ้าหมายจะสู้กับข้าในระยะประชิดอย่างนั้นเรอะ เจ้ายังอ่อนหัดเกินไป…”
นักปรุงยากระแอมไอแล้วกล่าวเตือน “คนแล่เนื้อ ร่างของเจ้าไม่มีท่อนล่าง หากว่าเขาเข้าประชิดตัวเจ้าได้ เจ้าก็จะเสียเปรียบอย่างหนัก เพราะถึงอย่างไรเจ้ามีจำนวนมัดกล้ามเนื้อไม่มากเท่าเขา”
สีหน้าคนแล่เนื้อมืดคล้ำอีกครา และกล่าวอย่างแค้นใจ “เขาไม่มีทางเข้าประชิดตัวข้าได้หรอก เพราะจะถูกเพลงมีดของข้าถล่มจนเข้ามาไม่ได้…”
เฒ่าหม่ากล่าวเตือน “ปราณชีวิตของเขาเข้มข้นเหนือธรรมดาและมากกว่าเจ้าถึงสองสามเท่า หากว่ามีดของเจ้าสัมผัสกับมีดของเขา มีดของเจ้าจะกระเด็นกระดอนปลิวไปจากแรงปะทะ เจ้าเองก็จะปลิวหวือเช่นกัน เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยเทคนิคกระบวนท่าเท่านั้น”
“เช่นนั้นจะสู้ไปทำไมล่ะแบบนี้”
คนแล่เนื้อโลดเต้นด้วยความโมโหเดือด จากนั้นปักมีดของเขาไว้กับพื้น กลอกตาไปมา สักพักจึงแย้มยิ้มกล่าว “มู่เอ๋อมานั่งลงตรงนี้เร็วเข้า พวกเราจะไม่ใช้มีดสู้กัน เพียงแต่จะฟังเสียงการเคลื่อนไหวพลังของแต่ละฝ่าย มาๆ เอามือของเรามาทาบกัน”
ฉินมู่ปักมีดไว้ที่พื้น จากนั้นนั่งลงตรงหน้าเขาในมือของพวกเขาต่างมีด ทั้งคู่แตะฝ่ามือเข้าด้วยกันและหลับตาลง พวกเขาคาดคะเนการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและวิถีโคจรปราณชีวิตโดยสัมผัสเอาจากการเปลี่ยนแปลงพลังในฝ่ามือของอีกฝ่าย ทั้งคู่ต่างก็หมายโจมตีจุดอ่อน และจัดการสยบฝ่ายตรงกันข้ามด้วยดาบเดียว
นี่คือหัวใจสำคัญของกระบวนท่าเสยมีดจากที่ต้องห้าม
เสยมีดจากที่ต้องห้าม ยวดยานแล่นอาชาโลดดุจสายฟ้า
หนึ่งบุรุษบุกวังพระราชา หิ้วศีรษะกษัตริยามาในมือ!
ความหมายของกวีบทนี้คือเมื่อข้ายกมีดขึ้นและเดินออกมาจากวังต้องห้ามของจักรพรรดิ ทั้งรถม้าและอาชาต่างก็สร้างเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหว เมื่อข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยทหารและม้าจำนวนมากที่กีดขวางกั้นทางของข้า นั่นก็เพราะว่าข้าฆ่าฟันบุกทะลวงเข้าไปในราชวังด้วยตัวคนเดียว และหิ้วศีรษะของจักรพรรดิมาในมือ
ความฮึกหาญทะยานฟ้าของกระบวนท่านี้เป็นสิ่งที่กระบวนท่าอื่นมิอาจเทียบทัน ความดิบเถื่อน ความเหยียดหยัน และไม่เห็นทุกสิ่งในสายตา
แต่ในขณะเดียวกันกระบวนท่านี้ก็เป็นกระบวนท่าที่อาศัยเทคนิควิธีจำเพาะเจาะจงที่สุดในเพลงมีดของคนแล่เนื้อ มันต้องใช้ความสามารถในการควบคุมพลังของตนเองอย่างละเอียดประณีต ทั้งยังต้องคว้าจับการเคลื่อนไหวของพลังของศัตรูเช่นกัน นี่เป็นผลงานรังสรรค์ชั้นยอดในหมู่ทักษะเทวะสายบู๊!
เมื่อฝ่ามือของทั้งคู่สัมผัสกัน ฉินมู่พลันสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ปราณชีวิต และการแบ่งกระจายพลังของเขาและของฝ่ายตรงข้าม เขาพลันสัมผัสได้ว่าปราณชีวิตของคนแล่เนื้อนั้นด้อยกว่าเขามากและในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็ฉวยโอกาสจู่โจม คนแล่เนื้อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงพลังของเขาแล้วจึงป้องกันการโจมตีได้ล่วงหน้า ขณะที่ใช้อีกหนึ่งมือเฉือนผ่าไปยังจุดอ่อนของฉินมู่
ถึงอย่างไรเทคนิควิชาของคนแล่เนื้อก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองหรือประสบการณ์ เขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ไปหลายขุม แต่ทว่าเมื่อคนแล่เนื้อป้องกันมีดฝ่ามือของฉินมู่ เขาก็พบว่ามีอะไรผิดแผกไป และกระเด็นถอยหลัง เขาปลิวหวือออกไปจากหมู่บ้านและกระเด็นทะลวงเข้าไปในป่าด้วยพลังของฝ่ามือมีดฉินมู่
เมื่อก้มลงมอง ฉินมู่ก็พบว่าเสื้อของเขาที่เพิ่งเปลี่ยนตัวใหม่กลายเป็นฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ จากพลังมีดของคนแล่เนื้อ นับว่าเฉียดฉิวไปเส้นยาแดงผ่าแปด
พลังวัตรของเขาแข็งแกร่งอย่างมหันต์ ทำให้ถึงแม้เทคนิควิชามีดของเขาจะไม่อาจเทียบกับคนแล่เนื้อ แต่ก็สามารถเอาชัยได้ด้วยพลังวัตรอันเข้มข้นของตน
“ข้าแพ้!”
คนแล่เนื้อทะยานออกมาจากป่าและลอยลงมาในหมู่บ้านคืน เขาใช่มือทั้งสองยันร่างกับพื้น แล้วพ่นออกมาโดยไม่ลังเล “ข้าแพ้แล้ว นักปรุงยา เฒ่าหนวก พวกเจ้าไม่ต้องแล้วล่ะ พลังวัตรของพวกเจ้าไม่มีทางสู้เขาได้!” เฒ่าหนวกยิ้มหยัน
“ใครว่าข้าจะแข่งขันกับเขาด้วยพลังเวทและพลังวัตร ดูว่าใครจะสู้เก่งกว่ากัน? มู่เอ๋อ ข้าวาดภาพมังกรขึ้นมาสองตัว”
ฟู่มมม
เขาสะบัดมือหนึ่งครา ภาพวาดของเขาก็คลายม้วนคลี่ลงแขวนจากเสา มังกรหมึกสมจริงมีชีวิตชีวาสองตัวปรากฏอยู่บนภาพนั้น ดูราวกับว่าพวกมันพร้อมที่จะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทุกขณะ แต่ที่น่าแปลกคือ มังกรทั้งสองตัวนั้นต่างไม่มีดวงตา
“ข้าได้สอนเจ้าถึงเต๋าแห่งพู่กันและภาพวาดตลอดหลายปีมานี้ และเต๋าแห่งพู่กันและภาพวาดไม่ใช่วิธีโง่ๆ ไร้สมองอย่างการต่อยตีกัน มันคือวิธีการขันแข่งของคนฉลาดซึ่งต้องอาศัยสติปัญญา”
เฒ่าหนวกวางพู่กันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม “ข้าใช้ทักษะเทวะวาดมังกรสองตัวนี่ และเมื่อใดที่ตาของพวกมันถูกวาดเติมเข้าไป มันก็จะกลายร่างเป็นมังกรโบยบินจากไป แต่ด้วยพลังวัตรระดับทารกวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแต้มจุดในดวงตาและทำให้มังกรกลับมามีชีวิต ทว่าหากพลังวัตรของเจ้าไม่พอ ก็จะต้องพึ่งพาทักษะฝีมือในการวาดภาพ ข้าได้สอนเจ้าถึงวิธีแต้มจุดในตามอบวิญญาณเทวะด้วยการดลบันดาลวิญญาณมาแล้ว ในวันนี้พวกเราจะแข่งขันการดลบันดาลวิญญาณระหว่างเจ้ากับข้า ว่าใครจะสามารถแต้มจุดในตามังกรและทำให้มังกรตัวนั้นทะยานสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จ!”