Skip to content

Tales of Herding Gods 96

96. กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

ปราณชีวิตของผู้ใหญ่บ้านหลั่งไหลออกมาก่อรูปเป็นแขนและขา เขาลุกขึ้นจากแคร่ของตนอย่างแช่มช้าและโบกมือหนึ่งครากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ก็ลอยหลุดจากมือฉินมู่มายัง ‘มือ’ ของเขา

สายตาของเฒ่าผู้นี้พลันพร่าเลือนราวกับว่าจ่อมจมลงไปในความทรงจำเก่า

ชิ้งงง

เสียงกระบี่ดังขึ้นมาเมื่อกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า กระบี่ดูคล้ายจะเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า และการเคลื่อนไหวของมันดูชัดเจน กระบี่พลิก กระบี่เฉียด กระบี่สับ กระบี่สะบัด กระบี่ป้อง กระบี่ทิ่ม กระบี่แย็บ กระบี่โค้ง กระบี่เฉือน กระบี่ขัด กระบี่กวาด กระบี่โกน และกระบี่เสย ทั้งหมดนี้คือท่วงท่าพื้นฐานของการใช้กระบี่แต่มันกลับดูผิดแผกแตกต่างเมื่อถูกใช้โดยน้ำมือผู้ใหญ่บ้าน เมื่อผู้ใหญ่บ้านร้อยเรียงท่วงท่าพื้นฐานเหล่านั้นเข้าด้วยกัน และสำแดงวิธีการใช้กระบี่อันพิสดารพันลึก

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

ภายใต้เพลงกระบี่ของเขา รังสีกระบี่เผยเงาวูบวาบขึ้นๆ ลงๆ อันดูสูงสง่าเกรียงไกรราวภูเขา และเชี่ยวกรากราวลำน้ำใหญ่ แสงกระบี่และเงาของมันถึงกับก่อรูปเทือกเขากว้างใหญ่และลำธารลึกล้ำ สร้างภาพทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำ!

กระบวนท่าแรกของเพลงกระบี่ผู้ใหญ่บ้านนั่นก็ซับซ้อนอย่างมหันต์แล้ว มันมีบรรยากาศน่าเกรงขามซึ่งคลี่คลายออกมาในความกว้างใหญ่ไพศาลของภูเขา หมู่เมฆ และลำน้ำ!

มีทั้งเทือกเขาและแม่น้ำที่ส่องสะท้อนจากแสงและเงาของกระบี่!

เมื่อความลับในกระบี่เปลี่ยนแปลงไป ภูเขาและแม่น้ำก็เปลี่ยนแปรตามไปด้วย เฒ่าผู้นี้คุมกระบี่พลางร้องกวีอันปนเปไว้ทั้งความทะยานใจและความหดหู่

“เสนาธิการในกระโจมสนามรบ

แม่ทัพสยบที่ชายแดน!

ได้ฤกษ์ดิถีเข้าชิงชัย

จักสังหารเทพยดาได้หรือไม่”

“ตอบ: ได้!”

“ในเพลานี้ด้วยกระถางธูปสำริดสามขา

ตั้งบูชาบนแท่นใหญ่

เขาจักย่างไปในทิวทัศน์ด้วยกระบี่

ฝูงชนในเมืองแซ่ซ้องยินดี

ต้อนรับเซ่นพลีเทพไท้ที่มายลและชื่นชม!”

กระบี่ของเขาเคลื่อนที่ไปอย่างแช่มช้าเพื่อให้ฉินมู่ได้เห็นวิถีกระบี่ชัดถนัดตา แม้ว่ามันจะแช่มช้า แต่ความเกรียงไกรของเพลงกระบี่นี้ก็ยังถูกปลดปล่อยออกมาทุกอณูละอองในขณะที่ชี้แนะวิธีช่วงใช้กระบี่นี้ไปด้วย

ฉินมู่เพ่งสมาธิจดจำ เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านอาจจะซับซ้อน แต่แม้เพลงกระบี่ที่ซับซ้อนที่สุดก็ยังประกอบขึ้นจากท่วงท่าพื้นฐานการใช้กระบี่ ตราบใดที่เขาเชี่ยวชาญท่วงท่าพื้นฐานเหล่านั้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้เพลงกระบี่ใดๆ ได้ไม่ว่ามันจะซับซ้อนสักเพียงไหน

เมื่อผู้ใหญ่บ้านสำแดงกระบวนท่านี้เพียงครั้งเดียว ฉินมู่ก็จดจำเพลงกระบี่นี้ใส่ใจไว้ได้แล้ว เขาใช้ตัวเลขในการจดจำ เช่นกระบี่แทงแทนด้วยหนึ่ง กระบี่เฉียดแทนด้วยสอง กระบี่ฟันแทนด้วยสาม ฯลฯ

เขาเพียงแต่ต้องจดจำลำดับของตัวเลข ดังนั้นเขาจึงสามารถจดจำกระบวนท่ากระบี่ที่ซับซ้อนถึงที่สุดนี้ได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

นั่นก็ต้องยกความดีให้ผู้ใหญ่บ้านด้วย ในเวลาสองสามปีที่ผ่านมาเขาไม่ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้ฉินมู่เลย เอาแต่ให้ฉินมู่ฝึกท่วงท่าพื้นฐานทุกวี่วันเท่านั้น นี่ก็เพื่อให้ฉินมู่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของท่วงท่าพื้นฐานทุกท่วงท่าออกมาได้อย่างเต็มพิกัด

ด้วยพื้นฐานอันแน่นหนายากหาใดเปรียบ จึงช่วยให้เขาสามารถเรียนรู้เพลงกระบี่อันซับซ้อนได้อย่างง่ายดายขึ้น

ฉินมู่หลับตาลง และทบทวนลำดับเลขในกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนลำดับเลขให้กลายเป็นท่วงท่ากระบี่แล้วทวนซ้ำฝังจิตจดจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สักพักหนึ่ง เขาจึงใช้ปราณชีวิตคุมกระบี่เรียกกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้โบยบินขึ้นมาร่ายรำกระบวนท่าเพลงกระบี่ที่ผู้ใหญ่บ้านสอนเขาเมื่อครู่

การร่ายรำของเขาทั้งฝืดขัด แปลกประหลาด เก้อเขิน และเซื่องเซา เขาต้องหยุดร่ายกระบี่ตรงนั้นแล้วก็ตรงนี้เพื่อหวนทบทวนอย่างระมัดระวัง

แต่ทว่า เมื่อเขาร่ายรำเพลงกระบี่รอบที่สอง มันก็ราบรื่นขึ้น แต่ถึงอย่างไรฉินมู่ก็ยังต้องหยุดเป็นพักๆ เพื่อระลึกทบทวนความคิด

เมื่อเขาร่ายรำเป็นครั้งที่สาม เขาสามารถสำแดงกระบวนท่ากระบี่นี้ทั้งชุดอย่างราบรื่นและง่ายดาย ทว่าเขาก็ยังไม่อาจเปล่งฤทธานุภาพของเพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรดุจขุนเขาและแม่น้ำและเข้าใกล้การแปรเปลี่ยนเป็นทักษะเทวะ

ฉินมู่ฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีก และยิ่งคล่องมือควบคุมกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานนัก ยายเฒ่าซีก็ตระเตรียมอาหารกลางวันและเรียกเขาไปรับประทาน แม้แต่ยามที่ทานข้าว ฉินมู่ก็จะโคจรปราณชีวิตของเขาเข้าไปในตะเกียบเป็นระยะเพื่อฝึกปรือเพลงกระบี่บนโต๊ะทานข้าว

เมื่อราตรีมาถึง เขาก็จะฝึกต่ออีกสักพักก่อนที่จะเข้านอน และแม้แต่ในความฝัน เขาก็ยังคงฝึกกระบี่

กิจวัตรนี้ดำเนินไปมากกว่าสิบวัน และฉินมู่ก็บรรลุหัวใจสำคัญในการใช้กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ได้ในที่สุด!

ความนัยอันลึกซึ้งของหนังสือจะเผยตัวออกมาเมื่ออ่านมันซ้ำร้อยครั้ง เช่นเดียวกับเพลงกระบี่ ฉินมู่ได้ฝึกกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์มากกว่าหนึ่งพันครั้ง!

เขากระจ่างกระบวนท่านี้ขึ้นใจและเมื่อเขาร่ายรำมันในครานี้ แสงเทวะพลันเปล่งออกมาและเขาก็รู้สึกว่าปราณชีวิตของตนผสมผสานกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียว ด้วยเทือกเขากว้างใหญ่ราวร่างมังกรและแม่น้ำไหลฉาดฉาน เพลงกระบี่ของเขาถูกร่ายออกมาว่องไว ปาดป้ายแต่งแต้มภาพทิวทัศน์ขุนเขาและแม่น้ำด้วยแสงเงากระบี่ตน

แสงกระบี่ถูกรวบเก็บกลับเข้าสู่ปากปลามังกรด้วยเสียงฉึบ ภาพจิตรกรรมทิวทัศน์ขุนเขาและแม่น้ำเบื้องหน้าเขาก็ค่อยๆ จางหายไป

ฉินมู่ยืนตะลึง ในที่สุด เขาก็บรรลุกระบวนท่านี้

“เจ้าเติบโตแล้ว มู่เอ๋อ”

ผู้ใหญ่บ้านเผยยิ้มแล้วกล่าว “ตั้งแต่บัดนี้ เจ้าคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป เจ้าสามารถออกจากหมู่บ้านพิการชราและแดนโบราณวินาศได้ เพื่อท่องเที่ยวไปในโลกหล้า”

ท่านยายซียืนพิงประตู นางมองภาพกระบี่ปรากฏและจางหายไป เต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายเต็มตื้นใจ

“มู่เอ๋อ เจ้าเติบโตแล้ว” นางยิ้มบางๆ

ฉินมู่ยังอยู่ในหมู่บ้านอีกสองสามวัน และเรียนวิชามือขโมยสวรรค์สลับตะวันจากเฒ่าเป๋ เมื่อเขาเรียนวิชานี้สำเร็จ ก็ได้เวลาที่เขาจะต้องออกจากหมู่บ้าน

ท่านยายซีตระเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางให้เขา ซึ่งใหญ่โตเป็นอย่างมาก สิ่งของหลายอย่างที่ฉินมู่คิดว่าไม่จำเป็นก็ถูกยัดเข้าไปจนแน่นปริ และท่านยายซียังเปลี่ยนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตให้กลายเป็นถุงมือขาวบนมือของเขา

หลังจากดื่มสุราร่ำลา ฉินมู่ก็ออกเดินทางไปจากหมู่บ้าน เมื่อเขาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชรายืนอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านก็ก่อรูปแขนขาตนและยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

ฉินมู่วิ่งกลับไปกอดเฒ่าหม่า หันไปกอดเฒ่าเป๋ เขากอดทุกคนคนละหนึ่งที จากนั้นเขาถอยหลังไปสองก้าวแล้วคุกเข่าโขกหัวคารวะสามครั้งให้แก่ท่านยายซี หลังจากนั้น เขาจึงลุกขึ้นหันกลับและมุ่งหน้าเดินทางต่อไป

“มู่เอ๋อ ถ้าเจ้าชนะใครไม่ได้ เผ่นให้ไวๆ เลยนะ!”

เฒ่าบอดตะโกน “ที่แดนไกลมีบทกวี ไหลล่องตามไป!”

ท่านปู่หม่าโบกมือ “เจ้าต้องพากเพียรรุดหน้า! ถ้าเจอใครรังแก ต่อยมันเลย อย่าไปยอม!”

คนแล่เนื้อชูมีดเชือดหมูขึ้น “อย่าให้เสียชื่อผู้เฒ่าพิการชราอย่างพวกข้า! สับพวกที่กล้ารังแกเจ้าให้หมด!”

“จงเป็นสุภาพบุรุษ!”

“สู้ไม่ได้ก็วางยาพิษมัน!”

“อา อา อา อาๆๆ”

ฉินมู่เหลียวกลับไปโบกมือพลางเผยยิ้มแจ่มจ้าดุจดวงตะวัน

ไม่นานนักเขาก็มาถึงหุบเขาวังสะกดเภทภัย ลิงยักษ์อสูรกำลังฝึกปรือพลังยุทธอยู่ เมื่อมันใช้วิชาหายใจและปักไม้เท้าพระข้างๆ ตัว

ลิงยักษ์อสูรร่างกายบึกบึนมากขึ้น และเต็มไปด้วยพละกำลัง พลังวัตรของเขาลึกล้ำขึ้นทุกที ด้วยฝึกปรือวิชาหมัดของเฒ่าหม่า และวิชาหายใจกายาจ้าวแดนดินสามอมตะที่ฉินมู่สอน เขาก็สามารถใช้ไม้เท้าขักขระได้อย่างคล่องแคล่วและดูเหมือนหลวงจีนปีศาจที่มีขนดำขึ้นทั่วร่างกาย

วิชาหมัดของเฒ่าหม่าและไม้เท้าขักขระล้วนมีที่มาจากสำนักพุทธ และแม้ว่าวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะจะมิได้มาจากสำนักพุธ แต่มันก็เหมาะสมกับการฝึกปรือของลิงยักษ์อสูร ดังนั้นจึงมีบรรยากาศของพุทธศาสนารอบๆ ตน ทำให้เขาดูคล้ายเทวาพิทักษ์ธรรมะในตำนานพุทธ!

“เหมือนหลวงจีนปีศาจอะไรอย่างนี้! หากว่าข้าสามารถตัดเย็บจีวรให้เจ้าตัวใหญ่และทำกำไลลูกประคำที่ใหญ่เท่าหัวคนให้ เขาต้องดูเหมือนเทพอสูรพิทักษ์ธรรมะเป็นแน่!”

ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง และเดินไปปลุกลิงยักษ์อสูร “เจ้าตัวใหญ่ ข้ากำลังจะเดินทางไกล…ข้าต้องไปจากบ้านและคงอีกนานอยู่กว่าจะได้กลับมา”

ลิงยักษ์อสูรเกาหัวแกรก “ไกล?”

ฉินมู่ผงกหัว “ไกล”

มันเกาหัวอีกครั้ง จากนั้นหันกลับไปมองฝูงสัตว์ป่าในหุบเขา มันพลันร้องคำรามด้วยเสียงอันดัง ทำให้มังกรคชสารที่คอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้ฝูงสัตว์ป่าในส่วนลึกของหุบเขารีบวิ่งตะเกียกตะกายมา กระดิกหางกระดุ๊กกระดิ๊กด้วยความประจบ

โดยไม่มีคำอธิบาย ลิงยักษ์อสูรจับมันกดหัวลงแล้วต่อย มันต่อยจนมังกรคชสารร้องหงิงๆ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้

“คุ้มกัน!”

ลิงยักษ์อสูรชี้ไปที่ฝูงสัตว์ป่าในหุบเขา ชูหมัดและเบ่งกล้าม กล้ามเนื้อของเขาเบ่งบานเหมือนดอกเห็ด แต่ละมัดกล้ามใหญ่ราวกับร่ม “กิน ตาย!”

ด้วยหางหลุบจุกตูด มังกรคชสารหมอบกับพื้นแล้วผงกหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก

ลิงยักษ์อสูรดึงไม้เท้าขักขระขึ้น จากนั้นทุบอกตนเองปึกๆ “ข้า ไป”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ไกล”

ลิงยักษ์อสูรชี้ที่ตนเอง “ข้าใหญ่ เจ้ากระจ้อย”

ฉินมู่ส่ายหน้าอีกที “ข้าแข็งแกร่ง เจ้าอ่อน”

ลิงยักษ์อสูรโมโหขึ้นมาทันที และพูดตะกุกตะกัก “คะ…คุยเจ้า หนะ…เหนื่อยมาก!”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “คราวนี้ข้าจะเข้าไปในเขตแดนมนุษย์ มันไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนกับแดนโบราณวินาศ และเต็มไปด้วยผู้คนดุร้ายทุกที่ทาง หากพาเจ้าไปด้วยมันคงสะดุดตามากเกินไป เมื่อเจ้าสามารถฝึกปรือถึงระดับที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ข้ากับเจ้าจึงจะออกไปท่องโลกด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นมังกรคชสารนี่ป่าเถื่อนจะตาย หากเจ้าทิ้งมันไว้ที่นี่คงสงบเสงี่ยมได้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวมันก็กินสหายน้อยทั้งหลายของเจ้าไปจนหมดหุบเขา แถมมังกรคชสารนี่ซื่อบื้อจะตาย ถ้ามันปล่อยมารเฒ่าในวังสะกดเภทภัยออกมาต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ๆ”

ลิงยักษ์อสูรฟังแล้วก็จนปัญญาได้แต่พยักหน้ารับ มังกรคชสารมีสีหน้าเจ็บช้ำใจ หางหลุบลู่และปาดป้ายน้ำตาอย่างเศร้าสร้อย มันรู้สึกว่าที่โดนต่อยไปหลายหมัดเมื่อกี้ ก็โดนไปเปล่าๆ น่ะสิ?

ฉินมู่โบกมือลาแล้วเดินออกจากหุบเขาวังสะกดเภทภัย

“เด็กกระจ้อยร่อย…”

ลิงยักษ์อสูรกระโดดขึ้นไปบนหน้าผาแล้วโบกมือยักษ์ของมันด้วยกำลังแรง “กลับ เร็วๆ นะ!”

ฉินมู่มายังน้ำตกที่หุบเขาเมฆหยกและเห็นฮู่หลิงเอ๋อถือหนังสือสองสามเล่มอธิบายคัมภีร์เหล่านั้นให้จิ้งจอกตัวอื่นๆ นางกำลังกล่าวถึงประโยชน์ของการฝึกปรือและจิ้งจอกเหล่านั้นก็เงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อเห็นฉินมู่เดินเข้ามา ฮู่หลิงเอ๋อก็วางหนังสือโบราณในมือลงไปข้าง ๆ ปีศาจจิ้งจอกสาวตนอื่นๆ ก็รีบยืนขึ้นแล้วกล่าวทักทายเป็นเสียงเดียวกัน “คารวะคุณชายมู่” เสียงของพวกนางทั้งดังและไพเราะ

ฉินมู่ทักทายตอบจากนั้นจึงกล่าว “ไม่ต้องมากพิธี หลิงเอ๋อ ข้ามาเพื่อบอกลา ข้าจะออกเดินทางไกลและมุ่งหน้าไปยังสันตินิรันดร์ซึ่งอยู่ข้างนอกแดนโบราณวินาศ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่ได้กลับมาอย่างน้อยก็สามถึงห้าเดือน”

จิ้งจอกขาวตาเป็นประกายและรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อมหญ้าฟาง เก็บข้าวของนางมา จิ้งจอกน้อยแบกสัมภาระเล็กๆ และรีบรี่เข้ามาพลางแย้มยิ้ม “น้องสาวทั้งหลาย พวกเจ้าอยู่ที่เพื่อฝึกปรือต่อไปได้นะ คุณชายมู่กับข้าจะออกไปสำรวจโลก พวกเราไปกันเถอะ!”

สัมภาระของจิ้งจอกน้อยนั้นเล็กกว่าของฉินมู่เป็นร้อยเท่า และดูสวมงามจุ๋มจิ๋มเมื่อนางแบกมันไว้

“เจ้ใหญ่ นี่เจ้าเมาอีกแล้วหรือ”

เหล่าจิ้งจอกถามอย่างระแวง “ผู้คนข้างนอกมีแต่ชั่วร้าย พวกเขาจะถลกหนังพวกเราเอาไปทำเสื้อผ้า”

ฮู่หลิงเอ๋อแย้มยิ้ม “มีคุณชายมู่อยู่ด้วย ไม่มีปัญหาหรอกน่า”

ฉินมู่เริ่มปวดหัวตึ้บ “หลิงเอ๋อ นี่ไม่ใช่เล่นสร้างบ้านนะ มันอันตรายเกินไป เจ้าอยู่ที่นี่กับพวกน้องสาวของเจ้าดีกว่า”

ฮู่หลิงเอ๋อยิ้มกล่าว “จอมราชาปีศาจบังคับข้าให้แต่งงานกับเขา แต่ข้าไม่ชอบที่เขาหน้าตาน่าเกลียด ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่ข้าได้หลบเลี่ยงการแต่งงาน เหล่าน้องสาวของข้าสามารถฝึกปรือด้วยตนเองแม้ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ และไม่นานพวกนางก็จะสามารถปลดหนังออกแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ข้าพาลิงยักษ์อสูรไปไม่ได้ ข้าก็พาเจ้าออกไปไม่ได้เช่นกัน”

ฮู่หลิงเอ๋อกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ “เจ้าตัวใหญ่ออกจะซื่อบื้อ เขาจะฉลาดเท่าข้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนะ ต้องมีคนคอยตระเตรียมอาหารปรนนิบัติรับใช้คุณชายมู่ระหว่างทาง? ข้าไม่อยากแต่งงานกับจอมราชาปีศาจ หรือคุณชายมู่จะใจร้ายส่งข้าเข้าถ้ำเสือได้ลงคอ?”

ฉินมู่จนปัญญาจึงกล่าว “หากว่าเจ้าจะตามข้าไปจริงๆ เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งข้าและไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย”

“ได้เลย!”

ข้างแม่น้ำหย่ง ฉินมู่จุดธูปสองสามดอก จากนั้นจึงร้องลำนำบูชาเทพแม่น้ำ ไม่นานนักสัตว์แบกแม่น้ำก็ว่ายเข้ามาและกินก้อนเนื้อวัวที่ฉินมู่สังเวย หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกยืนอยู่บนหลังของสัตว์แบกแม่น้ำล่องลงไปตามน้ำ ลอยผ่านขุนเขาเขียวและเสียงนกร้องที่เริงไพรอยู่ในหุบเขา

ฉินมู่มองไปยังข้างแม่น้ำเมื่อเห็นหมู่บ้านพิการชราอยู่วับๆ แวมๆ ท่านยายซียังยืนอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน และโบกมือลาหนุ่มน้อยบนหลังสัตว์แบก

“มู่เอ๋อ อย่าไปหลงกลนางจิ้งจอกยั่วราคะข้างนอกนะ…เอ๊ะ นังนี่!”

ข้างๆ ฉินมู่ จิ้งจอกขาวตัวเล็กนั่งอยู่และแลบลิ้นน้อยๆ ของนางใส่ท่านยายซี

และในตอนนั้นเอง ก็มีหลวงจีนเฒ่ามายังวังสะกดเภทภัย บนหัวของเขามีเนื้อโหนกนูน เขาสวมผ้ากาสาวพัตรสีเหลืองและก้าวยาวๆ ข้ามหุบเขา เมื่อเขาเห็นลิงยักษ์อสูรฝึกปรือวิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจม เขาก็ยั้งเท้าอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับอุทานด้วยความชื่นชม

ลิงยักษ์อสูรหยุดการฝึก และหลวงจีนเฒ่าก็ยิ้มแย้มกล่าว “เจ้าฝึกปรือได้ดีทีเดียว และดำเนินตามทางธรรมของศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่าเจ้าไม่เคยได้รับคำสอนอันเที่ยงแท้เท่านั้น ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าอย่างครบถ้วน หากว่าเจ้ามีกุศลวาสนาก็จะเรียนรู้ได้”

ลิงยักษ์อสูรงุนงงและถาม “หัวล้าน ใคร?”

“เจ้าหมายถึงข้าหรือ”

หลวงจีนเฒ่าดูยิ้มแย้มใจดี และในขณะเดียวกันก็เคร่งขรึม “ข้าคือเจ้าอาวาสวัดใหญ่ฟ้าคำรามซึ่งพวกเขาเรียกว่ายูไล ข้าไม่ได้หัวล้านจริงๆ หรอก ข้าเพียงแต่ฝึกปรือจนกระทั่งเส้นผมได้แปรเปลี่ยนเป็นเลือดเนื้อ เจ้าลองแตะดูสิ”

ลิงยักษ์อสูรยื่นมือใหญ่หนาของตนออกไปแตะศีรษะหลวงจีน และร้องด้วยความแตกตื่น “หัวล้าน เส้นผม!”

หลวงจีนเฒ่าเผยยิ้ม “เจ้าได้ฝึกวิชาหมัดของข้า และมีไม้เท้าของข้าเช่นกัน ดังนั้นกุศลวาสนาเราจึงนำพาสุกงอม ข้าคิดว่าไม้เท้านี่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มคนนั้นเสียอีก ดังนั้นข้าจึงมาหมายเปิดดวงตาเห็นธรรมให้กับเขา แต่ดูท่าข้ากับเขาไม่มีกุศลวาสนาต่อกัน แต่กับมีต่อเจ้าแทน มาสิ ให้ข้าถ่ายทอดพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เจ้า และเมื่อบุญพาวาสนาส่งในอนาคต เจ้าสามารถมาหาข้าได้ที่วัดใหญ่ฟ้าคำราม”

ลิงยักษ์อสูรดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version