Skip to content

Tales of Herding Gods 97

97. เสียงเพลงในน้ำ

สัตว์แบกแม่น้ำว่ายลงไปตามกระแสน้ำไปได้สักร้อยลี้ ฉินมู่ก็เห็นหมู่บ้านที่สร้างอยู่ใกล้ๆ วัดแห่งหนึ่ง เขาตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหญิงเจ้าของเปียสามเส้นนั่งอยู่บนป้ายประตูใหญ่ของวัดซอมซ่อนั้น

ฉินมู่รีบให้สัตว์แบกแม่น้ำหยุดแล้วขึ้นไปบนฝั่งทิ้งจิ้งจอกขาวไว้ข้างหลัง

เมื่อไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น เขาก็เห็นชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์พูนสุข มีหญิงแก่สามสี่คนกำลังไปที่วัดเพื่อจุดธูปบูชาและถวายหมูครึ่งตัวเป็นของเซ่น

ฉินมู่ก้าวไปยังวัดนั้น และเมื่อเด็กผู้หญิงเห็นเขา นางก็กระโดดลงมาและรีบวิ่งไปซ่อนในวัด

“แม่นางอู๋ข้าเห็นเจ้านะ ทำไมต้องซ่อนจากข้าด้วย”

เด็กหญิงตัวน้อยเดินออกมาจากในวิหารพลางยิ้มแย้ม “ข้าไม่ได้ซ่อนจากเจ้าซะหน่อย ข้ารอให้เจ้าเข้ามาในวัดจุดธูปบุชา แล้วก็ภาวนาทำนองว่าเจ้ามีร่างกายอ่อนแอ นกเขาไม่ขันแต่เล็ก ข้าจะได้ล้อเลียนเจ้าซะหน่อย!”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขามองไปรอบๆ เห็นวัดนี้สะอาดสะอ้านไม่มีผงฝุ่น มีแต่ธูปที่จุดปักไว้ในกระถางปล่อยควันฉุย เขาเดินไปยังรูปสลักเทพเจ้าอันถูกบูชาในวิหาร และพบว่ารูปสลักนั้นเป็นรูปของเด็กผู้หญิงที่เหมือนกับเสียนชิงเอ๋ออันเป็นร่างแปลงหนึ่งของแม่นางอู๋ไม่ผิดเพี้ยน

เขาเดินไปข้างหลังรูปสลักเทพและค่อยคลายใจเมื่อไม่เห็นโครงกระดูกซ่อนอยู่ เมื่อเขาเดินออกจากวิหาร เขาก็ถามอย่างสงสัยใจ “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ล่ะ”

แม่นางอู๋ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจในตนเอง “ข้ากำลังสั่งสมบุญกุศลที่นี่! หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้า และชาวบ้านก็จะบูชาเซ่นไหว้ข้า ข้าช่วยพวกเขาขับไล่สัตว์ร้าย และบางครั้งก็พาน้ำจากแม่น้ำมาหล่อเลี้ยงที่เพาะปลูก เมื่อฝนตกหนักเกินไปข้าก็จะช่วยปัดเป่าเมฆฝน และไม่มีสายลมข้าก็จะเรียกลมมา และเมื่อพายุพัดถล่ม ข้าก็จะขับไล่ลมร้ายแรงเหล่านั้นไป ก่อนหน้านี้นานมาแล้วข้าพเนจรร่อนเร่จับมนุษย์และสัตว์กินเป็นอาหารจนถูกสยบไว้ในวัดด้วยโล้นเฒ่าหนังเหนียวนั่น แต่ตอนนี้ข้ากลายเป็นพุทธรูปในวัดของตนเองไม่เพียงแต่ข้าจะได้ของเซ่นไหว้ ยังได้บุญกุศลอีก!”

ฉินมู่ยิ้ม “เจ้าไม่ได้ไปทางเหนือน้ำหรอกหรือ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

“หลังจากที่ทลายเขื่อนน้ำแข็งกับเจ้าในตอนนั้น ข้าก็ท่องเที่ยวไปทั่ว อยู่มาวันหนึ่งข้าก็พบกับหลวงจีนจากวัดน้อยฟ้าคำรามและได้ต่อสู้กับพวกมัน ข้าชนะพวกมันไม่ได้ก็เลยหนีมาจนถึงแถวนี้ เมื่อข้าซ่อนตัวอยู่ในวัดก็มีเหล่าโจรบุกเข้ามาในหมู่บ้านพอดี ดังนั้นข้าเลยจับพวกมันกินให้หมด ชาวบ้านที่นี่เห็นข้าและนึกว่าข้าเป็นเซียนผู้วิเศษจากวัดนี้ ซึ่งได้ตอบสนองคำภาวนาของพวกเขาจึงออกมาช่วย พวกเขาถวายวัว แกะ และจุดธูปบูชาข้า เมื่อได้รับความปรารถนาดีจากพวกเขา ข้าก็รู้สึกละอายที่จะไม่ตอบแทน เลยช่วยงานพวกเขาบ้าง”

แม่นางอู๋กระโดดกลับขึ้นไปนั่งบนคานป้ายวัดแล้วแกว่งขาไปมา “จากนั้นพวกเขาก็เลยปฏิบัติต่อข้าดีขึ้นเรื่อยๆ และข้าก็ยิ่งรู้สึกติดค้าง ในที่สุดจึงปักหลักอยู่ที่นี่”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ “ทำความดีโดยไม่ได้ตั้งใจหวังผล เจ้ากำลังจะบรรลุเป็นพุทธองค์” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป

แม่นางอู๋ใช้สายตาส่งเขา แล้วพึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ได้อยากเป็นหลวงจีนซะหน่อย กินเจทุกวันมีอะไรดีตรงไหน…”

ฉินมู่กลับไปขึ้นหลังสัตว์แบกแม่น้ำ และสัตว์หลังเขียวตัวมหึมานี้ก็ค่อยๆ ว่ายออกจากเขตน้ำตื้น ความเร็วของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาลอยล่องลงไปทางปลายน้ำ เมื่อมองกลับไปทางวัด ก็เห็นเด็กผู้หญิงที่พริ้มตาเอียงคอไปมาเมื่อนางได้รับควันธูปบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ทั้งหลายจากชาวบ้าน

คลื่นโหมซัดบนแม่น้ำหย่งอันเชี่ยวกราก

เมื่อพวกเขามาถึงท่าเรือเมืองเขตมังกร ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อก็ปีนขึ้นบกและมุ่งตรงเข้าไปในเมือง

เมืองนี้ได้ตกในเงื้อมมือของลัทธิมารฟ้าเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าท่านยายซีจะไม่โผล่หน้ามาในผืนหนังของฝูอวิ๋นตี้เป็นเวลาหลายต่อหลายวัน ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เพราะฝูอวิ๋นตี้ตัวจริงเองก็มักจะหายไปบ่อยๆ เพื่อปิดประตูฝึกพลังวัตร

ฉินมู่มายังโรงเตี๊ยมและเรียกเถ้าแก่มา “หัวหน้าธูป เจ้ามีวิธีหรือไม่ในการหลบเลี่ยงกระจกตรวจสอบเพื่อเข้าไปในจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตอบกลับ “มีด่านประตูสองด่านที่สามารถผ่านเข้าไปยังจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ ด่านหนึ่งคือชายแดนนิรันดร์ และอีกด่านคือวารีลับ ด่านชายแดนนิรันดร์และด่านวารีลับล้วนแต่มีทหารเฝ้าอย่างเข้มงวด ทั้งยังมีกระจกตรวจสอบแขวนไว้บนป้อมปราการประตูเมือง ใครก็ตามที่เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศก็จะถูกกระจกส่องแสงใส่และถูกสังหารคาที่ หรือมิเช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกส่งเป็นทาสในเหมือง หากว่าท่านคิดจะปีนข้ามเทือกเขาไป นั่นยิ่งอันตรายใหญ่ สันตินิรันดร์และแดนโบราณวินาศนั้นเชื่อมต่อกันที่เทือกเขาทำลายเทวะ เทือกเขาทำลายเทวะนั้นอันตรายอย่างฉกาจฉกรรจ์ขนาดที่ว่าแม้แต่นกก็ยังไม่กล้าบินผ่าน ขนาดนั้นจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็ยังอุตส่าห์ซ่อนเกาทัณฑ์มุกลับเอาไว้เพื่อป้องกับฝูงคนจากแดนโบราณวินาศบุกเข้ามา หากใครก็ตามที่ปีนข้ามเทือกเขานี้ก็จะถูกเกาทัณฑ์มุกลับเหล่านั้นยิงจนพรุน”

ฉินมู่ขมวดคิ้วแล้วถาม “ไม่มีวิธีอื่นอีกหรือในการเข้าไปในจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแย้มยิ้ม “ผู้อื่นอาจจะไม่มี แต่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์พวกเราย่อมมีหนทาง ก่อนที่เส้นทางการค้านี้จะเปิดขึ้นมา ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราก็ต้องลักลอบขนสินค้าข้ามแดน ดังนั้นเราจึงลอบทำลายเกาทัณฑ์มุกลับสองคันบนเทือกเขาทำลายเทวะ เพื่อข้ามเทือกเขาอันชืดชาและโดดเดี่ยวนี้เข้าไปยังแดนโบราณวินาศ แต่บัดนี้เมื่อเส้นทางการค้าระหว่างสันตินิรันดร์และแดนโบราณวินาศเปิดขึ้นมา เส้นทางลับนั้นก็ถูกทิ้งร้างหันไปใช้เส้นทางการค้าที่สะดวกดายกว่าในการเข้าออกสันตินิรันดร์ หากว่านายน้อยต้องการที่จะเข้าไปในสันตินิรันดร์ ท่านสามารถไปทางด่านวารีลับได้ เพราะว่าทหารยามที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเรา”

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อิทธิพลของลัทธิฟ้านี่กว้างขวางไม่ธรรมดา สมแล้วกับที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งเต๋ามาร!

เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วออกคำสั่ง “เช่นนั้นจงจัดเตรียมแผนที่ของสันตินิรันดร์ ข้าจะดูมันเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับภูมิประเทศของสันตินิรันดร์”

“รับทราบ”

เถ้าแก่ถอยออกไป ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อรับประทานอาหารเย็น อาบน้ำอาบท่า แล้วก็พักผ่อน

วันถัดมา เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหอบเอกสารปึกใหญ่ที่เป็นแผนที่ภูมิประเทศทั้งหมดของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พร้อมกับแผนที่โดยละเอียดของประเทศราชแต่ละมณฑล ฉินมู่เก็บแผนที่เหล่านั้นเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระจากนั้นเอ่ยถาม “ใครจะเป็นคนนำข้าไปที่ด่านวารีลับ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยิ้มกล่าว “นายน้อยไม่ต้องห่วง ตอนนี้เราได้เตรียมอาหารคาวหวานให้นายน้อยแล้ว ขอเชิญนายน้อยไปรับประทานก่อน เมื่อท่านไปถึงริมแม่น้ำก็จะมีพี่น้องจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรามานำทางนายน้อยเอง”

ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อรับประทานอาหารเช้าจากนั้นมาที่ริมแม่น้ำหย่ง และพบว่ามีเรือจอดรออยู่ที่นั่น หญิงสาวเยาว์วัยในชุดเขียวยืนอยู่บนเรือและกล่าวทักทายอย่างสุภาพด้วยเสียงอ่อนหวาน “คารวะนายน้อย ขอเชิญนายน้อยขึ้นเรือก่อน”

“ไม่ต้องมากพิธี”

ฉินมู่พาฮู่หลิงเอ๋อขึ้นไปบนเรือ จากนั้นจึงถามหญิงสาวในชุดเขียว “พี่สาวนำข้าเข้าไปในเมืองและหลบเลี่ยงกระจกตรวจสอบได้หรือไม่”

หญิงสาวในชุดเขียวแย้มยิ้ม “ข้าไม่มีหนทางหลบซ่อนท่านจากกระจกตรวจสอบ แต่ว่าข้าเป็นขุนนางระดับสูงในด่านวารีลับ เฝิงจิวอวิ๋น ข้าทำหน้าที่ตรวจสอบผู้คนที่เข้าและออกเมือง ดังนั้นข้าย่อมสามารถพานายน้อยเข้าออกเมืองได้”

ฉินมู่ตกตะลึง หญิงสาวผู้นี้ดูอายุยังน้อยแต่กลับมีตำแหน่งใหญ่โตทำหน้าหน้าที่ป้องกันหัวเมืองชายแดนอันสำคัญ เขารีบตอบกลับทันที “ขอบคุณที่เป็นธุระให้ พี่สาวเฝิง”

ใต้ท้องเรือ สัตว์ยักษ์ลากเรือโผล่ขึ้นจากผิวน้ำและว่ายลากเรือลงไปตามกระแสน้ำ หลังจากมันว่ายไปเป็นระยะเท่าใดก็ไม่อาจนับได้ ผิวแม่น้ำก็เริ่มขยายกว้างขึ้นและหมอกเริ่มลอยขึ้นมาอบอวลไปทั่ว

เมื่อเรือเข้าไปในหมอกนั่นเอง ความเร็วการว่ายน้ำของสัตว์ยักษ์ลากเรือก็เชื่องช้าลง มันดูหงุดหงิดเจือกระสับกระส่าย ราวกับว่ามีบางสิ่งใต้น้ำที่ทำให้มันหวาดผวา

เฝิงจิวอวิ๋นเองก็พิศวงสงสัย “ทำไมเจ้าตัวนี้จู่ๆ ก็พยศขึ้นมาไม่ยอมจะลากเรือต่อ”

ฮู่หลิงเอ๋อวิตกกังวลขึ้นมาทันใดและกระซิบกระซาบ “คุณชาย ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเรา เป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกหนาวยะเยือก…”

และในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับจ้องเขา ปลามังกรพลันกระโดดขึ้นมาเบื้องหลังและคายกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกมาจากปากของมันครึ่งหนึ่ง

เฝิงจิวอวิ๋นมีสีหน้าหนักอึ้ง นางรีบเคลื่อนไปเบื้องหน้าฉินมู่เพื่อคุ้มกันเขา ทันใดนั้นก็มีฟองอากาศพ่นปุดๆ มาจากใต้น้ำ ยิ่งฟองพ่นขึ้นมามากเท่าไหร่ หมอกก็หนามากขึ้นเท่านั้น

แต่ทว่า นอกจากฟองอากาศและหมอก ก็ไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติอื่นใด

ฉินมู่คุมสติตนเอง แม่น้ำนั้นกว้างเกินไป และด้วยหมอกขาวที่ลอยปกคลุมหนักหนาขึ้นทุกที พวกเขาย่อมไม่อาจมองเห็นทิศทางได้ จิ้งจอกขาวตัวน้อยใช้เวทมนตร์ของนาง หมายจะควบคุมลมปีศาจ แต่ลมปีศาจของนางไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่อาจเป่าไล่หมอกพวกนี้ไปได้

เฝิงจิวอวิ๋นนำพัดจีบของนางออกมา จากนั้นเขย่าแผ่นพัด พัดนั้นพลันขยายใหญ่สูงเท่าตัวคน หญิงสาวรีบโบกพัดไล่ลมไปเบื้องหน้า กระแสลมอันรุนแรงกว่าลมปีศาจพัดพุ่งออกไป ทว่านางก็มิอาจขับไล่หมอกได้อยู่ดี

น้ำในแม่น้ำพาเรือลอยไหลตามน้ำ สัตว์ยักษ์ลากเรือนั้นมุดน้ำหายไปเรียบร้อยแล้วด้วยมันไม่กล้าโผล่กลับมา ดังนั้นเรือนี้จึงได้แต่อาศัยกระแสน้ำให้พัดพาไปข้างหน้า

เฝิงจิวอวิ๋นกังวลเป็นอย่างยิ่ง และในตอนนั้นเอง เสียงร้องเพลงก็ดังมาจากในน้ำ เสียงนั้นอ่อนโยนอย่างถึงที่สุดและท่วงทำนองเหมือนกับมารดากล่อมบุตรน้อยของนางให้นอนหลับ ทว่าเพลงนั้นไม่มีเนื้อร้องมีแต่เสียงฮัมท่วงทำนองเพลง

ฉินมู่ตกตะลึง เขารู้สึกว่าเสียงร้องเพลงนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าเคยได้ยินเสียงเพลงนี้มาก่อน!”

เขาขึ้นไปยืนบนกราบเรือและมองลงไป เห็นหญิงเส้นผมยาวในชุดขาวลอยไหลตามน้ำมาเคียงคู่กับเรือ

เรือไหลไปข้างหน้า หญิงในน้ำผู้นั้นก็ตามติดมาเหมือนกับเงา เสียงร้องเพลงนั้นก็เปล่งออกมาจากปากของนาง

“ข้าเคยได้ยินเสียงเพลงนี้มาก่อน แต่นี่ไม่ใช่เสียงเพลงที่ท่านยายซีร้องกล่อมตอนข้าเข้านอน…”

เมื่อได้ยินเสียงฮัมเพลงนี้ ฉินมู่ก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อและในขณะเดียวกันก็วุ่นวายใจ ราวกับว่าความทรงจำที่ฝังซ่อนลึกในหัวกำลังจะปริเผยตัวออกมา

เขาพลันกระโดดลงจากเรือ และเหยียบยืนอยู่บนผิวน้ำ เฝิงจิวอวิ๋นรีบเอื้อมมือไปคว้าเขา แต่ไม่ทัน ฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดลงมาด้วย นางหนาวเยือกถึงสันหลังเมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงอยู่ในน้ำ นางรีบกระโดดไปมาติดตามฉินมู่ไป สร้างคลื่นกระเพื่อมในน้ำจากอุ้งเท้าเล็กๆ ของนาง

“ช้าๆ หน่อยคุณชาย! ข้ากลัว…”

เสียงร้องเพลงยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่าเขาจะวิ่งไปด้วยความเร็วเท่าใดก็ไม่อาจตามติดหญิงในน้ำทัน

ฉินมู่รู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นทุกที และขณะที่เขากำลังจะหันกลับไปขึ้นเรือนั่นเอง เขาก็พบว่าจี้หยกที่อกของเขาลอยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ฉินมู่มองตาค้าง จากนั้นยั้งเท้าและหันไปเพ่งมองใบหน้าของหญิงในน้ำ

หญิงในน้ำผู้นั้นเองก็หยุดลอยไปตามน้ำเช่นกัน และดูเหมือนไม่ใช่ฉินมู่ที่กำลังวิ่งไล่ตามนาง แต่เป็นนางที่วิ่งไล่ตามฉินมู่

ตึก ๆ

หนุ่มน้อยแห่งหมู่บ้านพิการชราคุกเข่าลงบนผิวน้ำ จากนั้นยื่นมืออันสั่นเทาหมายจะสัมผัสใบหน้าของสตรีในน้ำ น้ำตาร่วงไหลลงจากดวงตาของเขาและหยดย้อยลงในผิวแม่น้ำอันสงบนิ่ง

“ใช่ท่านไหม ใช่ท่านหรือเปล่าที่ส่งข้ามาหมู่บ้านพิการชรา…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version