ตอนที่ 1031 รัชทายาทหญิงร่วมว่าราชกิจ 3
ในราชสำนักมีคนอดบ่นกันไม่ได้ “ไม่ใช่ว่ายังมีองค์ชายรองหรือ ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาทไม่ได้หรือ”
คนผู้นี้กล่าวจบก็ทำให้หลายคนโมโหขึ้นมา
“อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ว่าพวกเจ้าไม่มีอันใดก็แล่นไปประจบเอาใจองค์ชายรองนะ ประจบเสียองค์ชายรองเป็นเช่นไรไปแล้ว นี่มันเรื่องอันใดกัน องค์ชายรองที่แยกแยะดีชั่วไม่ออกเช่นนี้จะเป็นรัชทายาทได้อย่างไร”
“ใช่ นอกจากเลี้ยงนกชนไก่ เขายังทำอันใดได้ แม้แต่คนดีเลวยังแยกแยะไม่กระจ่าง เรื่องอันใดก็ทำได้ไม่ดี ไปที่ใดล้วนก่อแต่ภัยหายนะ คนเช่นนี้จะเป็นรัชทายาทได้อย่างไร”
“หากองค์ชายรองได้เป็นรัชทายาท เกรงว่าแคว้นต้าโจวพวกเราคงก้าวสู่วิกฤตแล้ว”
ขณะทุกคนกำลังคุยกันครึกครื้นอยู่นั้น นอกพระตำหนัก องค์ชายรองพาคนสองสามคนเดินเข้ามา คนเหล่านี้ล้วนเป็นขุนนางระดับท้ายๆ ในราชสำนัก ประจบสอพลอขุนนางใหญ่ไม่ติด ก็ไปประจบสอพลอองค์ชายรอง ตอนนี้ฝ่าบาทไม่มีองค์ชายองค์อื่น หากองค์ชายรองเกิดโชคหล่นทับ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าเก็บทองได้ก้อนโตหรือ
ดังนั้นขุนนางในราชสำนักพวกนี้ไม่มีอันใดก็มักจะไปประจบองค์ชายรอง พยายามยกยอองค์ชายรองอย่างที่สุด
ตอนนี้พอเข้ามาก็เสียงดังขึ้นว่า “พวกท่านคุยอันใดกันอยู่”
องค์ชายรองสีหน้าไม่ดีนัก เห็นได้ชัดว่าได้ยินเรื่องที่ทุกคนคุยกันในท้องพระโรงก่อนหน้านี้ องค์ชายรองจะพอใจได้หรือ ยามนี้สีหน้าดำทะมึนหมดสิ้น
น่าเสียดายไม่มีขุนนางราชสำนักคนใดกลัวเขาสักเท่าไร ประการแรก ฝ่าบาทไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขา ประการที่สอง เขาเองก็ไร้ความสามารถ ทำให้ผู้คนดูแคลน เจ้าว่าแม้แต่เดินยังไม่อาจดำรงท่วงท่าสง่างาม แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นบุคคลละโมบสุราหลงใหลนารีสั่งสมมาเป็นเวลานานปีแล้ว
มิผิด องค์ชายรองหลงใหลนารี ตั้งแต่สิบกว่าชันษาก็ลุ่มหลงนารีงาม นางกำนัลในวังที่ใกล้ชิดเขาล้วนถูกเขาหลับนอนมาหมดแล้ว ตอนแรกฮ่องเต้ยังไม่ทรงทราบ พอทรงทราบก็สายไปเสียแล้ว จึงได้ไปสร้างตำหนักให้เขาอยู่นอกวัง ไสหัวเขาออกจากวังหลวงไป แม้แต่แต่งตั้งเป็นอ๋องก็มิได้แต่งตั้ง ตอนนี้ทุกคนยังคงเรียกเขาว่าองค์ชายรอง
แต่แม้เป็นเช่นนี้ องค์ชายรองก็ยังคงคิดไปเองว่าเสด็จพ่อไม่มีองค์ชายองค์อื่น มีเพียงเขาคนเดียว เขาก็คือรัชทายาทอย่างแน่นอนแล้ว
ดังนั้นแต่ไรมาเขาจึงไม่เคยปฏิเสธคนที่เข้ามาประจบสอพลอเขาเหล่านั้น
ตอนมาถึงก่อนหน้านี้ได้ยินขุนนางในท้องพระโรงบอกว่าเขาไม่ดีพอ องค์ชายรองสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในกรมโยธา ความจริงตอนแรกสุดเขาอยู่กรมคลัง แต่ไม่นานเสนาบดีกรมคลังก็ทนเขาไม่ไหว ตรงไปทูลต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ว่า เขาทำงานไม่เป็น รังแต่จะทำให้เสียงาน ฮ่องเต้จึงได้แต่จัดให้เขาไปอยู่กรมขุนนาง ปรากฏเสนาบดีกรมขุนนางก็ไปฟ้องอีก สุดท้ายจึงถูกส่งไปอยู่กรมโยธา ความจริงเสนาบดีกรมโยธาก็คิดอยากไปทูลฟ้องเหมือนกัน เพียงแต่เป็นห่วงเกรงว่าวันหน้าองค์ชายรองจะล้างแค้น ดังนั้นจึงได้แต่อดทนไว้
ดังนั้นตอนนี้องค์ชายรองทำงานอยู่ที่กรมโยธา ความจริงก็แค่ทำท่าทำทางไปอย่างนั้น
การที่เซียวเหวินอวี๋ให้เขาเข้าร่วมประชุมท้องพระโรงก็เพราะเห็นว่าอย่างไรก็เป็นโอรส ควรงานให้เขาลองทำบ้าง ดูว่าเขาเหมาะกับทำงานใด จากนั้นค่อยจัดหางานให้เขาทำ
เพียงแต่เขาไม่คิดไม่ฝันว่า คนคนหนึ่งจะโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้ ติดตามเรียนรู้งานจากผู้อื่น ยังถูกคนเขาขับไล่ออกมา ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต่างรังเกียจ ตัวเขาเองกลับไม่รู้ตัว ยังแอบดีอกดีใจ วางท่าวางทางราวกับตนเองเป็นรัชทายาท
เซียวเหวินอวี๋เห็นเขาก็ปวดหัวทุกครั้ง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไยตนเองจึงมีบุตรชายโง่เง่าได้เช่นนี้
องค์ชายรองไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเห็นเขาก็โมโห มักกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตลอดเวลา ยามนี้เขามองขุนนางในราชสำนักที่ว่าเขาไม่ดีด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ใต้เท้าจ้าว ใต้เท้าฟาง พวกท่านดูแคลนองค์ชายเช่นข้าหรือ”
“ข้าไม่ดีอย่างไรก็เป็นสายพระโลหิตเสด็จพ่อ องค์ชายเพียงหนึ่งเดียว หากพวกท่านไม่พอใจก็ไม่ควรแสดงออกให้ข้าเห็น”
กล่าวจนสุดท้ายองค์ชายรองก็เริ่มได้ใจขึ้นมาอีก ผู้ใดจะรู้ว่าเขา ‘เซียวอัน’ ถึงกับกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด อีกไม่นานเขาก็จะได้เป็นรัชทายาทแห่งแคว้นต้าโจวแล้ว
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างซุบซิบที่เสด็จพ่อไม่แต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องในตอนนี้ แต่เขารู้ว่าเสด็จพ่อคิดแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท ดังนั้นจึงไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งอ๋องให้เขา พวกเขาจะไปรู้อันใด ชิ!
องค์ชายรองครุ่นคิดแล้วก็หันหน้าไปกวาดตามองบรรดาขุนนางในราชสำนักทีหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาได้จดจำคนที่ว่าเขาไม่ได้ความไว้แล้ว รอให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท จะต้องจัดการคนเหล่านี้ให้สิ้นซาก
องค์ชายรองกำลังนับจำนวนอยู่ในใจ นอกท้องพระโรงก็มีขันทีเดินออกมาส่งเสียงขานดังว่า “ฝ่าบาทเสด็จ”
ในพระตำหนัก ขุนนางในราชสำนักต่างไม่กล้าคุยกันต่อ แต่ละคนยืนเข้าแถวเรียบร้อยตามลำดับตำแหน่งขุนนาง พอฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็ลงคุกเข่าถวายบังคมพร้อมกัน “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”
เซียวเหวินอวี๋กวาดตามองขุนนางในราชสำนักทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นได้”
ใต้เท้าวังโส่วฝู่และใต้เท้าฟางรองโส่วฝู่นำบรรดาขุนนางในราชสำนักลุกขึ้น พอทุกคนลุกขึ้นแล้วก็เห็นว่าฮ่องเต้ทรงจูงมือคนผู้หนึ่งอยู่ในท้องพระโรง ทั้งสองยืนอยู่บนพระแท่นจินหรวนเตี้ยนเหนือท้องพระโรง
คนผู้นั้นก็คือองค์หญิงสามเซียวหวงแห่งแคว้นต้าโจว
องค์หญิงสามเซียวหวงมีชื่อเสียงในแคว้นต้าโจวว่าเป็นสาวงามสุดยอดแห่งแคว้นต้าโจว ทุกคนล้วนรู้ว่าองค์หญิงสามรูปโฉมงดงามเพราะได้รับส่วนเด่นมาจากฮ่องเต้และฮองเฮา รูปโฉมเป็นหนึ่งไม่มีสอง นอกจากเรื่องนี้แล้ว องค์หญิงสามผู้นี้ยังพูดเป็นตั้งแต่อายุได้สิบเดือนเท่านั้น ครบปีก็เดินได้ สามขวบก็รู้หนังสือ ห้าขวบก็ท่องกลอนร่ายบทกวี เจ็ดขวบก็คิดวิเคราะห์เหตุผลได้กระจ่าง สรุป องค์หญิงสามเป็นองค์หญิงที่ฉลาดล้ำเลิศ
ทว่าแต่ไรมาไม่มีผู้ใดคิดว่าองค์หญิงสามจะฉลาดเพียงนี้ แต่ในเวลานี้ ขุนนางในราชสำนักพลันเริ่มรับรู้กันแล้ว
ในบรรดาขุนนางในราชสำนักที่ยืนอยู่ในท้องพระโรง ใต้เท้าวังโส่วฝู่กับใต้เท้าฟางรองโส่วฝู่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคิดได้ก่อนผู้ใด ฝ่าบาทคงไม่ได้ทรงคิดแต่งตั้งองค์หญิงสามเป็นรัชทายาทหญิงแคว้นต้าโจวกระมัง
ไม่กระมัง ไม่น่า!
เริ่มจากใต้เท้าวังโส่วฝู่ ต่อด้วยใต้เท้าฟางรองโส่วฝู่ จากนั้นก็มีขุนนางในราชสำนักมากขึ้นที่คิดได้เช่นนี้
แต่ละคนพากันตกตะลึงเอ่ยอันใดไม่ออกแม้แต่ผู้เดียว เพราะแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยคิดว่าฝ่าบาทถึงกับทรงคิดแต่งตั้งแต่งตั้งองค์หญิงสามเป็นรัชทายาทหญิงแคว้นต้าโจว
แม้ว่าในหน้าประวัติศาสตร์มีฮ่องเต้หญิง แต่แคว้นต้าโจวพวกเขาจะมีผู้หญิงเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร
ขุนนางในราชสำนักพลันไร้วาจา
องค์ชายรองไม่เพียงแต่ไม่รับรู้ถึงความคิดของฮ่องเต้ ถึงกับยังคงยิ้มตาหยีมององค์หญิงสามเซียวหวงกล่าวว่า “น้องสาม เจ้ารีบลงมา บนพระแท่นจินหรวนเตี้ยนนี้ ไม่ใช่ที่ที่องค์หญิงเช่นเจ้าจะยืนได้”
องค์หญิงสามยิ้มบางมององค์ชายรอง กิริยาท่าทางนิ่งสุขุมอย่างไม่อาจบรรยาย คล้ายว่าเกิดมาเพื่อเป็นรัชทายาทหญิง
องค์ชายรองยังคงส่งเสียงดัง “รีบลงมาๆ เสียกิริยาอันใดกันนี่”
ขุนนางในราชสำนักมององค์หญิงสาม แล้วก็มององค์ชายรอง คนเราเกรงกลัวการถูกเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบก็จะรู้สึกได้ว่าองค์หญิงสามดีกว่าองค์ชายรองมาก โลกใบนี้ไยจึงมีคนโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้กัน อยากจะฟาดหน้าขับไล่เขาออกไปจริงๆ
องค์ชายรองยังคงพล่ามไม่หยุด “น้องสาม หากเจ้ายังไม่ลงมาอีก ขุนนางตรวจการก็จะยื่นฎีกาเจ้าแล้วนะ ที่ตรงนั้นใช่ที่ยืนของเจ้าหรือ ที่ตรงนั้นเป็นที่ประทับของเสด็จพ่อกับรัชทายาท เจ้าเป็นหญิง ไปยืนตรงนั้นได้อย่างไร ไร้ธรรมเนียมจริง”
เขาพูดพลางเดินไปหา คิดดึงตัวองค์หญิงสาม แต่ฮ่องเต้กลับส่งสายพระเนตรเย็นเยียบจ้องใส่เขาทีหนึ่ง “เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
องค์ชายรองตกใจจนไม่กล้าขยับ เขากลัวเสด็จพ่อมาก
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่องค์ชายรองเสร็จก็หันไปมองบรรดาขุนนางในราชสำนัก กำลังจะเอ่ย วังโส่วฝู่ที่ยืนหน้าสุดก็ทูลขึ้นก่อน “กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
รองโส่วฝู่ก้าวออกมาสนับสนุนเช่นกัน เมื่อก่อนสองคนไม่ถูกกัน ครั้งนี้เข้ากันได้ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง “กระหม่อมก็ใคร่ขอให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางในท้องพระโรงพากันลงคุกเข่ากันไม่น้อย แต่ละคนทูลน้ำเสียงหนักแน่น “กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”