ตอนที่ 1017 พลอยเดือดร้อน
เซียวจิ่งได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ ในใจพลันปวดร้าว เสด็จพ่อรังเกียจเขาเพียงนี้หรือ ไม่ยินดีให้เขาเข้าใกล้หรือ
โจวโย่วจิ่นมองรัชทายาทแล้วก็มองเซียวเหวินอวี๋ ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอันใดดี
เซียวเหวินอวี๋สั่งการโจวโย่วจิ่น “รีบไปตามหมอหลวงฉีมา”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
โจวโย่วจิ่นหันหลังเดินออกไปสั่งให้คนไปตามหมอหลวงฉีมา
หมอหลวงฉีมาถึงรวดเร็ว เซียวเหวินอวี๋รีบสั่งให้หมอหลวงฉีไปตรวจร่างกายรัชทายาท “ดูว่าบนตัวรัชทายาทมีอันใดแปลกประหลาดหรือไม่”
ฉีเหล่ยรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าฝ่าบาทสงสัยว่าตนเองถูกพิษ ตอนนี้ทรงทำเช่นนี้ ก็คงเพราะสงสัยว่าบนตัวรัชทายาทมีลูกไม้อันใดซ่อนอยู่หรือไม่
ฉีเหล่ยเดินเข้าไปเริ่มตรวจร่างกายรัชทายาท
หากเป็นยามปกติ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้รัชทายาท รัชทายาทก็คือรัชทายาท นอกจากบ่าวปรนนิบัติข้างกาย ผู้อื่นต้องอยู่ห่างจากเขาสามถึงห้าก้าว ไม่อาจเข้าใกล้รัชทายาท เพื่อไม่ให้รบกวนรัชทายาท แต่ฉีเหล่ยเข้าไปตรวจสอบก็ต้องเข้าใกล้รัชทายาท
เขาเข้าใกล้รัชทายาทได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ สมองมึนงง ปวดร้าวหัวใจยากทนรับไหว และยังรู้สึกชาดิกไปทั้งตัว
ฉีเหล่ยรู้ว่าไม่ได้การแล้ว รีบผงะถอยหลัง แต่ยังคงถูกพิษเข้าแล้ว เขาโงนเงนล้มลงพร้อมกับตะโกนดังว่า “ฝ่าบาท บนตัวรัชทายาทมียาพิษ”
พอตะโกนขึ้นเช่นนี้ ทุกคนในพระตำหนักต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน โจวโย่วจิ่นรีบให้คนเข้ามากันอยู่ด้านหน้าเซียวเหวินอวี๋ ทุกคนมองรัชทายาทอย่างระแวดระวัง
รัชทายาทเซียวจิ่งถูกภาพตรงหน้าทำเอาตกใจ “เสด็จพ่อ ทรงหมายความเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหวินอวี๋สีหน้าเย็นเยียบราวกับจะกลั่นเป็นหยดน้ำได้ แววตาไร้ความอบอุ่น ออกคำสั่งดังออกไปด้านนอกทันที “ทหาร รีบล้อมตำหนักเฉาหยางกงจับตัวฮองเฮาไว้”
รัชทายาทไปตำหนักเฉาหยางกงมา ทั่วตัวก็อาบไปด้วยยาพิษ แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาลงมือผ่านรัชทายาท
องครักษ์รับคำสั่งไปจับตัวรัชทายาท เซียวเหวินอวี๋ยังมีราชโองการสั่งให้คนตามหมอหลวงท่านอื่นมาตรวจร่างกายให้ฉีเหล่ย
ในตำหนักเฉาหยางกง ฮองเฮาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น นางกำลังคุยกับอวิ๋นซิน
ยามนี้สีหน้านางอ่อนโยนอย่างมาก “ซินเอ๋อร์ เจ้าว่าข้าดีต่อเจ้าหรือไม่”
อวิ๋นซินรู้สึกร้อนตัว แต่ยังคงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ฮองเฮาดีต่อบ่าวมากเพคะ ชีวิตของบ่าวได้ติดตามฮองเฮา ถือเป็นบุญที่สั่งสมมาเพคะ”
หวังเมิ่งเหยามองนาง ไม่เข้าใจว่านางทรยศนางได้อย่างไร
แม้นางไม่ได้ดีต่ออวิ๋นซินดังพี่น้อง แต่ความจริงก็ดีต่อนางมาก ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก สุดท้าย อีกฝ่ายกลับทรยศนาง ทำให้นางต้องมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้
“ซินเอ๋อร์จำได้ก็ดี รอให้ข้าได้เป็นไทเฮา เจ้าก็เป็นบ่าวคนสนิทของข้า ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นข้าหลวงอาวุโสข้างกายข้า”
อวิ๋นซินรีบน้อมรับคำนางด้วยท่าทีระมัดระวัง “ขอบพระทัยฮองเฮา บ่าวจะต้องทุ่มเทปรนนิบัติช่วยงานฮองเฮาเพคะ”
หวังเมิ่งเหยาไม่ได้เอ่ยอันใดอีก ยื่นมือยกน้ำชาส่งให้อวิ๋นซิน
อวิ๋นซินเห็นน้ำชาที่นางส่งมาแล้วก็ไม่อยากดื่ม นางรู้สึกว่าฮองเฮาไม่ปกติ แต่นางไม่กล้าไม่รับ และนางรู้สึกว่าฮองเฮาน่าจะไม่รู้เรื่องที่นางทำ
ความจริงนางก็ไม่ได้ทำอันใด แค่ทำตามรัชทายาทซีเหลียงบอก ค่อยๆ กล่าววาจาพวกนี้ให้นางฟังเท่านั้น
อวิ๋นซินครุ่นคิดแล้วก็ยื่นมือไปรับมาดื่มไปคำหนึ่ง จากนั้นก็รีบยืนขึ้นแสดงท่าทีภักดีทันที “ฮองเฮา บ่าวจะต้องทุ่มเทรับใช้ฮองเฮา ติดตามปรนนิบัติฮองเฮาเพคะ”
หวังเมิ่งเหยาเงยหน้ามองด้วยสีหน้านิ่งเฉย นางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องทรยศข้า”
อวิ๋นซินนิ่งอึ้ง หวังเมิ่งเหยาจ้องมองนาง อวิ๋นซินเข้าใจแล้วว่าหวังเมิ่งเหยาสงสัยนางแล้ว นางจะยอมรับได้อย่างไร ได้แต่รีบคุกเข่าปฏิเสธพัลวัน “ฮองเฮา ทรงตรัสอันใดเพคะ บ่าวฟังไม่เข้าใจ”
หวังเมิ่งเหยาสีหน้าแปรเปลี่ยน คว้าน้ำชามากรอกใส่ปากอวิ๋นซิน
อวิ๋นซินพลันเข้าใจ ฮองเฮาต้องวางยาพิษในน้ำชา นางดิ้นรนขัดขืนด้วยความตกใจหวาดกลัว แต่หวังเมิ่งเหยาแรงเยอะมาก นางสลัดไม่หลุด อวิ๋นซินถูกกรอกน้ำชาลงไป ก็ส่งเสียงร้องดังอย่างหวาดกลัว “ใครก็ได้ ช่วยด้วย ฮองเฮาเสียสติแล้ว นางเสียสติแล้ว”
นอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หวังเมิ่งเหยาตวาดอย่างโมโหเดือดดาลสุดขีด “ไสหัวไป”
นางคิดว่าคนที่เข้ามาคือพวกหลี่หมัวมัว ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่บุกเข้ามาถึงกับเป็นโจวโย่วจิ่น ยามนี้อวิ๋นซินพิษกำเริบแล้ว โลหิตทะลักออกจากปากไม่หยุด นางส่งเสียงร้องดังอย่างหวาดกลัว “โจวกงกง ช่วยข้าด้วย ฮองเฮาเสียสติแล้ว นางกรอกยาพิษบ่าว”
ฮองเฮาเห็นพวกโจวโย่วจิ่นเข้ามา ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว
นางหน้ามืดหมดสติไปทันที
ยามนี้ในใจโจวโย่วจิ่นเกลียดชังหวังเมิ่งเหยาอย่างมาก ไม่สนใจว่านางหมดสติไปจริงหรือไม่ โบกมือสั่งการองครักษ์ด้านหลัง “พาพวกนางทุกคนไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ฮองเฮาถูกจับกุม รัชทายาทก็ถูกจับกุม เซียวเหวินอวี๋มีราชโองการให้ขุนนางใหญ่สองสามคนเข้าวัง ไม่นานในตำหนักก็มีคนยืนอยู่เต็มพื้นที่
บรรดาขุนนางในราชสำนักต่างรู้แล้วว่าฮองเฮาวางยาพิษฝ่าบาทไว้บนตัวรัชทายาท
ทุกคนในพระตำหนักต่างตกใจไม่น้อย อี้หย่งโหวขอบตาแดงก่ำมองบุตรสาวตน เขาแทบอยากจะสังหารบุตรสาวตนเองทิ้ง
รากฐานตระกูลหวังที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิตถูกบุตรสาวทำลายพินาศลงเช่นนี้หรือ
ตอนนางยังเด็ก เขารักนางที่สุด ขณะที่ผู้อื่นให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาว แต่เขารักบุตรสาวมาก เพราะตระกูลหวังมีบุตรน้อย ทุกคนล้วนล้ำค่า แต่เขาคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายบุตรสาวคนนี้ถึงกับนำพาหายนะมาสู่ตระกูลหวัง
ฮองเฮาวางยาพิษฝ่าบาท ตระกูลเดิมของนางก็ย่อมพลอยเดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย
เขาพยายามมาทั้งชีวิตที่จะสร้างรากฐานให้ตระกูลหวัง แต่ต้องมาพังพินาศลงด้วยน้ำมือบุตรสาวเขาเอง หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นควรจับนางกดน้ำให้ตายไปเสียก่อน
อี้หย่งโหวถลึงดวงตาแดงก่ำมองหวังเมิ่งเหยาด้วยความโมโห “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าทำลายตระกูลหวังข้า ก่อนเจ้าทำเรื่องพวกนี้ เหตุใดไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้าง”
หวังเมิ่งเหยาสมองอื้ออึงไปหมดราวกับหม้อโจ๊ก นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงมาถึงขั้นนี้ได้ เห็นบิดาที่รักนางมากเป็นเช่นนี้ หวังเมิ่งเหยานึกเสียใจภายหลังแล้ว นางส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ “ฝ่าบาท ทุกอย่างล้วนเพราะหม่อมฉันทำผิดเพียงคนเดียว ทรงไว้ชีวิตบิดาและพี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันยินดีตายชดใช้ความผิด”
นางกล่าวจบก็ลงคุกเข่า สารภาพเรื่องราวทั้งหมดออกมา
“เป็นฝีมือรัชทายาทซีเหลียงซั่งกวนเฮ่อเพคะ หม่อมฉันก้าวเดินมาถึงขั้นนี้ก็ล้วนเป็นเพราะรัชทายาทซีเหลียงบงการซื้อตัวอวิ๋นซิน บ่าวรับใช้ข้างกายหม่อมฉัน หลี่หมัวมัวกับอวิ๋นซินถูกซื้อไป จึงได้ทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเพคะ ทุกอย่างเป็นความผิดของหม่อมฉันเพียงคนเดียว ขอฝ่าบาทละเว้นคนตระกูลหวัง ละเว้นรัชทายาทด้วยเพคะ”
ทุกคนในพระตำหนักมองฮองเฮาอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาไม่คู่ควรเป็นฮองเฮาจริงๆ เจ้าทำเรื่องเลวร้ายต่อฝ่าบาทเช่นนี้แล้ว ยังถึงกับหวังว่าฝ่าบาทจะละเว้นตระกูลเจ้า ละเว้นรัชทายาท เจ้าคิดได้อย่างไรกัน
วางยาพิษฝ่าบาท โทษความผิดประหารเก้าชั่วโคตร
ครั้งนี้เกรงว่าแม้แต่รัชทายาทก็คงไม่อาจรอดพ้นไปได้
หวังเมิ่งเหยาเองก็เป็นห่วงว่าจะทำให้รัชทายาทเดือดร้อนไปด้วย รีบกล่าวว่า “ฝ่าบาท ขอทรงละเว้นจิ่งเอ๋อร์ด้วยเพคะ จิ่งเอ๋อร์ไม่รู้อันใดด้วยเพคะ”
ยามนี้เซียวจิ่งเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขามองฮองเฮาหวังเมิ่งเหยาที่คุกเข่าร่ำไห้อยู่ด้วยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ
เสด็จแม่ถึงกับอาศัยเขาวางยาพิษเสด็จพ่อ
หากไม่ใช่เสด็จพ่อทรงรู้ตัวก่อน ก็คงตายไปแล้ว