Skip to content

Tales of Herding Gods 94

94. วาดมังกรและแต้มจุดในตา

เมื่อเขากล่าวจบ ทุกคนในหมู่บ้านก็อุทานด้วยความทึ่ง ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าแล้วแย้มยิ้ม “เฒ่าหนวกนี่เหนือชั้นจริงๆ วิธีการแข่งขันของเขางามสง่าอะไรขนาดนี้ แต้มจุดในตามอบวิญญาณเทวะด้วยการดลบันดาลวิญญาณ ก็คือการดึงดูดโชควาสนาของโลกหล้าเข้ามาในภาพนั่นเอง”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและคารวะเฒ่าหนวกในฐานะศิษย์

สีหน้าเฒ่าหนวกแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และรีบหลบเลี่ยงการคารวะนั้น “เจ้าและข้ากำลังแข่งขันกัน ดังนั้นจึงไม่มีศิษย์ไม่มีอาจารย์ เจ้าและข้าล้วนแต่เป็นผู้ศึกษาหาความรู้ ดังนั้นพวกเราจึงควรถือทั้งคู่ในฐานะเท่าเทียม หลังจากการแข่งขันนี้สิ้นสุด ข้าจึงจะกลับไปนับว่าเป็นอาจารย์ของเจ้า”

ฉินมู่จึงรู้ว่าเขาใช้มารยาทผิดไป เขารีบใช้วิธีโค้งคารวะในฐานะเท่าเทียมกัน เฒ่าหนวกก็โค้งตอบ

ทั้งคู่เลือกหยิบพู่กันมาคนละเล่ม และยืนอยู่เบื้องหน้าภาพวาด จ้องมองพิจารณามัน

ใช้พลังเวทมนตร์เป็นวิชาเทวะเพื่อแต้มจุดในดวงตามังกรให้กลับมามีชีวิต นับเป็นความสำเร็จอันสูงส่ง แต่ทว่าด้วยพลังวัตรขั้นต่ำที่ขาดแคลนพลังเวทมนตร์ มันจึงต้องช่วงใช้โชควาสนาของโลกหล้ามาชดเชยหากว่าต้องการที่จะให้ชีวิตแก่มังกรในภาพวาดด้วยการแต้มจุดในตาให้งดงามไร้ที่ติ

ฉินมู่ได้เรียนการวาดภาพ การคัดตัวอักษร การอ่าน และการเขียนจากเฒ่าหนวก แม้อาจจะพูดได้ว่าเฒ่าหนวกสั่งสอนเขามากมายและฉินมู่ก็ได้สั่งสมพื้นฐานอันแข็งแกร่งด้านเทคนิคการวาดภาพหลังจากที่เขาได้ฝึกวาดภาพมาหลายต่อหลายภาพ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ลองมอบชีวิตให้กับภาพวาด

หนึ่งจุดแห่งการดลบันดาลเพื่อมอบชีวิตให้แก่มนุษย์หรือสิ่งในภาพวาด เป็นสิ่งที่เฒ่าหนวกเคยสอนเขามาก่อน ทว่าฉินมู่ยังไม่เคยทำสำเร็จ

การแข่งขันนี้นับว่ายากหนักหนายิ่งกว่าการแข่งขันก่อนหน้า

ฉินมู่รวมสมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับมังกรในภาพวาดตรงหน้าตน มังกรนี้ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ดังนั้นเมื่อเขาทอดสายตาจับจ้องมัน ก็ดูเหมือนมังกรในภาพขยับเขยื้อนไปมาอย่างแช่มช้าและเปลี่ยนท่าทางไปไม่หยุดหย่อน

วิชาวาดภาพของเฒ่าหนวกนั้นเลิศล้ำเสียจริง แม้ว่าจะยังไม่ได้วาดดวงตา เขาก็รู้สึกได้ว่ามังกรในภาพวาดนี้พร้อมที่จะโจนทะยานสู่อากาศอยู่เต็มแก่!

ฉินมู่ถือพู่กันค้างและไม่เริ่มลงมือวาดแต้ม มังกรในภาพวาดอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง แต่เขาจะแต้มจุดในดวงตามันอย่างไรดี

เขารู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะเติมจุดอีท่าไหน ก็ยากที่จะมอบชีวิตให้กับมังกร ไม่ว่าเขาจะแต้มจุดอย่างไร ภาพก็จะออกมาผิดเพี้ัยน

“มู่เอ๋อ รีบฉีกภาพวาดฝั่งเฒ่าหนวกเร็วเข้า จะได้ชนะ!” ท่านยายซีอดไม่ได้ พึมพำกระซิบกระซาบต่อฉินมู่

เฒ่าหนวกกลอกตาใส่นาง “วิธีต่ำช้านอกรีต ข้าสอนมู่เอ๋อให้อ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาย่อมเป็นผู้ทรงปัญญาและศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจเป็นอย่างน้อย เขาไม่ทำอะไรต่ำช้าอย่างที่เจ้ายุแยงหรอก”

ท่านยายซีโกรธจนโลดเต้น

ผู้ใหญ่บ้านหลุดยิ้มแล้วกล่าว “ยายเฒ่าอย่าไปขัดขวางการประลองของทั้งคู่ ด่านทดสอบของเฒ่าหนวกดูฉลาดดีจะตาย”

ยายเฒ่าซีได้แต่ระงับความโกรธของตน

ในสายตาของฉินมู่ หลงเหลือก็เพียงแต่มังกรในภาพวาด ในดวงตาของเขามองไม่เห็นหมู่บ้านอีกต่อไป และมีแต่ภาพวาดที่ลอยเลื่อนอยู่เบื้องหน้าของเขา ไม่นานนัก แม้แต่แผ่นภาพวาดก็หายไป เหลือแต่มังกรอันถูกวาดไว้ด้วยหมึก

ในสายตาของเขา บางครั้งมังกรก็แหวกขึ้นบางครั้งก็ว่ายลง บางครั้งก็แหวกซ้ายบางครั้งก็ว่ายขวา บางครั้งมันก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศ บางครั้งมันก็ม้วนขดกันเป็นตั้งๆ และบางครั้งก็กลิ้งเกลือกกับพื้น มันจะยกหัวของมัน กวัดแกว่งหาง เลื้อยไปข้างหน้าประดุจมังกร ละเล่นกับเกลียวคลื่น พ่นเพลิงไฟและสายฟ้า ซึ่งทำให้ดูน่าประหลาดนักที่สิ่งนี้จะมีจิตวิญญาณมากมายอะไรขนาดนี้

ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าเขากลายเป็นมังกรในภาพวาด แต่ว่าจากมุมมองของเขา ทุกอย่างมืดสนิทเนื่องจากเขาไม่มีดวงตา

เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดิ้นรนออกจากความมืด แต่ไม่รู้ว่าจะเปิดลืมดวงตาขึ้นมาอย่างไร

เขาหวนระลึกถึงเสามังกรในเมืองเขตมังกร กระดูกมังกรรวมทั้งวิญญาณมังกรในวังมังกรแม่น้ำหย่ง เขาจดจำได้ถึงรูปสลักในหมู่บ้านและสัมผัสที่เทพยดาทิ้งร่องรอยเอาไว้

รูปปั้นของเทพเจ้าที่ช่างสลักเทวะได้รังสรรค์นั้นก็เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่ง ทักษะอันมหัศจรรย์และความสง่างามลึกซึ้งที่ถูกสลักเอาไว้ในนั้นดูราวกับจะมอบวิญญาณให้แก่รูปปั้น และทำให้รูปปั้นพวกนั้นสามารถปกป้องแดนโบราณวินาศได้ราวกับเทพยดาตัวจริง

หลังจากนั้นไม่นาน ฉินมู่ก็รู้สึกว่ามีเส้นแสงบางเฉียบปรากฏขึ้นในความมืด ราวกับมังกรนี้กำลังเปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อความมืดตรงหน้าเขามลายหายไป ริ้วรอยพลังกร้าวแกร่งพลันปะทุออกมาจากดวงตาฉินมู่ และฉินมู่ก็ยกพู่กันแต่งแต้มจุดลงไปในดวงตามังกร!

แต้มจุดในดวงตามอบวิญญาณเทวะด้วยการดลบันดาลวิญญาณ!

ด้วยพู่กันที่เขาปาดป้าย มังกรในภาพวาดพลันกระดุกกระดิกขึ้นมาบนกระดาษ มันสะบัดศีรษะและส่ายหางไปมา แล้วพลันโจนทะยานขึ้นสู่ฟ้าจากแผ่นกระดาษ เพื่อขึ้นไปแหวกว่ายท่ามกลางเมฆาและวายุบนท้องฟ้า ทิ้งไว้แต่กระดาษขาวว่างเปล่าที่ไร้ริ้วรอยปราศจากแม้หยดหมึก!

ฉินมู่จ้องตาค้าง เขาทำสำเร็จได้ด้วย!

เขาแต้มจุดมอบชีวิตให้มังกรได้สำเร็จ!

มังกรนั้นโบยบินไปมาในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นน้ำหมึก ย้อมก้อนเมฆจนกลายเป็นสีดำ

ฉินมู่รีบหันไปมองเฒ่าหนวกแต่พบว่าอีกฝ่ายล้างพู่กันและวางมันลงในแท่นเสียบเรียบร้อยแล้ว เขามิได้แต้มจุดในดวงตาให้แก่ภาพวาดมังกรตรงหน้า

ฉินมู่จึงตระหนักทันใด “ท่านปู่หนวก ท่านปล่อยให้ข้าชนะหรือ”

เฒ่าหนวกส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้ปล่อยให้เจ้าชนะ เมื่อข้าอายุเท่ากับเจ้า ข้าไม่มีความสำเร็จด้านเต๋าแห่งภาพวาดสูงส่งเท่ากับเจ้า การทดสอบนี้ของข้ามิได้อยู่ที่ชนะหรือพ่ายแพ้ ครูที่ดีย่อมต้องถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์และชี้แนะให้คลายสงสัย ตอนนี้ข้ากำลังถ่ายทอดเต๋าให้กับเจ้า เหตุใดต้องคำนึงถึงชัยชนะและพ่ายแพ้”

นักปรุงยาฟังแล้วก็อุทานด้วยความชื่นชม “เฒ่าหนวก เจ้ามีจิตวิญญาณของความเป็นครู ข้านับถือจริงๆ มู่เอ๋อ บททดสอบของข้าก็มิใช่การแข่งขันกับเจ้าเช่นกัน แต่ข้าจะให้เจ้าหลอมปรุงยาขึ้นมา ไปที่สวนสมุนไพรนอกหมู่บ้านและเก็บเกี่ยวพืชพิษร้ายมาสามสิบชนิดเพื่อหลอมปรุงมันให้กลายเป็นยาบำรุงเสริมร่างกาย เมื่อเจ้าปรุงยาเสร็จ เจ้าจะต้องกินมัน หากว่ามันบำรุงร่างกายให้เจ้า เจ้าก็จะผ่านการทดสอบ แต่ถ้าเจ้าติดพิษจนถึงตาย เจ้าก็จะต้องอยู่ในหมู่บ้านต่อ ไม่ให้ออกไปแสวงประสบการณ์”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาจะยังอยู่ในหมู่บ้านต่อได้อย่างไรหากว่าตายจากยาพิษ

เป้าหมายของนักปรุงยานั้นชัดเจน ใช้สมุนไพรพิษร้ายสามสิบชนิดมาหลอมปรุงเป็นยาบำรุงเสริมร่างกายนั้นอาศัยความเชี่ยวชาญในความรู้แพทย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งปริมาณของสมุนไพรแต่ละชนิด จะใช้ใบหรือใช้ราก จะใช้เกสรหรือกลีบดอก จะต้มหรือจะตาก ทั้งหมดนี้ต้องมีการศึกษามาอย่างถี่ถ้วน

ยิ่งไปกว่านั้น นักปรุงยายังมิได้บอกสูตรยาแก่เขา แต่ให้เขาคิดค้นขึ้นมาเองว่าจะเลือกใช้สมุนไพรมากแค่ไหนและจะหลอมปรุงมันอย่างไรเพื่อให้พิษร้ายเหล่านั้นต่อต้านกันเองเป็นวัฏจักรจนกระทั่งกลายเป็นยาบำรุงชั้นยอดด้วยความรู้ทางการแพทย์ของฉินมู่

ในกระบวนการหลอมปรุงนี้ การให้ความร้อนก็เป็นปัจจัยสำคัญ ฉินมู่จะต้องใช้วิจารณญาณของตนที่ได้จากประสบการณ์ในการหลอมปรุงยามาตัดสินว่าจังหวะไหนควรใส่สมุนไพรใด และควรใส่เป็นผงหรือเป็นชิ้น ควรควบคุมความร้อนอย่างไร และใช้เวลาเท่าไหร่ในการต้มกลั่น

ความผิดพลาดแม้น้อยนิดอาจจะทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า หากว่ามีความผิดพลาดที่ขั้นตอนใด หยาดเหงื่อแรงงานของฉินมู่ก็จะกลายเป็นเสียเปล่า และสิ่งที่เขาหลอมปรุงออกมาก็จะเป็นสารพิษร้ายกาจที่จะแพร่พิษใส่เขา

ฉินมู่ยืนข้างๆ สวนสมุนไพรของนักปรุงยาและมองไปยังสมุนไพรภายในนั้น ขมุบขมิบกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาคำนวณความเป็นพิษของสมุนไพรทุกชนิดในสวนและกำลังครุ่นคิดว่าจะจับกลุ่มพวกมันมาปรุงรวมกันอย่างไร จะกำหนดตัวไหนเป็นตัวยาหลักและตัวไหนคือตัวยารอง จะสยบพยัคฆ์และมังกรอย่างไร จะสร้างสมดุลหยินและหยางอย่างไร

ผ่านไปสักพัก เขาจึงเข้าไปในสวนสมุนไพรและเก็บเกี่ยวสมุนไพรเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง

เมื่อเขาเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ยี่สิบเก้าชนิด เขาก็ยั้งมือ เขาจับแมลงวันห้าปีกจากใบของสมุนไพรพิษ เด็ดหัวและดึงปีกมันออก เขานับมันเป็นสมุนไพรพิษชนิดที่สามสิบ

ฉินมู่กลับไปยังอยู่บ้านและใช้ปราณชีวิตของตนอบแห้งรากของสมุนไพรบางชนิดเพื่อขับไล่ฤทธิ์ยาที่เกินจำเป็น บางสมุนไพรเขาก็เอาไปนึ่ง และบางชนิดเขาก็เอาไปย่างเพื่อไล่น้ำออก

หลังจากง่วนอยู่นาน เขาถึงได้เริ่มลงมือหลอมปรุงยา

นักปรุงยายืนอยู่ไม่ไกลและจับจ้องมองทุกขั้นตอนและทุกวิธีการของเขา เช่นเดียวกับวิธีที่ฉินมู่ใช้ปราณชีวิต และลอบพยักหน้าในใจ

เมื่อฉินมู่หลอมปรุงยา เขาใช้ปราณชีวิตยกหม้อยาขนาดใหญ่ขึ้นไปบนอากาศ โยนสมุนไพรทั้งสามสิบชนิดลงในหม้อยา เขาไม่ได้เติมน้ำเข้าไปแต่กลับใช้ปราณชีวิตอันเข้มข้นของเขาหล่อเลี้ยงสมุนไพรเหล่านั้น ใช้ปราณชีวิตอันปราศจากคุณสมบัติธาตุเพื่อกลั่นเค้นเอาฤทธิ์พลังยาออกจากสมุนไพร

นักปรุงสีหน้าแปรเปลี่ยน นั่นเป็นวิธีเฉพาะตัวของฉินมู่อันแม้แต่เขาก็มิอาจลอกเลียนแบบ ปราณชีวิตของเขามีคุณสมบัติธาตุ และสมุนไพรแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติธาตุเฉพาะของมัน ปราณชีวิตของเขาจะขัดขวางทำลายฤทธิ์พลังยาในสมุนไพร มีก็แต่ฉินมู่ผู้ครอบครองปราณชีวิตอันไร้คุณสมบัติเท่านั้นที่สามารถใช้เทคนิควิธีนี้ในการกลั่นเค้นฤทธิ์พลังยา

ฉินมู่ระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเขาแยกปราณชีวิตออกเป็นสามสิบสาย และแต่ละสายก็เข้าไปแทรกซึมในสมุนไพรแต่ละชนิด ในขณะเดียวกัน ปราณชีวิตหงส์แดงก็พวยพุ่งออกจากมือของเขาที่ยกหม้อด้วยปราณชีวิตไว้อยู่ และแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงร้อนแรง ทำให้ฤทธิ์พลังยาในหม้อเริ่มหลวมรวมเข้าด้วยกัน

ปราณชีวิตเต่าดำพวยพุ่งออกมาจากอีกมือหนึ่งของเขา ทำให้เขาสามารถใช้ไอน้ำมาเสริมความชุ่มชื้นแก่ฤทธิ์พลังยาเพื่อชะลอความเร็วในการหลอมรวม และเพื่อชะล้างเศษซากเหลือค้างในหม้อด้วย

หลังจากนั้นสักพัก ฉินมู่ก็หมุนหม้อยายักษ์ใบนี้หวือ ทำให้มีเสียงกระทบกันโกร่งกร่างดังมาจากในหม้อ และเมื่อหม้อยักษ์หยุดหมุน มันก็มียาเซียนสีขาวหลายเม็ดที่ยังคงหมุนกลิ้งไม่หยุดหย่อนอยู่ในหม้อ ยาเซียนนี้ใสราวกับผลึกคริสตัลและก็คล้ายกับลูกแก้วที่สลักเสลาออกมาจากหยกขาวไขมันแกะ

ฉินมู่ล้วงมือลงไปและหยิบยาเซียนขึ้นมาหนึ่งเม็ด ท่านยายซีรีบถามอย่างวิตกกังวล “นักปรุงยา ยานั่นมีพิษไหม”

นักปรุงยายิ้มกล่าว “เมื่อมู่เอ๋อกินมันเข้าไป เจ้าก็จะรู้เองว่ามีพิษหรือไม่”

ฉินมู่อ้าปากและกลืนกินยาเซียนเม็ดนั้น “ท่านยายไม่ต้องห่วง ยาเม็ดนี้ไม่มีพิษหรอก”

ปัง!

เส้นผมเขาพลันระเบิดออกมาแล้วงอกเงยยาวออกไปทุกทิศทาง ทำเอาท่านยายซีและคนอื่นๆ ตกใจกันหมด ฉินมู่รีบกล่าวทันที “ไม่ต้องตื่นเต้น นี่ก็เพราะว่าข้าปรับสมดุลตัวยาหนึ่งไม่ค่อยดีนัก เลยส่งผลต่อธาตุน้ำในไต เมื่อไตข้าถูกกระตุ้น เลยทำให้เส้นผมข้ายาวขึ้นนิดหน่อย”

ยายเฒ่าซีย้อนด้วยความเดือดดาล “นี่เจ้าเรียกว่านิดหน่อยหรือ”

เส้นผมฉินมู่ยังคงยาวขึ้นยาวขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เส้นผมเขาดูเหมือนกับหน่อไม้หน้าฝนที่ชูชันสูงขึ้นไปสู่ฟ้า ในระยะเวลาไม่กี่วินาทีเส้นผมเขาก็ยาวหกเจ็ดวา แต่ละเส้นชี้ชันสู่ฟ้าและแข็งกร้านเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่รู้สึกว่าหัวเขาหนักขึ้นทุกที และตอบกลับไป “ท่านยาย สรรพคุณที่ดีที่สุดของยาตัวนี้คือรักษาบาดแผลอาการบาดเจ็บ ยาวิญญาณนี้สามารถทำให้กล้ามเนื้อที่แหลกสลายกำเนิดใหม่อย่างรวดเร็ว และเยียวยากล้ามเนื้อที่ฉีกขาด กระดูกหักก็สามารถงอกกลับมาได้ใหม่ เส้นเอ็นขาดก็กลับมาต่อใหม่ได้ การกระตุ้นธาตุน้ำในไตนี้เป็นแค่ผลข้างเคียงน้อยนิดที่ไม่ต้องใส่ใจ…”

เส้นผมของเขายังคงงอกยาว และกดทับหัวเขาหนักหน่วงขึ้นทุกที เขาแทบจะรับน้ำหนักเส้นผมอันเหมือนระเบิดบนหัวได้อีกต่อไป

นักปรุงยากลั้นหัวเราะแล้วกล่าว “เจ้าผ่านการทดสอบ คนแล่เนื้อ ช่วยเขาจัดการเส้นผมซิ หากว่ามันยังงอกยาวขึ้นต่อไป มีหวังหัวได้กลิ้งหลุนๆ ลงจากคอจากน้ำหนัก”

คนแล่เนื้อก้าวเข้าไป และตัดแต่งเส้นผมส่วนเกินให้เขาด้วยการหวดสองสามมีด

ทุกคนหันไปมองเฒ่าใบ้ที่ใช้ผ้าเช็ดเหงื่อเช็ดมือตนเอง และลากเตาหลอมเหล็กของเขาออกจากโรงตีเหล็กที่พังถล่ม เขานำแก่นเหล็กเหมันต์ออกมาสองก้อนแล้วโยนมันเข้าไปในเตา ไฟในเตาพลันดับวูบพร้อมกับมีเกล็ดน้ำแข็งก่อตัวอยู่ตามผนังเตา

เฒ่าใบ้เดินหนีด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “อา อา อา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version